Categories
เบเกอรี่

แชร์ความอร่อย คุกกี้ เนย สด หวานกรอบ อบอวลไปด้วยกลิ่นเนยสด 

คุกกี้ เนย สด

คุกกี้ เนย สด เป็นเมนูขนมหวานสุดคลาสสิกที่ได้รับความนิยมตลอดกาล เพราะมีรสชาติที่หวานละมุนลิ้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นเนยอ่อนๆ อีกทั้งเนื้อคุกกี้มีความกรอบทุกคำ เรียกได้ว่ายิ่งทานยิ่งอร่อย สำหรับใครที่อยากทำเมนูเบเกอรี่ชนิดนี้ไว้ทานในวันหยุด หรือมอบเป็นของขวัญในวันสำคัญก็สามารถทำได้ง่ายๆ 

เปิดสูตรลับ คุกกี้ เนย สด กรอบหวานมัน อร่อยทุกคำ! ทำง่าย ทำขายก็ปัง 

คุกกี้ เนย สด

คุกกี้เนยสดคือขนมที่สามารถหาทานได้ง่ายที่สุด และมีวิธีทําคุกกี้ เนยสด ง่ายๆ ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด หากที่บ้านไม่มีตู้อบขนมสามารถทำวิธี ทํา คุกกี้ เนยสด ด้วย ไมโครเวฟแทนตู้อบขนมได้เช่นกัน ที่สำคัญขนมยังมีความกรุบกรอบอร่อยสุดๆ สำหรับวัตถุดิบที่ต้องเตรียมทำคุกกี้สามารถหาซื้อได้ร้านสะดวกซื้อทั่วไป 

คุกกี้ เนย สด
  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 40 กรัม
  3. เนยสด 80 กรัม
  4. เกลือ ½ ช้อนชา
  5. น้ำตาลไอซิ่ง 30 กรัม
  6. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  7. ผงฟู ½ ช้อนชา
  8. เบกิ้งโซดา ¼ ช้อนชา

เมื่อเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อบแล้ว ในลำดับต่อมาจะเป็นขั้นตอนการทำคุกกี้ ซึ่งจะใช้สูตรคุกกี้เนยสด ง่ายๆไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับมือใหม่ฝึกทำขนมไว้ทานกับครอบครัว

วิธีการทำคุกกี้เนยสดอย่างง่าย และขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใครๆ ก็ทำได้

คุกกี้เนยสด เป็นอีกหนึ่งเมนูเบเกอรี่ที่เด็กๆ สามารถทานได้ เพราะรสชาติไม่หวานจนเกินไป แถมกลิ่นของเนยสด ยังชวนให้ขนมน่ารับประทานมากๆ สำหรับวิธีคุกกี้ฉบับมือใหม่ฝึกทำครั้งแรกสามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้ดังนี้

คุกกี้ เนย สด
  1. มาเริ่มที่ขั้นตอนแรกคือ การนำเนยไปละลาย และใส่น้ำตาลลงไป ตีส่วนผสมให้น้ำตาลฟูขึ้นจพทำให้คุกกี้ที่ได้มีความกรุบกรอบมากขึ้น จากนั้นเติมไข่ ผงฟู เบคกิ้งโซดา เกลือ ตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง
  2. นำแป้งเค้กมาร่อนเอาตะกอนเม็ดเล็กออก เพื่อให้เนื้อแป้งมีความกรอบสม่ำเสมอ จากนั้นนำแป้งใส่ของไปในส่วนผสมแรกที่เตรียมไว้ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน หลังจากนั้นบีกใส่ถาดอบขนม นำไปอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที 
  3. หลังจากที่อบขนมเสร็จแล้ว นำถาดขนมออกกจากตู้อบมาพักไว้ให้เย็น เก็บใส่กล่องที่มีฝาปิดสนิท เพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปข้างใน เพราะจะทำให้ขนมไม่กรอบ
คุกกี้ เนย สด

จบลงไปแล้วกับขั้นตอนการทำคุกกี้ เนยสด ขนมเบเกอรี่ยอดนิยมที่ ส่วนวิธีทำเบเกอรี่ง่ายนิดเดียว มีเวลาน้อยก็สามารถทำได้ อีกทั้งเบเกอรี่ทำเองตามสไตล์เบเกอรี่โฮมเมดสามารถทำเก็บไว้ทานได้หลายวัน และยังสามารถทานได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ หากต้องเพิ่มความอร่อยสามารถตกแต่งคุกกี้ด้วยแยมผลไม้จะยิ่งทำให้คุกกี้มีรสชาติที่หลากหลายมากขึ้น 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
เบเกอรี่

เปิดสูตร โดนัทจิ๋ว สุดน่ารัก ที่มาพร้อมความอร่อย หอม หวาน แป้งนุ่มนิ่ม 

โดนัทจิ๋ว

ใครที่อยากฝึกทำขนมอยู่ตอนนี้ แต่ไม่รู้จะทำขนมชนิดไหนดีที่ทำง่าย และขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ขอแนะนำ โดนัทจิ๋ว ที่มีส่วนผสมเพียงเล็กน้อย และวิธีทำง่ายๆ สามารถทำได้ และอร่อยแน่นอน แถมยังสามารถทำขายได้ด้วย รับรองได้กำไรแน่นอน

วิธีทำ โดนัทจิ๋ว ให้อร่อย แป้งเนื้อนุ่ม หวานฉ่ำๆ เหมือนซื้อที่ร้าน

โดนัทจิ๋ว

ใครว่าโดนัทจิ๋วทำยาก และขั้นตอนยุ่งยาก แท้จริงแล้วขนม โดนัท จิ๋ว ทำง่ายกว่าขนมชนิดอื่น เพียงมีบัตเตอร์เค้กที่ส่วนผสมหลักก็สามารถทำโดนัท จิ๋ว แฟนซีสุดน่ารักได้ง่ายๆ อีกทั้งยังสามารถทำขายเป็นอาชีพได้ไม่ยาก แถมขนมชนิดนี้ยังใช้ต้นทุนต่ำมากๆ หากจะขายโดนัท จิ๋ว 5 บาท ก็สามารถได้ และกำไรอีกด้วย ว่าแต่โดนัทจิ๋วสูตรไหนอร่อย และ ทํา โดนัทจิ๋ว ขายได้กำไรปังๆ วันนี้เราจะมาแชร์ สูตร โดนัทจิ๋วแฟนซี ให้ทุกคนได้ทำตาม

วัตถุดิบ และส่วนของขนมโดนัทที่ต้องเตรียม

  1. แป้งบัตเตอร์เค้ก 300 กรัม
  2. นมสดชนิดจืด 60 กรัม
  3. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  4. เนยสดละลายแล้ว 50 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 300 กรัม
  6. ผงฟู ½ ช้อนชา
  7. เกล็ดน้ำตาลหลากสีตามใจชอบ
  8. ซ็อกโกแลตหลากหลายสี
โดนัทจิ๋ว

ขนมโดนัทจิ๋วแฟนตาซีสามารถใช้เกล็ดน้ำตาลได้หลากหลายสี ทำให้ขนมเบเกอรี่มีสีสันสวยงาม และชวนรับประทานมากขึ้น สำหรับใครที่หาซื้อเกล็ดน้ำตาลไม่ได้ แนะนำให้ใช้ลูกเกตแทนก็ได้ สำหรับวิธีทำขนมโดนัทมีขั้นตอนดังนี้

