Categories
เบเกอรี่

เค้กส้มหน้านิ่ม เค้กยอดนิยมจากผลไม้หาง่าย

เค้กส้มหน้านิ่ม

เค้กส้มหน้านิ่ม เมนูเบเกอรี่ ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นเค้กที่ปราศจากเนื้อครีม จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำตาล หรือกำลังลดน้ำหนัก และไม่ชอบรับประทานครีมที่มีรสชาติหวานเลี่ยนจนเกินไป  เนื้อเค้กราดซอสส้ม ฉ่ำๆ ยิ่งนำมาแช่เย็นแล้วยิ่งทานแล้วฟินชื่นใจ จนกลายเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคน 

แนะนำ เค้กส้มหน้านิ่ม เค้กอร่อยๆ เติมความสดชื่นให้กับร่างกาย

ขนมเค้ก เบเกอรี่อบรสหวานทำมาจากวัตถุดิบหลักคือ แป้ง น้ำตาล และไข่ นิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งในงานเฉลิมฉลองต่างๆทั่วโลก กระแส เค้กส้มหน้านิ่ม กำลังพุ่งกระฉูดแบบไม่มีตก ไม่ว่าใครใช้ สูตรเค้กส้ม ทำขายก็สร้างรายได้ได้อย่างมากมาย ยิ่งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าวในทุกวันขนาดนี้ การทาน เค้กส้ม แช่เย็น จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้จริง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมนูนี้ถูกทำขายในประเทศไทยมากมาย

เค้กส้มหน้านิ่ม

สารพัดประโยชน์จาก “ส้ม” วัตถุดิบหลักวิตามินสูง

วัตถุดิบหลักในการทำ เค้กส้มหน้านิ่ม มาจากผลไม้รสเปรี้ยวที่เพาะปลูกกันมาในหลายๆประเทศกว่าหลายพันปี นอกจากจะทานแล้วสดชื่นคลายร้อนแล้ว ยังเป็น ผลไม้วิตามินสูง  ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ประโยชน์จากการทาน เค้กผลไม้ จากส้มนั้นมีหลากหลาย เช่น มีใยอาหารสูงช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ดี , วิตามินซีสูงในส้มช่วยกระตุ้นภูมิคุ้นกันให้กับร่างกาย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ , น้ำตาลฟรุกโตสในเนื้อส้มช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด , โพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต รวมถึงมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจ และน้ำส้มช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในใต ฯลฯ สิ่งที่เรายกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงประโยชน์ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เค้กส้มหน้านิ่ม

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ เค้กส้ม หน้านิ่ม และวิธีทำซอสส้มด้วยตัวเอง

สูตรเบเกอรี่ เค้กส้มหน้านิ่ม สูตรนี้ เป็นสูตรสำหรับทำทานเอง และทำขายสร้างรายได้และเป็นเมนู เค้กขายดี หรือทำเพื่อเป็นเค้กวันเกิดให้กับเด็กๆ หรือคนพิเศษในวันสำคัญ เป็นเนื้อเค้กสปันจ์เนื้อนุ่มฟู เนื้อสัมผัสละมุนลิ้น ความหวานแต่ไม่เลี่ยน ตัดกันได้ดีกับรสเปรี้ยวของ ซอสส้มหน้านิ่ม ที่ราดลงไปทั่วทั้งเนื้อเค้ก นับว่าเข้ากันเป็นอย่างดี ในบทความนี้เราขอแบ่งส่วนผสม และ วิธีทำเค้กส้มหน้านิ่ม ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของเนื้อเค้กสปันจ์ และซอสส้มโฮมเมททำเองแบบง่ายๆ ดังนี้

วัตถุดิบทำ เนื้อเค้กสปันจ์

  1. ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 4 ฟอง 
  2. น้ำส้มเข้มข้น 30 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 80 กรัม
  4. โอวาเล็ต หรือเอสพี 12 กรัม
  5. ผงฟู 1 ช้อนชา
  6. แป้งเค้ก 100 กรัม
  7. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  8. เนยสดเค็มละลาย 80 กรัม 
  9. สารแต่งกลิ่นส้ม
  10. สีผสมอาหารสีส้ม

วัตถุดิบทำ ซอสส้ม

  1. น้ำเปล่า 375 มิลลิลิตร
  2. น้ำส้มเข้มข้น 180 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 120 กรัม
  4. แป้งกวนไส้ 35 กรัม
  5. เนยสดเค็ม 35 กรัม
  6. สีผสมอาหารสีส้ม
เค้กส้ม หน้านิ่ม