  1. นำแป้งเค้ก และผงฟูร่อนใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ จากนั้นผสมให้แป้งและผงฟูให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  2. นำไข่ไก่ที่เตรียมไว้ และน้ำตาลทรายลงในภาชนะสำหรับที่ส่วนผสมให้เข้ากันด้วยความเครื่องปานกลางจนกว่าน้ำตาลทรายจะละลาย หากบ้านไหนไม่มีเครื่องตีสามารถตะกร้อมือตีจนกว่าน้ำตาลจะละลาย
  3. จากนั้นใส่นมจืด เกลือป่น เนยจืด ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่แป้งที่ร่อนเสร็จลงไปตีส่วนผสมทั้งหมดจนกว่าแป้งจะเป็นเนื้อเดียวกัน
  4. นำเครื่องโดนัทมาวอมให้ร้อน ทาพิมพ์ด้วยน้ำมันพืช หรือเนยก็ได้ หลังจากนั้นใส่แป้งลงไปปิดฝาประมาณ 2 -3 นาที นำโดนัทออกจากเครื่องพักไว้ให้เย็น
  5. ต่อมาเป็นวิธีการทำตกแต่งโดนัทให้สวยงาม เริ่มจากละซ็อกโกแลตสีสันต่างๆ นำโดนัทชุปสีต่างๆ ได้ตามใจชอบ หรือจะตกแต่งเป็นลวดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ เสร็จแล้วนำไปพักไว้ให้เย็นพร้อมเสิร์ฟ
โดนัทจิ๋ว

จบไปแล้วกันวิธีการทำเบเกอรี่ยอดนิยมอย่างโดนัทแฟนซี จะเห็นว่าขั้นตอนการทำนั้นไม่ยากเลย ส่วนรสชาติมีความหวาน และกลิ่นซ็อกโกแลตอ่อนตัดกลิ่นเนยอร่อยอย่างลงตัว พร้อมเสิร์ฟกับผลไม้รสเปรี้ยว หรือกาแฟร้อนๆ อร่อยสุดๆ 

แชร์เคล็ดลับการทำเบเกอรี่ง่ายๆ อย่าง โดนัท ให้น่าทานแถมเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น

โดนัทจิ๋ว

สำหรับโดนัทจิ๋ว มีให้เลือกทานหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นเบเกอรี่ทำเองได้ง่ายมาก หากใครไม่ชอบเบเกอรี่โฮมเมดอย่างโดนัทแฟนตาซีสามารถนำลูกเกต อัลมอนด์สไลด์ หรือผลไม้แช่อิ่ม ใส่ลงไปในส่วนผสมสุดท้ายก่อนนำไปนำแป้งใส่ในเครื่องทำโดนัท เพียงเท่านี้ก็ได้โดนัทที่มีรสชาติหลากมากขึ้น 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
เบเกอรี่

เมนูยอดฮิตตลอดกาล ขนมปังนมสด ปังเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นนมเนย

ขนมปังนมสด

ขนมปังนมสด ถือว่าเป็นเมนูขนมหวานที่หลายคนชอบทาน และยังสามารถหาทานได้ง่ายตามร้านเบเกอรี่ทั่วไป ที่สำคัญขนมชนิดนี้เป็นเมนูที่ขายดีอีกหนึ่งเมนูขนมปังเลยทีเดียว เพราะรสชาติมีหวานของนม และหอมเนยสดอร่อยสุดๆ สำหรับคนที่อยากลองทำทานที่บ้าน หรือทำขายสร้างรายได้ วันนี้เราจะมาแชร์สูตรทำขนมนมสดกลิ่นเนยมาให้ทำตามกัน

ขั้นตอนการทำ ขนมปังนมสด ฉบับมือใหม่ ทำตามได้ที่บ้าน

ขนมปังนมสด

ขนมปังนมสดเมนูสุดปังที่สามารถทานได้อย่างเพลิดเพลิน แถมขนมปัง นม สด ทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อ แถมยังสามารถทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่อีกด้วย หากใครอยากลองทำขนมปัง นมเนยสดไว้ทานในครอบครัว ขอแนะนำ สูตรปังเนยสดฮอกไกโดที่มีวิธีทำอย่างง่ายๆ โดยก่อนอื่นเราต้องเตรียมส่วนผสม และวัตถุดิบดังต่อไปนี้

ขนมปังนมสด
  1. แป้งขนมปัง 120 กรัม
  2. แป้งสาลี 80 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 30 กรัม
  4. นมผง 2 ช้อนชา
  5. ยีสต์ขนมปัง ½ ช้อนชา
  6. กลิ่นเนยสด ½ ช้อนชา
  7. เกลือ ¼ ช้อนชา
  8. นม 30 กรัม
  9. น้ำอุ่น 90 กรัม
  10. เนยจืด 20 กรัม

ในส่วนของการตรียมวัตถุดิบขนมปังนมสด หากบ้านไหนหากลิ่นนมเนยไม่ได้สามารถกลิ่นวนิลลาแทนได้เช่นกัน แต่หากเป็นกลิ่นนมเนยจะทำให้ขนมเบเกอรี่มีความหอมเนยมากขึ้น ต่อเราจะพาทุกคนเข้าสู่วิธีการทำขนมปังไส้นมสด โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขนมปังนมสด
  1. มาเริ่มที่ขั้นตอนแรก โดยการนำแป้งสาลี เกลือ นมผง กลิ่นเนยสด และกลิ่นวนิลลา ใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นใส่นม และน้ำอุ่นลงไปผสมให้เข้ากันอีกครั้ง 
  2. ใช้มือนวดแป้งให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่เนยจืดลงไป ใช้มือนวดแป้งจนกว่าเนยกับแป้งจะเป็นเนื้อเดียวกัน และสามารถขึงเป็นแผ่นบางๆ ได้แบบไม่ขาด 
  3. นำพลาสติกแรปมาปิดภาชนะไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งฟูขึ้นกว่าเดิม นำแป้งมาตัดเป็นก้อนๆ ให้เท่ากัน นำขนมปังมาขึ้นรูป และเรียงใส่ถาดอบขนม พักขนมไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้แป้งฟูเต็มที่ จากนั้นนำถาดเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15-20 นาที 
ขนมปังนมสด

หลังจากอบขนมปังนมสดเสร็จแล้วทาเนยเคลือบชั้นแรก และด้วยน้ำตาลทราย เพียงเท่านี้เป็นเสร็จเรียบร้อย และที่สำคัญเบเกอรี่ยอดนิยม ชนิดนี้ยังสามารถทานคู่กับเครื่องดื่ม อาทิ ชา กาแฟ อร่อยสุดๆ

เคล็บลับอบเบเกอรี่ง่ายๆ ให้เนื้อนุ่มนิ่ม น่าทาน ตามฉบับมือใหม่

ขนมปังนมสด

เคล็ดลับความอร่อยของขนมปัง นมสด มือใหม่ก็ทำได้ สำหรับเบเกอรี่ทำเองที่บ้าน เราสามารถทำให้แป้งมีความนุ่มฟูได้ไม่ยาก เพียงแค่นวดแป้งให้เนื้อเดียวกัน และจนกว่าแป้งจะไม่ติดมือ และที่สำคัญควรไล่ลม และฟองอากาศออก เพียงแค่ก็จะได้เบเกอรี่โฮมเมดปังเนยนมสดที่มีรสชาติหวานหอมละมุนลิ้นสุดๆ 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
เบเกอรี่

ขอแนะนำ คุกกี้ คริสต์มาส เมนูสุดปัง ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส รสชาติหวาน กรุบกรอบ 

คุกกี้ คริสต์มาส

ใกล้เข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสที่อบอวลไปด้วยความสุข สำหรับใครที่กำลังหาขนมหวานไว้ทานในวันคริสมาสขอแนะนำ คุกกี้ คริสต์มาส เป็นขนมที่มีรสชาติหวาน หอม และมีความกรุบกรอบ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของขนมยังน่ารัก และน่ารับประทาน เหมาะสำหรับทำเป็นของขวัญมอบให้ญาติผู้ใหญ่วันเทศกาลแห่งความสุข

ขนมแห่งความสุขสุดน่ารัก คุกกี้ คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาสต้องมีไว้ติดบ้าน 

คุกกี้ คริสต์มาส

หากใครกำลังมองหาขนมไว้ทำในช่วงเทศกาลคริสต์มารสต้องไม่พลาด คุกกี้คริสต์มาส ขนมสำหรับวันคริสต์มาส ที่สำคัญยังเป็นขนม คุกกี้ มือใหม่ทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งขนมคุกกี้แฟนซีชนิดนี้จะทำง่ายกว่าชนิดอื่น โดยสูตรทําคุกกี้ คริสต์มาสอย่างง่าย และขั้นตอนการทำคริสต์มาสคุกกี้ก็ง่ายแสนง่าย แถมรสชาติอร่อยด้วย เหมาะสำหรับเป็นของขวัญคุกกี้ ปี ใหม่ 

วัตถุดิบ และส่วนผสมที่ต้องเตรียม

  1. แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
  2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  3. น้ำตาลทราย ½ ถ้วย
  4. เนยเค็ม 100 กรัม
  5. กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา
  6. ผงฟู ½ ช้อนชา
คุกกี้ คริสต์มาส

วัตถุดิบ และส่วนผสมแต่งหน้า

  1. น้ำตาลไอชิ่ง 200 กรัม
  2. ไข่ขาว 2 ฟอง
  3. สีผสมอาหาร

วิธี ทํา คุกกี้ คริสต์มาส อย่างง่าย ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข 

หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบคุกกี้ คริสต์มาสเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นขั้นตอนการทำคุกกี้ทำเองที่บ้าน ที่สำคัญเบเกอรี่แฟนตาซีชนิดนี้ยังเป็นขนมที่มีสีสันน่ารับประทาน นอกจากนี้ยังสามารถทำเป็นคุกกี้ การ์ตูนอื่นๆ ได้ตามใจชอบ 

คุกกี้ คริสต์มาส
  1. เริ่มแรก นำแป้งสาลี และผงฟูมาร่อนใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ จากนั้นคนแป้งให้เข้ากัน
  2. เตรียมน้ำตาลทรายในภาชนะ จากนั้นใส่เนยเค็มลงไป ตามด้วยไข่ไก่ เพิ่มความหอมด้วยกลิ่นวนิลลา ตีส่วนผสมให้เข้ากันพักไว้ ต่อมาให้เทแป้งที่ร่อนเสร็จมาลงไปตีส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน
  3. นำแป้งมานวดอีกครั้ง และรีดให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำพิมพ์รูปต้นคริสต์มาส และตัวซานต้าคลอส มาปั้มที่แผ่นแป้ง เมื่อได้รูปการ์ตูนที่ต้องการแล้ว แกะออกและนำไปพักไว้บนถาดอบขนม
  4. นำถาดขนมขนมเข้าตู้อบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เปิดไฟบน-ล่าง ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นนำขนมที่อบเสร็จแล้วมาพักไว้ให้เย็น ประมาณ 5 นาที
  5. ในขั้นตอนต่อมา เตรียมส่วนผสมตกแต่งขนม โดยนำมาไข่ขาวใส่ภาชนะตีจนกว่าฟองจากขึ้น จากนั้นใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป ตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกรอบ เติมกลิ่นด้วยวนิลลา เสร็จแล้วแบ่งครีมออกเป็น 2 ถ้วย เติมสีผสมอาหารลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำขนมที่พักไว้มาตกแต่งด้วยครีมสีสันต่างๆ ที่เตรียมไว้
คุกกี้ คริสต์มาส

สำหรับขนมคุกกี้ คริสต์มาส เป็นเบเกอรี่ยอดนิยม ถ้าต้องการให้ขนมมีกรอบ ควรวอมเตาอบก่อนประมาณ 5- 10 นาที เพื่อให้ความร้อนอยู่ในระดับคงที่ มำให้ขนมที่ได้มีความกรอบ ส่วนสีผสมสำหรับตกแต่งขนมสามารภใช้สีได้ตามใจชอบ จะเห็นได้ว่าวิธีทำเบเกอรี่ง่ายแสนง่าย และสามารถเบเกอรี่ทำเองได้ แถมยังได้ เบเกอรี่โฮมเมดที่แสนอร่อยถูกใจคนในครอบครัว

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
เบเกอรี่

ชวนทำ มัฟฟิน บลูเบอรี่ เนื้อนุ่ม รสชาติหวานอมเปรี้ยว อร่อยอย่างลงตัว 

มัฟฟิน บลูเบอรี่

ใครที่ชอบทานขนมเค้กเนื้อฉ่ำๆ มาทางนี้ เพราะวันนี้เรามีเมนูเบเกอรี่ยอดนิยมมาแนะนำ นั่นก็คือ มัฟฟิน บลูเบอรี่ เป็นขนมเค้กที่นำบลูเบอรี่มาเป็นวัตถุดิบหลักของขนม ทำให้เค้กมีความหอมกลิ่นบลูเบอรี่ฉ่ำๆ แถมยังทำให้เค้กมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยสุด 

มัฟฟิน บลูเบอรี่ เนื้อฉ่ำๆ แสนอร่อย หอมละมุน ทานได้ไม่มีเบื่อ

มัฟฟิน บลูเบอรี่

ขนมเบเกอรี่ มัฟฟินบลูเบอรี่ ถือว่าเป็นขนมเค้กที่สามารถทานได้เป็นอาหารว่างได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้วยรสชาติที่หอมวานอมเปรี้ยวจึงทำให้ขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ สูตร มัฟฟิน บลูเบอรี่ มีทั้ง มัฟฟินบลูเบอรี่ คลีนไม่มีน้ำตาล เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ และที่สำคัญถ้าใครกำลังลดน้ำหนัก สูตรขนมมัฟฟิน บลูเบอรี่ คลีน ตอบโจทย์แน่นอน สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำสูตร มัฟฟินบลูเบอรี่ครีมชีส โดยมีส่วนผสม และวัตถุดิบดังนี้