ขั้นตอนวิธีการทำเนื้อเค้ก

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ เค้กส้มหน้านิ่ม เริ่มจากการส่วนผสมของเหลวอย่างใส่ไข่ น้ำตาลทราย และน้ำส้มลงไปในชามผสม ตามด้วยการร่อนส่วนผสมของแห้งลงไป ได้แก่ แป้งเค้ก แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือป่น สุดท้ายปาดเอสพี หรือโอวาเล็ตใส่หัวตะกร้อ (เพื่อช่วยให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดี และขึ้นฟูมากกว่าปกติ) 
  2. เปิดเครื่องผสมอาหาร ตีส่วนผสมทั้งหมดให้หมดผงแป้งด้วยสปีดต่ำ ปิดเครื่องแล้วใช้ไม้พายปาดส่วนผสมที่ติดอยู่ขอบโถให้มารวมกันอยู่ตรงกลาง และเปิดเครื่องตีอีกครั้งด้วยสปีดสูงสุดเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าเนื้อแป้งจะมีสีขาวข้น ขึ้นฟูได้ที่แล้วปาดขอบโถอีกรอบ 
  3. เติมสีผสมอาหารสีส้ม และสารแต่งกลิ่นส้มลงไปตีให้เข้ากันด้วยสปีดเท่าเดิม ตีต่อเป็นเวลา 5 นาที แล้วทยอยเทเนยเค็มละลายที่อุ่นเรียบร้อยแล้วลงไป เมื่อหมดเนื้อเนยแล้วให้ปิดเครื่องปาดโถอีกครั้งเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี และตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี ไม่มีริ้วไขมัน และเศษเนย ปิดเครื่องปาดรอบชามผสมอีกครั้งแล้วตีต่อเป็นเวลา 1 นาที เมื่อเข้ากันดีแล้วปรับลดลงเป็นสปีดต่ำเพื่อไล่ฟองอากาศ เป็นเวลา 30 วินาที
  4. เตรียมพิมพ์เค้กขนาด 2 ปอนด์ รองด้วยกระดาษไขหรือกระดาษรองอบ จากนั้นเทแป้งที่ได้ในขั้นตอนที่ 3 ก่อนจะนำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 45 นาที หรือจนกว่าเค้กจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตามาพักไว้ให้เย็น
เค้กส้ม หน้านิ่ม

ขั้นตอนวิธีการ ทำซอสส้ม และวิธีการราดซอสที่หน้าเค้ก

  1. ขั้นตอนแรกในการ ทำซอสส้ม ให้เตรียมกระทะเทฟล่อน ใส่น้ำเปล่า น้ำส้มเข้มข้น และน้ำตาลทรายลงไปคนให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ จากนั้นใส่แป้งกวนไส้ลงไปคนต่อให้แป้งละลายดี เมื่อหมดเนื้อแป้งแล้วนำไปตั้งเตาด้วยไฟกลาง ระหว่างนี้ให้คนตลอดเวลาจนกว่าส่วนผสมจะข้นเหนียว และคนต่อเนื้อซอสเป็นรอยตะกร้อ และส่วนผสมเดือด ยกลงจากเตาแล้วใส่เนยสดรสเค็มลงไปคนต่อให้ละลายดี เมื่อซอสได้ที่แล้วเติมสีผสมอาหารลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้สวยงามมากยิ่งขึ้น และคนต่อให้เข้ากันกับเนื้อซอส 
  2. นำเนื้อเค้กที่เย็นแล้วออกจากพิมพ์ ก่อนจะตัดสไลด์แบ่งออกเป็น 3 ชิ้นเท่ากัน และปาดส่วนบนของเค้กออก 
  3. เตรียมตะแกรงรองด้วยถาดรองอบ วางเนื้อเค้กชั้นแรกลงไปแล้วตักซอสส้มใส่ลงไประหว่างชั้น ปาดให้ทั่ว และทำซ้ำในชั้นต่อไป ต่อมาชั้นสุดท้ายให้ใช้ซอสส้มปาดด้านข้างตัวเค้กให้ทั่ว เพื่อยึดติดเนื้อเค้กให้เกาะตัวกันดี สุดท้ายคนซอสเล็กน้อยก่อนจะราดลงไปบนหน้าเค้กด้วยความรวดเร็ว และปล่อยให้ซอสไหลลงไปเองตามแรงโน้มโถ่งอย่างสวยงาม (หากตรงไหนที่ซอสส้มไหลไปไม่ถึงให้ราดซอสลงไปปซ้ำได้เลย) นำไปแช่เย็นเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำออกมาตกแต่งตัดแบ่งตามใจชอบ และจัดเสิร์ฟรับประทานได้เลยค่ะ

สนับสนุนโดย : https://paperindustrymag.com

Categories
เบเกอรี่

บราวนี่ แครกเกอร์ เอาใจคนรักบราวนี่

แครกเกอร์

หลังจากที่เห็นเมนูขนมอบกรอบอย่าง แครกเกอร์ บราวนี่ ได้รับความนิยมมากมายในโลกโซเชียล ทางเราก็อดใจไม่ไหวที่จะตามเทรนด์ หยิบยกเอาสูตรนี้มาบอกต่อให้ทุกคนได้ทำตามกันง่ายๆ ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือวัตถุดิบมากมาย เพียงแค่มีเตาอบอยู่ที่บ้านก็สามารถทำ เบเกอรี่ยอดนิยม ทานด้วยตัวเองได้แล้ว ใครอยากทานไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อในสภาวะอากาศร้อนๆ หรือสั่งออนไลน์รอนานอีกต่อไปแล้วค่ะ แต่ก่อนอื่นเราจะพาไปรู้จักประวัติความเป็นมา พร้อมเรื่องราวที่น่าสนใจของเมนูนี้กันก่อนที่จะไปลงมือทำ ไปเริ่มกันเลยค่ะ