  1. แป้งเค้ก 150 กรัม
  2. เนยสดจืด 30 กรัม
  3. ครีมเปรี้ยว 30 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  5. นมสดรสจืด 40 กรัม
  6. บลูเบอรี่สด 60 กรัม
  7. ผงฟู 1 ช้อนชา
  8. เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  9. พาร์มีซานชีส 30 กรัม
  10. ครีมชีส 100 กรัม
มัฟฟิน บลูเบอรี่

เมื่อเตรียมส่วนผสมของมัฟฟินบลูเบอรี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นส่วนของวิธีทำบลูเบอร์รี่ มัฟฟิน แบบง่ายๆ มือใหม่ก็ทำตามได้ไม่ยาก

วิธีทำ มัฟฟินบลูเบอร์รี่ ให้อร่อยตามฉบับมือใหม่ ทำง่ายไม่ยุ่งยาก

มัฟฟิน บลูเบอรี่

มัฟฟินบลูเบอรี่ เป็นเบเกอรี่ที่มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด อีกทั้งยังสามารถทำตามได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปเรียนทำขนมให้เสียเวลา แถมรสชาติที่ได้ยังอร่อยเหมือนซื้อทานที่ร้านเลยทีเดียว ส่วนวิธีทำง่ายๆ มีดังต่อไปนี้ 

มัฟฟิน บลูเบอรี่
  1. มาเริ่มที่ขั้นตอนแรก นำแป้งเค้กที่เตรียมไว้มาร่อนรวมกับผงฟู เบกกิ้งโซดา และพาร์มีซานชีส จากนั้นพักแป้งที่ร่อนไว้ ต่อมาเตรียมครีมซิสโดยเครื่องตีครีมใช้ความเร็วในระดับปานกลาง ตีจนกว่าเนื้อครีมจะเนียน ใส่เนยสด ครีมเปรี้ยว น้ำตาลทรายลงไปตีส่วนผสมให้เข้ากัน และใส่ใข่ไก่ลงไปตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกรอบ
  2. นำแป้งที่ร่อนไว้ และนมสดใส่ลงไปในผสมกับครีมซีสตีส่วนผสมให้เข้ากัน ขั้นตอนสุดท้ายใส่บลูเบอรี่ลงไปตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นจากส่วนผสมใส่ถ้วยพิมพ์กระดาษ และตบท้ายด้วยการโรยหน้าด้วยพาร์มีซานชีส เพื่อเพิ่มความหอมของขนมให้ดูน่าทานมากยิ่งขึ้น
  3. นำขนมเข้าอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เปิดไฟ บน-ล่าง ใช้ประมาณ 25 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มัฟฟิน บลูเบอรี่

เมื่ออบ มัฟฟินบลูเบอรี่เสร็จแล้ว นำขนมไปพักไว้ให้เย็น เพียงเท่านี้เราก็จะได้ขนมเค้กเบเกอรี่ยอดนิยมที่แสนอร่อย และมีขั้นตอนการทำเบเกอรี่ง่ายๆ แถมยังเป็น เบเกอรี่ทำเองที่บ้าน สำหรับใครที่ชอบทำเบเกอรี่โฮมเมด สามารถทำตามสูตร บลูเบอรี่มัฟฟินที่เรานำมาแชร์ได้เลย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://paperindustrymag.com เว็บคาสิโนออนไลน์ 24 ชม.

Categories
เบเกอรี่

MADELEINE มาเดอลีน ขนมก้นหอย หรือเค้กไข่ฝรั่งเศสชิ้นเล็ก เนื้อนุ่มละมุนลิ้น

MADELEINE

เมื่อกล่าวถึงประเทศที่มีเบเกอรี่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด หลายคนคงต้องนึกถึง เบเกอรี่ฝรั่งเศส เพราะเป็นประเทศที่รังสรรค์ เบเกอรี่ยอดนิยม ส่งต่อสูตรจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลากหลายเมนู และยังมีเมนูที่คล้ายคลึงกับเบเกอรี่ที่มีขายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย คือ MADELEINE หรือที่เรียกกันว่า มาเดอลีน , มาเดอแลน , มาเดอเลน (ชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามการออกเสียง) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขนมไข่ที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำ แต่จะเหมือนหรือมีความแตกต่างกันอย่างไรนั้น เราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบกันในบทความนี้

MADELEINE ขนมฝรั่งเศสที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน

MADELEINE

สำหรับ ประวัติมาเดอลีน หรือ ขนมไข่ฝรั่งเศส นั้นนับว่าถือกำเนิดมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 ปี ค.ศ.1755 โดยมีเรื่องเล่ากันว่าMADELEINEเกิดขึ้นที่ปราสาท COMMERCY ในแคว้น LORRAINE ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยหญิงสาวคนหนึ่งมีชื่อว่า “MADELEINE PAULMIER” เธอได้ทำขนมถวายแก่กษัตริย์ของโปรแลนด์ ซึ่งเป็นดยุคของแคว้นในสมัยนั้น และเมื่อเมนูนี้ถูกเสิร์ฟออกไปในงานเลี้ยง แขกทุกคนต่างชื่นชอบเค้กชิ้นเล็กแสนเรียบง่าย และรสชาติที่อร่อยถูกปาก หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศในช่วงยุคสมัยนั้น 

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมมาเดอลีน รูปทรงเปลือกหอยนี้มีที่มา

MADELEINE

MADELEINEเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เนื้อเค้กสปันจ์ มาเดอลีน รสชาติ หวานนุ่มชุ่มฉ่ำเนย กลิ่นหอมของผิวเลมอน และเนยผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขนม แช่ไว้ในตู้เย็น 2–3 วัน เนื้อขนมจะอร่อยฉ่ำมากยิ่งขึ้น อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้เลยก็คือรูปร่างเปลือกหอยสีเหลืองทองที่ถูกรังสรรค์มาอย่างสวยงาม โดยที่มาของรูปร่างเปลือกหอยก็มาจากการที่หญิงสาวผู้คิดค้นสูตรขนม เธอได้ใช้เปลือกหอยที่หาได้ง่ายในครัวมาใช้แทนพิมพ์ในการอบนั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างขนมไข่ และมาเดอลีน

MADELEINE

แม้ว่าขนมMADELEINEและ ขนมไข่ ของไทยจะมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน และใช้วัตถุดิบที่คล้ายกันอย่าง แป้ง น้ำตาล ผงฟู และไข่ไก่ และนิยมนำมารับประทานคู่กับชากาแฟในยามบ่าย แต่ความแตกต่างของ เบเกอรี่ขนมหวาน ทั้งสองชนิดนั้นคือ ขนมไข่จะเน้นวัตถุดิบหลักเป็นไข่สดๆในปริมาณมาก ส่วน มาเดอแลน จะเน้นการใส่ส่วนผสมหลักเป็นเนย จนนุ่มชุ่มฉ่ำ และมีการใส่ผิวเลมอนเข้าไปเพิ่มกลิ่นด้วย 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ มาเดอลีน สูตรคลาสสิก