แครกเกอร์ เมนูเบเกอรี่นี้มีที่มา และเรื่องราวที่น่าสนใจ

CRACKERS หรือแครกเกอร์ คือ ขนมปังชิ้นเล็กรูปทรงหลากหลาย เช่น สี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยม วงกลม ฯลฯ ทำมาจากแป้ง เกลือ และส่วนผสมอื่นๆ ทำให้มีรสชาติหวานผสานความเค็มเล็กน้อย เอกลักษณ์ของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้เห็นจะเป็นความบางกรอบพอดีคำ และด้วยความบางนี้ทำให้ขนมแตกหักง่าย จึงควรบรรจุใส่ภาชนะที่เป็นกล่อง และมีฝาปิด เพื่อไม่ให้ขนมแตกหักในระหว่างพกไปรับประทาน

แครกเกอร์

ประวัติความเป็นมาของ ขนม แครก เกอร์

ขนมขบเคี้ยว แครกเกอร์ชื่อนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นมาในปี ค.ศ.1801 หลังจากเมนู ขนมปังกรอบ นี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1792 โดยชายที่ชื่อว่า JOHN PEARSON เขาอาศัยอยู่ในเมือง NEWBURYPORT ในแมสซาซูเซตส์ และได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ และอเมริกา โดยมีการปรับเปลี่ยนสูตรเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ขนมแครกเกอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท 

แครกเกอร์สามารถแบ่งได้เป็นสมองประเภท คือ แครกเกอร์ที่ไม่ได้ปรุงแต่งรสชาติ ไม่มีรสชาติใดๆ นิยมนำมารับประทานพร้อมกับอาหารคาวหวานเมนูอื่นได้อย่างอร่อยกลมกล่อม เข้ากันเป็นอย่างดี  เช่น พิซซ่า อาหารรสจัด ทูน่า หรือแม้แต่อาหารไทยเมนูต่างๆ และประเภทที่ 2 คือ แครกเกอร์ที่ปรุงแต่งรสชาติแล้ว เช่น รสช็อกโกแลต สตอเบอรี่ เนยสด ฯลฯ แครกเกอร์ประเภทนี้จะได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถทานได้เลยทันที ไม่ต้องทานร่วมกับอาหารเมนูอื่นก็อร่อยได้

แครกเกอร์

ขนมทานเล่น พกติดตัวไว้คลายความหิว

นอกจากแครกเกอร์ จะเป็น ขนมขายดี ในประเทศไทยแล้ว รู้หรือไม่คะว่าเมนูนี้ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนถูกยกย่องว่าเป็น เมนูขายดี ที่สุดในโลก มาอย่างยาวนาน ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัดหยิบทานง่าย พกพาสะดวก นำไปทานได้ทุกที่ทุกเวลา ทานเป็นขนมรองท้องระหว่างทำงาน หรือใช้ทานคู่กับชา กาแฟ หรือนมได้เข้ากันเป็นอย่างดี แถมยังนำไปทานกับอาหารคาวหวานได้ เช่น ทูน่า หรือไข่ เรียกว่าแค่พก ขนมแครกเกอร์ ติดตัว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวระหว่างวันอีกต่อไป

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บราวนี่แครกเกอร์ 

สำหรับ สูตรแครกเกอร์ ของเราในบทความนี้ คือแครกเกอร์ ประเภทที่สอง หรือแครกเกอร์ที่ผ่านการปรุงแต่งมาเรียบร้อยแล้ว โดยเราจะรวมเอาเบเกอรี่ยอดนิยมอย่าง บราวนี่ มาผสมผสานเข้ากับแครกเกอร์ ทำให้ได้ความอร่อยที่เข้ากันมากๆ ด้วยความเข้มข้นของช็อกโกแลต และความกรอบเฉพาะตัวของแครกเกอร์ เชื่อว่าใครที่ชอบทานขนมทั้งสองชนิด หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องถูกอกถูกใจกันอย่างแน่นอน

วัตถุดิบ ทำแครกเกอร์บราวนี่

  1. ดาร์กช็อกโกแลต 185 กรัม
  2. เนยสดรสจืด 80 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. ผงโกโก้ 3 ช้อนโต๊ะ
  5. ไข่ขาว 2 ฟอง 
  6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม
  7. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  8. เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  9. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  10. เม็ดมะม่วงหิมพานต์บด หรือเม็ดช็อคชิพปริมาณตามชอบ
บราวนี่กรอบ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำแครกเกอร์ บราวนี่ เริ่มจากการละลายช็อกโกแลตกับเนยสดรสจืด โดยการนำไปเข้าไมโครเวฟจนละลายดี (นำออกมาคนทุก 30 วินาที เพื่อให้เนื้อเนียน) จากนั้นนำออกมาคนเช็คเนื้อว่าละลายดีหรือไม่ เสร็จแล้วพักไว้อุ่น
  2. ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลทรายลงไปในชามผสม ตีด้วยตะกร้อมือจนส่วนผสมละลายดี จากนั้นใส่ช็อกโกแลตที่ละลายไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปคนผสมให้เข้ากัน (ระหว่างนี้ให้วอร์มเตาอบรอด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่างเปิดพัดลมเป็นเวลา 20 นาที) ร่อนของแห้งลงไปในชามผสม (แป้งอเนกประสงค์ ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา และเกลือป่น) คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งจนละลายดี เมื่อไม่หลงเหลือเม็ดแป้งหรือส่วนผสมอื่นๆแล้วใส่สารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไปเพิ่มกลิ่นให้หอมมากยิ่งขึ้น
  3. เตรียมชามผสมรองด้วยกระดาษรองอบ หรือกระดาษไข เทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไปแล้วใช้ไพ่ หรือที่ปาดเกลี่ยด้วยความหนาตามชอบ (ต้องไม่หนาและไม่บางจนเกินไป เพราะหากหนาเกินไปจะทำให้ไม่กรอบ และเมื่อบางเกินไปจะทำให้เนื้อขนมหักไม่เป็นชิ้น) โรยหน้าขนมด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มความมัน กรุบกรอบ กดให้เข้ากับเนื้อขนมเล็กน้อย
  4. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศาไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 10-12 นาที จนกว่าขนมจะสุกดี ครบเวลาแล้วให้นำออกมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำในระหว่างร้อนๆ จะช่วยให้ตัดเป็นทรงสวยงามมากยิ่งขึ้น พักไว้ให้เย็นตัว ขนมแครกเกอร์ จะแข็งกรอบเป็นแผ่นพร้อมรับประทาน หรือจะเก็บใส่กล่องบรรจุไว้รับประทานก็ได้นะคะ
บราวนี่กรอบ