MADELEINEเป็น ขนมทำง่าย แต่ต้องใช้เวลาในการทำเล็กน้อยเพื่อให้แป้งของขนมเชตตัว โดยพักไว้ให้แป้งดูดซึมส่วนผสมอื่นๆให้ได้มากที่สุด ส่งผลให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ ในปัจจุบัน มาเดอลีน สูตร มีความหลากหลายมากจากความนิยมที่ได้รับในหลายๆประเทศ ในบางสูตรมีการเพิ่มอัลมอนด์ และลูกเกดเข้าไปเป็นส่วนผสม เพิ่มเติมกลิ่น และรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น เช่น รสส้ม , ช็อคโกแลต , คาราเมล และอื่นๆ สำหรับสูตรทำขนมของเราในบทความนี้เป็นสูตรคลาสสิก ทุกคนสามารถรังสรรค์ปรับเปลี่ยนสูตร โดยเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆใส่ได้ตามชอบ

MADELEINE

วัตถุดิบ ทำ ขนมเมดเดอเรน

  1. ไข่ไก่เบอร์1 2 ฟอง 
  2. น้ำตาลทราย 90 กรัม
  3. แป้งเค้ก 115 กรัม
  4. ผงฟู 11/2 ช้อนชา
  5. เนยรสเค็มละลาย 95 กรัม
  6. ผิวเลมอนขูด 1 ผล

ขั้นตอนวิธีการทำ 

MADELEINE
  1. ขั้นตอนแรกในการทำMADELEINE เริ่มจากการใส่ไข่ และน้ำตาลลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต่อด้วยการร่อนของแห้งทั้งหมดใส่ลงไป คือ แป้งเค้ก และผงฟู จากนั้นคนให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อครีม ใส่เนยสดรสเค็มละลายพออุ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน สุดท้ายใส่ผิวเลมอนขูดลงไปตีให้เข้ากัน พักแป้งไว้ในภาชนะมีฝาปิดไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง
  2. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้นำออกมาคนให้คลายความเย็นลง นำใส่ถุงบีบ จากนั้นเตรียมพิมพ์รูปก้นหอย โดยใช้เนยนิ่มทาพิมพ์บางๆให้ทั่ว ร่อนผงแป้งลงไปให้ทั่วพิมพ์ และเคาะแป้งส่วนเกินออก เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติดพิมพ์ รองพิมพ์ด้วยถาดรองอบแล้วบีบครีมที่เตรียมไว้ลงไปไม่ต้องเต็ม เพราะระหว่างอบตัวขนมจะฟูขึ้นมา
  3. วอร์มเตาอบด้วยอุณหภูมิ 190 องศาไฟบนล่างเปิดพัดลม เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนจะนำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม เป็นเวลา 12 – 15 นาที หรือจนกว่าตัวขนมจะสุกฟูได้ที่ เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์มาพักไว้ในตะแกรงให้คลายความร้อน เสร็จแล้วนำไปชุบช็อกโกแลต หรือนำไปทานกับชากาแฟได้เลยค่ะ
MADELEINE

บทสรุป

ก่อนจะจากกันไปในบทความนี้ เราขอบอกวิธีการทานMADELEINEให้อร่อยมากยิ่งขึ้น คือการนำ ขนมจุ่มนม ช็อกโกแลตร้อนๆ ชา หรือกาแฟ จะทำให้ ขนมมาเดอแลน ดูดซึมน้ำเหล่านี้เข้าไป เนื้อของขนมจะนุ่มชุ่มฉ่ำทานเพลินมากยิ่งขึ้น และสำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า มาเดอลีน เก็บได้กี่วัน ? คำตอบคือสามารถบรรจุเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นาน 5 วัน และในตู้เย็นได้นานถึง 14 วันเลยทีเดียว

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://midwestrailplan.org/ เว็บไซต์การพนันออนไลน์

Categories
เบเกอรี่

WAGASHI วากาชิ เนริกิริ ขนมญี่ปุ่นที่มีประวัติความเป็นมามากกว่า 2000 ปี

WAGASHI

ขนมญี่ปุ่น เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมอยู่หลายเมนู ยกตัวอย่างเช่น ไดฟุกุ โมจิ โดรายากิ ฯลฯ และสูตรขนมของเราในบทความนี้ก็เป็นขนมญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน แต่หลายคนอาจยังไม่รู้จักเท่าที่ควร “วากาชิ” หรือ WAGASHI ขนมหวานโบราณดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น รูปทรงของขนมมีเอกลักษณ์ โดยมีการผสมผสานศิลปะของชาวญี่ปุ่นในสมัยเมืองหลวงเกียวโต 

ทำความรู้จักกับ WAGASHI ขนมหวานที่สื่อถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่น

WAGASHI

WAGASHIวากาชิ คำนี้แปลความหมายตามตัวว่า ขนมหวาน ญี่ปุ่น โดยคำว่า “WA วา” แปลได้ว่า แห่งความเป็นญี่ปุ่น และคำว่า “KASHI กาชิ” แปลได้ว่า ขนมหวาน เมื่อทั้งสองคำนี้มารวมกัน จึงกลายเป็น ขนมหวาน ที่สื่อถึงความเป็นญี่ปุ่นนั่นเอง นอกจากนี้ขนมหวานหลายชนิดยังสื่อถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย

ประวัติความเป็นมาของ วากาชิ 

WAGASHI

ในอดีตนั้น ของหวานทานเล่น ของชาวญี่ปุ่นในสมัยยาโยอิ (300 ปีก่อนคริสกาล) มีเพียงผลไม้ที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมาในสมัยนะระ ค.ศ.710 ชาวญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมต่างๆมาจากชาวจีน รวมถึงการ ทำขนมหวาน จากข้าว และข้าวเหนียว จนได้ปรับเปลี่ยนรังสรรค์สูตรให้กลายเป็นWAGASHI ในแบบของตัวเอง เริ่มจาก โมจิ และดังโกะ เป็นเมนูแรกๆที่เกิดขึ้นมา เพื่อรับประทานในพิธีชงชาในยามว่าง และยามบ่าย

เนริคิริ คืออะไร ?

WAGASHI

เมนูขนมหวาน ของเราในบทความนี้ก็เป็นหนึ่งในWAGASHIด้วยเช่นกัน โดย เนริคิริ คือ ขนมหวานขึ้นชื่อของชาวญี่ปุ่น ประเภทนามะกาชิ หรือขนมสด ทำมาจากถั่วขาวกวน หรือชิโรอัน ผสมกับกิวฮิ หรือที่เราเรียกกันว่าแป้งโมจินั่นเอง โดยเป็นขนมที่ถูกนำมาปั้นเป็นรูปทรงสวยงาม ผสานศิลปะของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะปั้นเป็นรูปทรงตามฤดูกาล เช่น ดอกซากุระ นก แทนฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเนื้อสัมผัสของขนมเหนียวนุ่ม รสชาติหวาน นิยมนำมารับประทานพร้อมกับน้ำชา 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ วากาชิ เนริคิริ

WAGASHI

ส่วนผสมในการทำ ขนมเนริคิริ มีเพียงเล็กน้อย และหาได้ง่ายในประเทศไทย แต่ขั้นตอนวิธีการทำ WAGASHI เมนูนี้อาจจะยุ่งยากไปสักหน่อยสำหรับมือใหม่ เพราะต้องใช้เวลาเตรียมวัตถุดิบเป็นเวลานาน และต้องอาศัย ศิลปะในการทำขนม และความตั้งใจไม่น้อย เพื่อรังสรรค์บรรจงปั้นขนมให้เป็นรูปทรงที่สวยงามละเมียดละไม แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบการทำขนมแนวนี้ ก็จะสามารถทำได้โดยง่าย และสนุกไปกับมัน

วัตถุดิบทำ ถั่วขาวกวน หรือชิโรอัน

  1. ถั่วขาว CANNELLINI 960 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 200 กรัม

วัตถุดิบทำ แป้งโมจิ

  1. แป้งข้าวเหนียว 32 กรัม
  2. น้ำเปล่า 44 กรัม
  3. สีผสมอาหาร ปริมาณตามชอบ
WAGASHI

ขั้นตอนวิธีการทำ วากาชิ เนริคิริ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ชิโรอัน หรือถั่วขาวกวน สำหรับเมนูWAKASHIเริ่มจากการนำถั่วขาวใส่ลงไปในชามผสมกันความร้อน แล้วเทน้ำเดือดใส่ให้พอท่วม พักไว้เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดจนกว่าน้ำจะขาวใส เพื่อกำจัดกลิ่น และรสชาติของเมล็ดถั่ว เสร็จแล้วกรองน้ำออกจนหมด
  2. เตรียมที่ร่อนแป้ง และชามผสมอีกหนึ่งใบสำหรับใส่ถั่วขาวบด นำถั่วขาวไปวางไว้บนที่ร่อนแป้งแล้วใช้ช้อนกดถั่วให้แหลกละเอียด จนกลายสภาพเป็นเนื้อแป้ง โดยมีชามผสมรองรับด้านล่าง
  3. ตั้งกระทะเทฟล่อนด้วยไฟกลาง ใส่แป้งถั่วกวนลงไป ตามด้วยน้ำตาล กวนอย่างต่อเนื่องจนกว่าน้ำตาลทั้งหมดจะละลาย ในขั้นตอนนี้ส่วนผสมอาจจะมีความชื้นอยู่มาก ให้กวนต่อจนกว่าจะแห้งดี จากนั้นปรับลดไฟลงเป็นไฟอ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมไหม้ เช็คความได้ที่ของแป้งด้วยมือ หากหยิบขึ้นมาแล้วแป้งไม่เหนียวติดมือก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน ปิดเตานำออกมาพักไว้ให้เย็นได้เลย
  4. ใส่แป้งข้าวเหนียวและน้ำเปล่าลงไปในกระทะเทฟล่อน ใช้ไม้พายผัดจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี ก่อนจะนำไปตั้งเตาด้วยไฟกลาง กวนต่อจนส่วนผสมโปร่งใส เหนียว และหนา เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็นลง จากนั้นนำไปช่างให้ได้ขนาดประมาณ 50 กรัม
  5. เมื่อพักส่วนผสมไว้จนเย็นแล้ว ให้แบ่งแป้งถั่วขาวออกมาเป็นก้อนขนาดประมาณ 200 กรัม สำหรับทำไส้ขนม และห่อแต่ละก้อนด้วยฟิล์มถนอมอาหาร จากนั้นใส่ส่วนผสมในขั้นตอนที่ 4 หรือ GYUHI ลงไปในแป้งที่เหลือ นวดให้เข้ากันดีแล้วปั้นเป็นก้อนวางลงบนผ้าขาวบางสะอาด และพับนวดแป้งไปมาบนผ้าขาวบาง ตามด้วยการแบ่งแป้งออกเป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้ 1 นาที และนวดเข้าหากันด้วยผ้าขาวบางอีกรอบจนกว่าแป้งจะเนียนนุ่ม ก่อนจะปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาด 35 กรัม ห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหารทีละชิ้น และนำแป้งทั้งหมดจัดใส่ถาชนะมีฝาปิด แช่ไว้ในตู้เย็น
  6. นำแป้งสำหรับทำไส้ออกมาแบ่งผสมสีตามสีผสมอาหารที่เลือกใช้ ปั้นเป็นก้อนกลม 4 ก้อนเท่าๆกัน และพักไว้ โดยใช้ชามผสมคลุมไว้ เพื่อไม่ให้แห้งจนเกินไป
  7. นำแป้งถั่วเขียวที่เหลือออกมาผสมสีผสมอาหารตามชอบ จากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อนกลมอีกครั้ง ใส่ไส้ที่ปั้นเป็นก้อนกลมเช่นกันไว้ตรงกลาง และตกแต่งรังสรรค์ให้เป็นรูปร่างได้ตามชอบ เสร็จแล้วจัดใส่จานรับประทานพร้อมชาร้อนๆได้เลยค่ะ

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://midwestrailplan.org/ เว็บคาสิโนออนไลน์มาแรงแห่งปี

Categories
เบเกอรี่

เมอแรงค์ MARINGUE เบเกอรี่ยอดนิยม สูตรทำง่าย ทานเพลินๆ

เมอแรงค์

หากกล่าวถึง “ประเทศฝรั่งเศส” หลายคนคงอดคิดถึงสถานที่สุดโรแมนติกไม่ได้ เพราะเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าหลงใหลมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของ เบเกอรี่ หลากหลายเมนู บางเมนูก็กลายเป็น เบเกอรี่ยอดนิยม โด่งดังไปทั่วโลก รวมถึงเมนู เมอแรงค์ (MERINGUE) ขนมหวานเนื้อเบาฟูที่กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยความนิยมนี้ทำให้ถูกประยุกต์ปรับปรุงสูตรให้อร่อยน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น บางชิ้นมีความน่ารักจนไม่กล้ารับประทานเลยทีเดียว

ทำความรู้จัก เมอแรงค์ เบเกอรี่ชิ้นจิ๋ว หยิบทานเพลิน

เมอแรงค์

คำว่าเมอแรงค์เป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่มีความหมายสุดโรแมนติก สื่อความหมายถึง “จูบ” ส่วน ขนมเมอแรงค์ คือ ขนมหวาน ของชาวฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ ทำมาจากส่วนผสมหลักอย่าง ไข่ขาวที่ถูกนำมาตีพร้อมน้ำตาลด้วยเครื่องผสมอาหารความเร็วสูงจนมีเนื้อนุ่มฟู ในบางสูตรมีการผสมแป้งเข้าไปเพื่อช่วยขึ้นรูป พร้อมเติมสารแตงกลิ่นหอม เมื่อรับประทานเข้าไปจะรับรู้ได้ถึงเนื้อสัมผัสกรอบกำลังดี รสชาติหวานหอมละลายในปาก

ประความเป็นมาของขนม เมอแร็งก์ หรือเมอแรงค์ 

เมอแรงค์

ประวัติเมอแรงค์ นั้นมีต้นกำเนิดที่เมือง MERINGEN หรือเมืองเมอริเจน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยถูกคิดค้นและปรับปรุง สูตรขนมเมอแรงค์ โดยเชฟชาวอิตาลีท่านหนึ่ง มีนามว่า GASPARINI ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ในเวลาต่อมาก็ได้มีการโต้แย้งถึงแหล่งกำเนิดของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดอยู่ที่ใดกันแน่ แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นหลักฐานที่แน่ชัดก็คือมีสูตรอยู่ใน ตำราอาหาร ของ MASSIALOT ในช่วงปี ค.ศ.1692