สนับสนุนโดย : https://ufaball.bet

Categories
เบเกอรี่

ขนม โดนัท สูตรเบเกอรี่ทำง่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ขนม โดนัท

ใครชอบทานเบเกอรี่ ห้ามพลาด! กับสูตรทำเมนู ขนม โดนัท เบเกอรี่ยอดนิยม ที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งประเทศไทย ไม่ว่าจะช่วงอายุ หรือเพศไหนๆก็ต่างต้องตกหลุมรักขนมหวานรูปทรงวงกลม มีรูตรงกลาง หน้าตาคล้ายห่วงมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะไปไหน เราก็มักจะพบเจอ โดนัท ขายอยู่บ่อยครั้ง ตามห้างสรรพสินค้า ตลาดน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยตกแต่งให้สวยงามมีความหลากหลายสีสัน หลากหลายรสชาติ ทั้งมีไส้ และไม่มีไส้ เลือกรับประทานได้อย่างไม่มีเบื่อเลยทีเดียว

ทำความรู้จัก ขนม โดนัท เบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ

ในบทความนี้เราก็มีสาระดีๆเกี่ยวกับ ขนมโดนัท (DOUGHNUT,DONUT) เบเกอรี่แป้งทอด หรืออบ แสนอร่อย มาบอกต่อเรื่องราวน่าสนใจให้ทุกคนได้รู้จักกับ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้ให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามีรสชาติอร่อยถูกปาก หรือร้านเบเกอรี่ชื่อดังในประเทศไทยอย่าง โดนัท KRISPY KREME หรือ โดนัท มิสเตอร์โดนัท  เพียงเท่านั้น นอกจากนี้เรายังมีสูตรทำโดนัทง่ายๆมาให้ได้ทำตามกันอีกด้วย

ขนม โดนัท

ประวัติความเป็นมาของ โดนัท 

ประวัติ โดนัท นั้นมีมายาวนานหลายร้อยปี โดยนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ โดนัท ในประเทศอเมริกา จึงได้มีการสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองแมนแฮตเตน หรือนิวอัมสเตอร์ดัม ในช่วงปี ค.ศ.1800 ผู้ค้นพบสูตร ขนมโดนัท คือชาวดัตช์ที่อพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา ในสมัยล่าอาณานิคม เริ่มจากการนำแป้งเค้กไปทอด จนเวลาต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1847 “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” แม่ของกัปตันเรือนิวอิงแลนด์ ได้นำส่วนผสมต่างๆเช่น อบเชย เปลือกมะนาว ลูกจันทน์เทศ ฯลฯ มาให้ลูกชายใช้เป็นเสบียงในการเดินทาง ลูกชาย และลูกเรือของเขาจึงได้นำวอลนัทมาวางตรงกลางขนม และเรียกขนมชนิดนี้ว่า “โดนัท”

ทำไม โดนัท ถึงมีรูตรงกลาง?

รู้หรือไม่ว่าในอดีตนั้น ขนมโดนัท ไม่ได้มีรูตรงกลางเหมือนอย่างในปัจจุบัน แต่สาเหตุที่ก่อเกิด รูตรงกลางของโดนัท ขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องต่อจากเรื่อวของ “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” คือ ลูกชายของเธอ “แฮนสัน เกรกอรี่” หรือกัปดตันเรือ ไม่ชอบ โดนัทโบราณ รูปวงกลมที่แม่ของเขาทำ เนื่องจากมันอมน้ำมันมากจนเกินไป เขาจึงได้ใช้ขวดพริกไทยเจาะรูตรงกลาง พบว่ามันอร่อยขึ้น เขาจึงได้นำมาบอกต่อให้กับแม่ของเขาได้รู้ และนี่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ โดนัท มีรู ที่เรารับประทานกันจนถึงทุกวันนี้

ขนม โดนัท

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ โดนัท สูตรไม่ต้องนวด

ขนมโดนัท มีวัตถุดิบสำคัญคือ แป้งสาลี ไข่ และไขมัน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งไขมันเนย , ไขมันจากพืช นอกจากนี้ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ วัตถุดิบที่นำมาปรุงแต่ง โดนัท กลม เพิ่มกลิ่น สีสัน และรสชาติของขนม ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนการทำ โดนัททอด เมนูนี้ก็แสนจะง่ายดาย ไม่ต้องเปลืองเวลานวดแป้งอีกต่อไป และยังสนุกไปกับการตกแต่งหน้าตาขนมให้เป็นไปดั่งใจหวังได้อีกด้วย

วัตถุดิบทำ ขนมโดนัท

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 195 กรัม 
  2. ยีสต์ 1 ช้อนชา
  3. นมสดรสจืดอุ่น 110 มิลลิลิตร
  4. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ 
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ไข่ไก่ เบอร์2 1ฟอง
  8. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  9. น้ำมันสำหรับทอดโดนัท 1 ขวด

วัตถุดิบทำ หน้าน้ำตาลไอซิ่ง

  1. น้ำตาลไอซิ่ง 240 กรัม 
  2. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  3. นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  4. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม ตามชอบ
ขนมโดนัท

ขั้นตอนวิธีการทำ โดนัท แฟนซี

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมโดนัท เริ่มต้นจากการใส่นมอุ่น ยีสต์ และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในชามผสม คนให้ละลายเข้ากันแล้วพักไว้ให้ยีสต์ทำงานเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะมีฟองขึ้นมา (หากยีสต์ตายแล้วให้ทำใหม่นะคะ) 
  2. เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือ ไข่ไก่ (ตีให้พอแตกก่อนใส่นะคะ) น้ำมัน และสารแต่งกลิ่นวานิลลาใส่ลงไป ก่อนจะใช้ไม้พายคนผสมให้เข้ากันจนแป้งจับตัวเป็นก้อน ห่อหุ้มชามผสมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะฟูขึ้นเป็น 2 เท่า 
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้เตรียมถาดรองอบ โรยด้วยแป้งสาลีอเนกประสงค์ให้ทั่ว และใส่ส่วนผสมของแป้งที่พักไว้วางลงไป โรยด้วยแป้งอเนกประสงค์อีกครั้ง ก่อนจะปั้นแป้งเป็นรูปวงรีรีดแป้งด้วยไม้นวดแป้งให้แบนแล้วใช้แก้วน้ำกดลงให้เป็นรูปทรงวงกลม จากนั้นแยกชิ้นวงกลมออกมา และใช้พิมพ์กดวงกลมที่เล็กกว่ากดลงไป เพื่อมีรูตรงกลางเป็นรูปทรงโดนัท
  4. เตรียมถาดรองอบ ทาด้วยน้ำมันบางๆให้ทั่ว ก่อนจะวางโดนัทที่เตรียมไว้ลงไป และห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 40 นาที หรือจนกระทั่งแป้งขึ้นฟู 
  5. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนแล้วปรับไฟเป็นไฟอ่อนค่อนกลาง แล้วใช้ที่ตักแป้งตักโดนัทมาทอดลงในน้ำมันร้อนๆ เมื่อด้านล่างสุกแล้วให้ใช้ตะเกียบพลิกด้าน เพื่อให้สุกเหลืองทั่วกันทั้งสองรอบ เสร็จแล้วนำไปพักไว้บนตะแกรง เพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน
  6. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ ไอซิ่งสำหรับเคลือบหน้าโดนัท เริ่มจากการนำน้ำตาลไอซิ่ง นมสดรสจืด และกลิ่นวานิลลาใส่ลงไปในชามผสม ใช้ช้อนคนผสมให้ละลายเข้ากัน (หากใครต้องการเพิ่มสีสันให้สวยงามน่ารับประทาน สามารถเติมสีผสมอาหารลงไปได้ในขั้นตอนนี้นะคะ) 
  7. ใช้ที่คีบคีบโดนัทไปคว่ำหน้าเคลือบน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 6 เสร็จแล้ววางไว้บนตะแกรง ตกแต่งด่วยวัตถุดิบตกแต่งหน้าขนมได้ตามชอบ รอให้แห้งดี และรับประทานได้เลยค่ะ
ขนมโดนัท

สนับสนุนโดย : https://paperindustrymag.com

Categories
เบเกอรี่

ช็อค บอล เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติเข้มข้น

ช็อค บอล

เนื้อเค้ก และเศษขนมปังที่เหลือ อย่าพึ่งทิ้งนะคะ! เพราะวัตถุดิบเหล่านี้สามารถนำมาแปรรูปให้เป็น ช็อค บอล แสนอร่อย ทำทาน หรือทำขายสร้างรายได้ให้กับเราอีกมากมาย แถมยังเป็นเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วหยิบทานง่าย รับประทานเป็นของว่างยามบ่าย หรือของหวานล้างปากหลังอาหารก็ดี รสชาติถูกปากถูกใจทุกเพศทุกวัย รับรองว่าใครทำขายก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว โดยวิธีทำนั้นก็แสนจะง่ายดาย ไม่ซับซ้อนเลยสักนิด เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำขนมหวานแบบสุดๆ

แนะนำ ช็อค บอล ทำทานเองได้ ทำขายไม่มีขาดทุน!!