MARINGUE เบเกอรี่ยอดนิยม ที่สามารถแบ่งได้หลายประเภท

เมอแรงค์

แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ประเทศใดกันแน่ แต่ก็ถูกนำไปประยุกต์สูตรให้เข้ากับแบบฉบับการรับประ ทานขนมหวาน ของแต่ละประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ , ฝรั่งเศส และอิตาลี จึงสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เฟรนช์เมอแรงค์ FRENCH MERINGUE , สวิสเมอแรงค์ SWISS MERINGUE , อิตาเลียนเมอแรงค์ ITALIAN MERINGUE ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในด้านของเนื้อสัมผัส วัตถุดิบ และวิธีการทำ 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ พร้อมเทคนิคง่ายๆในการทำเบเกอรี่

เมอแรงค์

ก่อนจะไปเรียนรู้ สูตรเมอแรงค์ ของเราในบทความนี้ เราก็ขอบอกถึงเทคนิคในการทำ เมอแรงค์ ให้ได้รู้ก่อนการลงมือทำ คือ การเช็ดชามผสม และเครื่องตีด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว เพราะหากยังหลงเหลือคราบไขมันแม้แต่น้อยก็จะทำให้การ ตีขนมเมอแรงค์ ไม่ขึ้นฟูสวยงามอย่างที่หวังไว้ และอีกหนึ่งข้อควรระวังคือการเตรียมวัตถุดิบหลักอย่าง “ไข่ขาว” แนะนำให้แยกไข่ขาว และไข่แดงให้ระมัดระวังที่สุด ดังนั้น หากทำได้ตามนี้ การทำขนมของคุณในครั้งนี้ก็จะสามารถผ่านไปได้โดยง่าย ไม่มีอุปสรรคในการทำค่ะ

วัตถุดิบทำ เมอ แรงค์

  1. ไข่ขาวของไข่ไก่ 2 ฟอง
  2. น้ำตาลทราย 85 กรัม
  3. กลิ่นวนิลา ½ ช้อนชา
  4. สีผสมอาหารตามชอบ
เมอแรงค์

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำเมอแรงค์ เริ่มจากการทำความสะอาดหัวตี และโถผสม (เช็ดด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว เพื่อให้ปราศจากคราบมัน) ก่อนจะใส่ไข่ขาวลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย 
  2. ตั้งหม้อต้มน้ำรอให้เดือด ปรับไฟเป็นไฟอ่อนแล้วนำชามผสมที่ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลละลายมาวางบนปากหม้อ ต่อด้วยการใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี เป็นการใช้ไอน้ำช่วยให้ส่วนผสมละลายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เสร็จแล้วยกออกจากเตาได้เลยค่ะ
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 มาตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดสูงสุด ตีจนตั้งยอดอ่อนแล้วปิดเครื่องผสมอาหาร ใส่สารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไป เปิดเครื่องตีต่อด้วยสปีดสูงสุด จนตั้งยอดกลาง – แข็ง จากนั้นแบ่งส่วนผสมออกมาใส่ภาชนะ ตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ ก่อนจะเติมสีผสมอาหารลงตะล่อมให้เข้ากันกับส่วนผสม (ในขั้นตอนนี้แนะนำว่าอย่าคนแรงนะคะ เพราะจะทำให้ไข่ขาวซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก มีเนื้อเหลว และฝ่อลงได้)
  4. นำหัวบีบใส่ลงไปในถุงบีบ ตัดปลายของถุงบีบให้ลึกพอพ้นขอบหัวบีบ ก่อนจะใส่ลงไปในแก้วแล้วใส่ส่วนผสมของ เมอร์แรง ที่เตรียมไว้ลงไป โดยแยกให้เป็นสีละอัน 
  5. เตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบให้พร้อม ก่อนจะบีบตัว ขนมเมอแรงค์ ให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ สามารถรังสรรค์ได้ตามชอบเลยนะคะ แต่ขอแนะนำให้เว้นระยะห่างแต่ละชิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมไหลมาติดกัน
  6. วอร์เตาอบด้วยไฟบนล่าง 90 องศาเซลเซียส ก่อนจะนำขนมที่เตรียมไว้เข้าไปวางในเตาอบชั้นล่างสุด และเปิดเตาอบด้วยอุณหภูมิเท่ากัน เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หากครบเวลาแล้วตัวขนมยังไม่แห้ง หรือกรอบดี สามารถปรับเพิ่มเวลาอบต่อได้ค่ะ เมื่อได้เนื้อขนมที่พึงพอใจแล้วให้ปิดเตา พักไว้ในเตาอบต่อเป็นเวลา 20 นาที 
  7. หลังจากรอจนครบเวลาจนตัวขนมคลายความร้อนแล้วให้นำออกมาแกะออกจากแผ่นรองอบ และนำไปใส่ภาชนะมีฝาปิดทันที หากตั้งทิ้งไว้ข้างนอกจะทำให้ขนมชื้น และไม่กรอบ รอต่อไปให้ขนมเย็นสนิทแล้วค่อยนำออกมารับประทานนะคะ

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet เว็บคาสิโนและพนันออนไลน์ชื่อดัง

Categories
เบเกอรี่

บราวนี่หน้าฟิล์ม อร่อยนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ท้าให้กิน

บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์ม  สูตรเด็ดแสนอร่อย หนึบๆ เป็นอีกหนึ่ง สูตรบราวนี่หน้าฟิล์มหวานน้อย ที่ไม่ควรพลาด มาฝึกทำกันเถอะ รับรอง ติดใจ

ส่วนผสมในการทำ บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์มขนมเบเกอรี่สุดอร่อยที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ใครที่ชอบกินช็อคโกแลตเข้ม ๆ เน้น ๆ ฉ่ำ ๆ ต้องสูตรนี้เลย เรามาดูกันส่วนผสมมีอะไรกันบ้าง ห้ามพลาด

วัตถุดิบสำหรับทำบราวนี่

มีส่วนผสมเพียงไม่กี่อย่าง ถึงไม่แปลกใจเลยที่ขนมชนิดนี้ จะเป็นที่นิยม ในส่วนของการอบ บราวนี่หน้าฟิล์มอบกี่นาที คำตอบอยู่ในบรรทัดถัดไป

บราวนี่หน้าฟิล์ม
  • เนยสดชนิดจืด 85 กรัม
  • ช็อกโกแลตชิพ จำนวน 175 กรัม 
  • น้ำตาลทราย 160 กรัม 
  • ไข่ไก่เบอร์ 1 จำนวน 2 ฟอง 
  • กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  • แป้งสาลีเอนกประสงค์ 85 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

วิธีทำง่าย ๆ ใครก็ทำได้

บราวนี่หน้าฟิล์ม

ขั้นตอนที่ 1 นำดาร์คช็อคโกแลตหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปอุ่นพร้อมกับเนยประมาณ 30 นาที รอจนละลาย คนให้เข้ากันจนขึ้นเงาแล้วพักไว้ ในระหว่างนั้น ให้ร่อนแป้ง ผงโกโก้และเกลือ พักไว้เช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 ไข่และน้ำตาลมาตีด้วยเครื่องกระทั่งไข่ฟูและมีสีอ่อน นำส่วนผสมช็อคโกแลตกับเนย ตีให้เข้ากันอีกครั้ง ตามด้วยกลิ่นวานิลลา ตีต่อสักพัก เพื่อให้ได้มาซึ่งบราวนี่หน้าฟิล์มสุดแสนอร่อย ฉ่ำๆ 

ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ในส่วนของพิมพ์ในการทำ บราวนี่หน้าฟิล์มไม่ใช้เตาอบ 

บราวนี่หน้าฟิล์ม

สำหรับบางรายที่ไม่มีเตาอบ สามารถใช้สูตรนี้ได้ โดยให้เลือกขนาดพิมพ์ที่ 7×7 นิ้ว นำกระดาษไขมารองก่อน หรือถ้าไม่มีกระดาษไข ให้ทาน้ำมันพืชรอบถาด จากนั้นเทส่วนผสมทั้งหมดลงในพิมพ์

ขั้นตอนที่ 4 ในกรณีใช้เตาอบ ให้ตั้งอุณหภูมิที่ 170 องศาเซลเซียส ใช้เวลาอบประมาณ 25-30 นาที รอกระทั่งครบเวลา แล้วลองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดู ถ้าไม่พบแป้งเหลว ๆ ติดไม้จิ้มฟัน ก็ถือว่าสุกดีแล้ว

หมายเหตุ : ในกรณีไม่ใช้เตาอบ แต่เปลี่ยนมาเป็นหม้อหุงข้าว การหุงส่วนผสมทั้งหมดที่อยู่ในพิมพ์ ต้องหุงถึง 2 รอบ โดยใช้เวลาทั้งหมดรวมกัน 1.10 ชั่วโมง ถึงจะสำเร็จ ได้บราวนี่อร่อย ๆ มารับประทานไม่แพ้เตาอบ

ขั้นตอนที่ 5 นำออกจากเตาอบ หั่นเป็นชิ้น ๆ จะรับประทานเองหรือจะขายราคาตั้งตามกลไกตลาดมาจำหน่ายได้เลย

บราวนี่หน้าฟิล์ม

จะเห็นได้ว่าการทำขนมบราวนี่นั้นแทบจะไม่มีความยุ่งยากใด ๆ เลย แม้กระทั่ง ไม่มีเตาอบ ก็ยังสามารถนำหม้อหุงข้าวมาทำบราวนี่ได้ อีกทั้งยังอร่อย เหมือน ๆ กัน

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet เว็บพนันออนไลน์ปลอดภัยมั่นใจ 100%

Categories
เบเกอรี่

ทาร์ตไข่ กินเพลิน อร่อยจนหยุดไม่ได้

ทาร์ตไข่

ทาร์ตไข่ ขั้นตอนการทำนั้นแสนจะง่าย อีกทั้งยังกินเพลิน ความอร่อยไม่ต้องพูดถึง เทียบเท่า สูตรทาร์ตไข่kfc ใครอยากลอง ต้องฝึกทำ

ส่วนผสมในการทำ ทาร์ตไข่

ทาร์ตไข่

ทาร์ตไข่เมนูขนมหวานแสนอร่อยที่สามารถหาซื้อกินเองได้ในห้างสรรพสินค้ารวมถึงร้านขนมทั่ว ๆ ไป ทำให้ขนมหวานเมนูนี้ เป็นที่นิยม ใครก็รู้จัก และยิ่งนำออกมาจากเตาอบร้อน ๆ ยิ่งแล้วใหญ่ กัดกินในแต่ละคำ หอม อร่อยจนหยุดไม่ได้ และด้วยสาเหตุนี้ทำให้ แอดมินตัดสินใจรวบรวมสูตรการทำทาร์ตมาให้ผู้ที่ชื่นชอบได้ลองหัดเข้าครัวทำทาร์ตกินเอง และแน่นอน สูตรดังกล่าว สามารถทำได้แน่นอนและอร่อยด้วย เป็น สูตรทาร์ตไข่ง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำได้

วัตถุดิบสำหรับทำ ทาร์ตไข่

ความน่าสนใจของเมนูขนมหวานชนิดนี้นั่นก็คือ วัตถุดิบใช้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น อีกทั้ง ขั้นตอนการทำก็ไม่ได้ยุ่งยาก ทว่า ผลลัพธ์ที่ได้มา นั่นก็คือ ขนมหวานแสนอร่อย หอม ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานทาร์ต

ทาร์ตไข่

แป้งทาร์ต

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 11/2 ถ้วยตวง
  • น้ำมันหมู 1/4 ถ้วยตวง
  • เนยสด 1/4 ถ้วยตวง
  • เกลือ 1/2 ชช.
  • น้ำตาลไอซิ่ง 2 ชต.
  • ไข่แดง 1 ฟอง
  • น้ำเปล่า 1-2 ชต.

ไส้คัสตาร์ด

  • นมข้นจืด ⅔ ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย ⅔ ถ้วยตวง
  • นมสด ⅔ ถ้วยตวง
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • กลิ่นวานิลลา 1 ชต.
  • เกลือ ¼ ชช.
ทาร์ตไข่

วิธีทำทาร์ตง่าย ๆ 

แป้งทาร์ตไข่ วิธีทำ ทำอย่างไร? รวมถึง ในส่วนของไส้คัสตาร์ด ทาง แอดมินได้รวบรวมข้อมูลไว้แล้ว

ขั้นตอนที่ 1 แป้ง เกลือ น้ำตาลไอซิ่ง ผสมเข้าด้วยกัน จากนั้น ทำแป้งให้เป็นบ่อตรงกลางแล้วเทน้ำมันหมูลงไป เคล้าให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 2 นำเนยมาตัดเป็นเม็ดถั่วเขียวเล็ก ๆ ใส่ลงในแป้ง ตามด้วยไข่แดง มาถึงการตะล่อมแป้ง ใช้น้ำเย็นจัดในการตะล่อมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้น นำแป้งสำหรับทำ ทาร์ตไข่ เข้าไปเก็บในตู้เย็นประมาณ 20 นาที

ทาร์ตไข่

ขั้นตอนที่ 3 ต้มน้ำในกะทะ โดยนำโถที่เล็กกว่ากะทะมาวางทับบนกะทะ จัดการผสมไข่และน้ำตาลทรายในโถ กวนและคนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันดี ตามด้วย นมสด นมข้นจืด กลิ่นวานิลลาและเกลือ

ขั้นตอนที่ 5 กรองครีมคัสตาร์ดด้วยผ้าขาวบาง แล้วพักไว้ให้เย็น ในส่วนของ แป้งทาร์ตไข่ นำมากรุในถ้วยพาย ใช้ส้อมจิ้มเป็นรูเพื่อไล่อากาศ แล้วค่อยหยอด ครีมทาร์ตไข่ ลงในถ้วยพาย ในระหว่างนั้น วอร์มเตาอบที่ 220 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบนล่าง ก่อนทำการอบ

ขั้นตอนที่ 6 นำเข้าเตาอบ อบประมาณ 20 นาที แล้วค่อยเช็คดูว่า ไข่สุกหรือเปล่า ? จากนั้น เคลือบหน้าทาร์ตด้วยน้ำเชื่อมคาราเมล นำเข้าเตาอบอีกครั้ง รอบนี้ใช้ไฟบน อบจนหน้าขนมดูไหม้ ก็ถือว่าทำเสร็จแล้ว

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet เว็บคาสิโนอันดับ1