มือใหม่ห้ามพลาดกับ เมนูเบเกอรี่ ทำง่าย ที่เราได้หยิบยกสูตรเด็ดอร่อยๆ ทำง่ายไม่ซับซ้อน มาแนะนำให้ได้ลองทำตามกันอีกเช่นเคย ซึ่งนั่นก็คือ ช็อคบอล สูตรขนม เมนูโปรดของใครหลายๆคน เป็นเบเกอรี่ที่สามารถนำขนมปัง เนื้อเค้กเหลือใช้จากการทำขนมต่างๆ เศษเค้กที่รับประทานไม่หมด หรือแม้แต่เนื้อเค้กที่อบผิดพลาดมาบดให้ละเอียดทำเป็นเมนูใหม่ได้ง่ายๆ ขายเพิ่มมูลค่าได้มากมาย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าขนมหวานแล้วละก็ หลังจากรู้จักกับเมนูนี้ ไม่มีขาดทุนแน่นอน

ช็อค บอล

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมช็อคบอล 

ช็อคบอล คือ เบเกอรี่ง่ายๆ ที่ลักษณะภายนอกเป็นก้อนกลม เคลือบด้วยช็อคโกแลตบางๆ ตกแต่งด้วยท็อปปิ้งหลากสีน่ารับประทาน เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสนุ่มนิ่มละมุนลิ้น รสชาติหวานผสานความเข้มข้นของ ขนมช็อคโกแลต อร่อยฟินหยิบทานเพลิน ชิ้นเดียวไม่เคยพอ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องซื้อทีละหลายๆชิ้น แต่หากได้เรียนรู้สูตรง่ายๆจากบทความนี้แล้ว คุณจะสามารถทำขนมทานด้วยตัวเอง และทานจนสะใจเลยค่ะ

ขนมหวานที่สามารถตกแต่งได้หลากหลาย 

นอกจากเมนู ช็อคบอล เบเกอรี่ยอดนิยม จะสามารถทำทานเองได้ง่ายๆแล้ว ยังเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เวลาในการทำไม่นาน และขั้นตอนการทำสนุกสนานไปกับการใช้จินตนาการในการรังสรรค์ ตกแต่งหน้าตาของ ขนมหวาน ชิ้นนี้ โดยทุกคนสามารถตกแต่งเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วเหล่านี้ให้มีความสวยงาม โดดเด่น แตกต่าง และน่ารับประทาน เช่น การโรยหน้าขนมเม็ดน้ำตาล ตกแต่งด้วยซอสหลากรส ตกแต่งให้เป็นรูปตุ๊กตาต่างๆ ฯลฯ ยิ่งตกแต่งได้สวยงามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าของขนมให้สูงขึ้นมากเท่านั้น และแพคเกจจิ้งในการใส่ขนมยังเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของขนมด้วยนะคะ

ช็อค บอล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมช็อคบอล เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ 

ในที่สุดก็มาถึงส่วนที่ทุกคนรอคอยในบทความนี้ กับ สูตรเบเกอรี่ ช็อคบอล เมนูสำหรับมือใหม่ที่กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นการทำขนมเมนูแรกๆ แม้ว่าปัจจุบันความนิยมของ ขนมช็อคบอล จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีสูตรขนมเกิดขึ้นมากมาย แต่สูตรนี้เป็นสูตรที่เราคัดมาแล้วว่าทั้งทำง่าย ใช้วัตถุดิบน้อย และอร่อยถูกใจ โดยเราจะขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ดังนี้

วัตถุดิบทำ ตัวขนมช็อคบอล 

  1. ขนมปัง หรือเนื้อเค้ก 250 กรัม
  2. ผงโกโก้ 35 กรัม
  3. ดาร์คช็อคโกแลต 190 กรัม 
  4. นมข้นหวาน 190 กรัม

วัตถุดิบทำ ช็อคโกแลตเคลือบ และตกแต่งหน้าขนม

  1. ดาร์คช็อคโกแลต 200 กรัม
  2. ไวท์ช็อคโกแลต 150 กรัม
  3. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม เช่น เกล็ดน้ำตาลเคลือบสี ตามชอบ
ช็อคบอล

ขั้นตอนวิธีการทำ ช็อคบอล เบเกอรี่ไม่ใช้เตาอบ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ช็อคบอล เริ่มต้นจากการนำ ขอบ  ขนมปัง หรือเนื้อเค้กแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงไปในโถปั่น ก่อนจะเปิดเครื่องปั่นให้ได้เนื้อละเอียด จากนั้นนำไปใส่ลงไปชามผสม ตามด้วยผงโกโก้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลยค่ะ
  2. นำดาร์กช็อคโกแลตไปละลายด้วยไมโครเวฟครั้งละประมาณ 30 วินาที แล้วนำออกมาคนให้ละลายดี จำนวนสองครั้ง เสร็จแล้วใส่นมข้มหวานลงไปคนผสมให้ละลายเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 ทยอยใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยมือกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 นวดจนกว่าขนมปังหรือเนื้อเค้กจะสามารถปั้นเป็นก้อนได้
  4. ปั้นขนมเป็นก้อนกลม ชั่งน้ำหนักให้ได้ลูกละ 25 กรัม หรือขนาดพอดีคำตามความชอบ เสร็จแล้วนำไปวางเรียงไว้ในถาดรองอบแล้วนำไปแช่ในตู้เย็นจนกว่าจะเซตตัว
  5. ระหว่างรอขนมเซตตัวให้นำดาร์กช็อคโกแลต และไวท์ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบขนมมาละลายด้วยไมโครเวฟ จากนั้นนำ ช็อคบอล ที่แช่เย็นเอาไว้ออกมา 
  6. เตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ ก่อนจะนำช็อคบอลลงไปเคลือบช็อกโกแลตให้ทั่ว โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลให้ทั่วก่อนที่ขนมจะเซตตัว หรือหากใครจะใช้ไวท์ช็อกโกแลตโรยตกแต่งให้เป็นลวดลายก่อนจะตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลก็สามารถทำได้ค่ะ เสร็จแล้วรอให้เซตตัว นำออกจากพิมพ์ใส่ถ้วยกระดาษ หรือภาชนะอื่นๆได้เลยค่ะ
ช็อคบอล

บทสรุป

ช็อคบอล ทำมาจากเศษเนื้อเค้ก หรือเศษขนมปัง ทำให้วัตถุดิบหลักนี้หลายคนมักจะมีติดบ้านอยู่แล้ว ขั้นตอนการทำแสนจะง่ายดาย ใช้วัตถุดิบอุปกรณ์น้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่ไม่เคย ทำขนม มาก่อนเลยก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

สนับสนุนโดย : https://gclubspecial168.com

Categories
เบเกอรี่

บรูคกี้ (BROOKIES) รวมความอร่อยในชิ้นเดียว

บรูคกี้

เห็นได้ชัดเจนว่าตลาดเบเกอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต เบเกอรี่ขนมหวาน ถูกรังสรรค์ดัดแปลงสูตรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในเบเกอรี่ยอดนิยมเลยก็คือ บราวนี่ และคุกกี้ เมนูเด็ดที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆคน แต่จะดีกว่าไหมหากเมนูแสนอร่อยทั้งสองถูกหลอมหลวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมนูใหม่อย่าง บรูคกี้ BROOKIES ที่น่ารับประทาน และน่าลองทำรับประทานด้วยตัวเองกันดูสักครั้ง

ทำความรู้จักกับ บรูคกี้ เบเกอรี่ยอดนิยมที่น่าสนใจ

เมนูเบเกอรี่ บรูคกี้ คือ เบเกอรี่อร่อยๆ ที่ได้นำเอาบราวนี่และคุกกี้ เบเกอรี่ยอดนิยม ทั้งสองเมนูมาผสมผสานสูตรเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมนูใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน ส่วนคำว่า BROOKIES ก็มาจากการนำเอาชื่อขนมหวานยอดฮิตอย่าง “BROWNIE” และ “COOKIE” มาผสมกันด้วยเช่นกัน และด้วยความที่เป็นเมนูน้องใหม่ ทำให้หลายคนยังไม่รู้จัก เราจึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเมนูนี้กันก่อน จะไปดูสูตรง่ายๆ และลงมือทำไปพร้อมๆกันค่ะ

บรูคกี้

ลักษณะ และรสชาติของ ขนมบรูคกี้ เบเกอรี่เมนูใหม่ 

ขนมหวานบรูคกี้ เป็นการนำ คุกกี้กรุบกรอบ และบราวนี่ช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้นมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้มีลักษณะเป็นรูปทรงคล้ายบราวนี่ และคุกกี้ตามไปด้วย คือ เบเกอรี่ที่ประกอบด้วยสองชั้น คือชั้นแรกเป็นบราวนี่เนื้อหนึบ ชั้นที่สองจะเป็นคุกกี้เนื้อกรอบ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงรสชาติของ ขนมยอดนิยม ทั้งสองชนิดภายในคำเดียว ขอบอกว่าอร่อยจนหยุดไม่อยู่เลยทีเดียวค่ะ

วัตถุดิบ และขั้นตอน วิธีทำ ขนม บ รู ค กี้

หากใครเคยทำ บราวนี่ หรือคุกกี้มาก่อนแล้ว รับรองได้เลยว่าจะสามารถทำ เมนูเบเกอรี่ บรูคกี้ เมนูนี้ได้โดยง่าย และหากใครเคยทำมาแล้วทั้งสองเมนูก็ยิ่งทำ สูตรบรูคกี้ ได้ง่ายกว่าใครๆ เพราะขั้นตอนวิธีทำนั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลยค่ะ ดังนั้น เราจึงขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจ และทำตามได้ง่ายยิ่งขึ้น

วัตถุดิบทำ บราวนี่

  1. ดาร์กช็อกโกแลต 140 กรัม 
  2. เนยสด 50 กรัม 
  3. ไข่ไก่ 1 ฟอง 
  4. ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง 
  5. น้ำตาลทราย 30 กรัม 
  6. น้ำตาลทรายแดง 40 กรัม 
  7. สารแต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา 
  8. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม
  9. ผงโกโก้ 25 กรัม 
  10. เกลือป่น ¼ ช้อนชา

วัตถุดิบทำ คุกกี้ช็อกโกแลต

  1. บราวน์บัตเตอร์ 110 กรัม 
  2. น้ำตาลทราย 40 กรัม 
  3. น้ำตาลทรายแดง 45 กรัม 
  4. ไข่ไก่ 1 ฟอง 
  5. กลิ่นวานิลลา 3/4 ช้อนชา 
  6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 145 กรัม 
  7. เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา 
  8. เกลือป่น ¼ ช้อนชา 
  9. ช็อกโกแลตชิพ 120 กรัม
บรูคกี้

ขั้นตอนวิธีการทำ ขนมบรูคกี้

  1. ขั้นตอนแรกของเมนู บรูคกี้ เบเกอรี่แสนอร่อย เป็นขั้นตอนการ ทำบราวนี่ เริ่มต้นจากการใส่ดาร์กช็อกโกแลต และเนยสดลงไปในชามผสม เพื่อนำเข้าไมโครเวฟทำให้ละลายด้วยความร้อน 600 วัต เป็นเวลา 1 นาที
  2. เตรียมเครื่องผสมอาหาร ใส่ไข่ไก่ ไข่แดง น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดงลงไปในโถผสม จากนั้นเปิดเครื่องผสมอาหารสปีดกลางเป็นเวลา 5 นาที จนละลายเข้ากันดี มีเนื้อเนียน จากนั้นใส่ส่วนผสมในขั้นตอนแรกที่ละลายไว้ และกลิ่นวานิลลาลงไปเพิ่มกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน ตีให้ละลายเข้ากันด้วยตะกร้อมือ 
  3. ต่อมาใส่ส่วนผสมของแห้งอย่าง แป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น และผงโกโก้ ตามด้วยการตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดต่ำให้ละลายเข้ากัน ก่อนจะใช้ไม้พายตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เสร็จแล้วพักไว้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลย
  4. เมื่อเตรียมบราวนี่เสร็จแล้วให้เตรียมชามผสม ใส่บราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดงใส่ลงไปในชามผสม ตีให้เข้ากันด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดกลางเป็นเวลา 3 นาที จนเนื้อนวลเนียนแล้วให้เติมไข่ไก่ และกลิ่นวานิลลาลงไปตีต่อให้เข้ากัน
  5. ร่อนส่วนผสมของแห้งลงไปในชามผสมชามเดียวกันกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 4 (แป้งสาลีเอนกประสงค์ เบคกิ้งโซดา ผงฟู เกลือป่น) ก่อนจะตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดต่ำให้พอเข้ากัน จากนั้นใส่ช็อกโกแลตชิพลงไป ตะล่อมด้วยไม้พายให้เข้ากัน
  6. เตรียมถาดอบสี่เหลี่ยมขนาด 8*8 นิ้ว รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ เทส่วนผสมของบราวนี่ลงไปแล้วใช้ไม้พายเกลี่ยให้หน้าเสมอกัน จากนั้นตักส่วนผสมในส่วนของคุกกี้ใส่ลงไปเป็นชั้นที่สอง แล้วเกลี่ยให้หน้าเนียนอีกครั้ง
  7. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 25 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตามาพักไว้ให้เย็น และนำไปแช่ตู้เย็นให้เชตตัวก่อนจะนำมาตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำ ขนมบรูคกี้ เบเกอรี่บราวนี่เข้มข้นผสานคุกกี้กรุบกรอบ
BROOKIES

ก่อนจะจากกันในบทความนี้ เราขอแนะนำสูตรวิธีการทำ บรูคกี้ ที่ได้รับความนิยมก็มีอยู่ด้วยกันหลายสูตร ไม่ใช่เพียงสูตรของเราที่ได้นำมาแนะนำเพียงเท่านี้ ยกตัวเช่น บรูคกี้PIMMY , บรูคกี้เชฟนุ่น หรือแม้แต่ บรู๊คกี้ครูปูน ที่อร่อยไม่แพ้กันเลยแม้แต่สูตรเดียว แต่หากใครอยากทำ เบเกอรี่ง่ายๆ ขาย แนะนำให้ดัดแปลงสูตรเพื่อให้มีจุดเด่นที่แตกต่างของตัวเองนะคะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/สมัครบาคาร่า888

Categories
เบเกอรี่

ขนม บัว หิมะ สูตร ขนมไหว้พระจันทร์

ขนม บัว หิมะ

เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ของทุกปีวนเวียนมาถึง นั่นหมายความว่าเทศกาลสำคัญแห่งการเฉลิมฉลองของชาวจีนได้มาถึงด้วยเช่นกัน นั้นก็คือ วันไหว้พระจันทร์ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ได้หยิบยกเอาหนึ่งใน ขนมไหว้พระจันทร์ อย่างเมนู ขนม บัว หิมะ มาบอกต่อสูตรให้ได้ทำตามกันง่ายๆ แต่ก่อนอื่น เราไปทำความรู้จักกับขนมหวานเมนูนี้ให้มากขึ้นกันก่อนนะคะ

ทำความรู้จักกับ ขนม บัว หิมะ ขนมหวานน่ารับประทาน

ขนมบัวหิมะ เป็น ขนมหวาน ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมักจะถูกนำมาใช้ประกอบพิธีไหว้พระจันทร์ในทุกๆปี และมักถูกเรียกด้วยอีกชื่อ คือ ขนมไหว้พระจันทร์แบบนิ่ม ซึ่งก็มาจากรูปร่างหน้าตาของขนมที่เหมือนกับ ขนม ไหว้พระจันทร์ มีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม ตกแต่งด้วยลวดลายสวยงามน่ารับประทาน ด้านในสอดไส้หลากหลายรสชาติหวานละมุนลิ้น

ขนม บัว หิมะ

ประวัติความเป็นมาของ ขนมบัวหิมะ ขนมที่ถูกดัดแปลงตามวัฒนธรรม

ขนมบัวหิมะ หรือ ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ มีต้นกำเนิดมาจากฮ่องกงเป็นที่แรก ก่อนจะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ และได้รับความนิยมมากในช่วง ค.ศ.1990 โดยถูกดัดแปลงมาจาก ขนมไหว้พระจันทร์ดั้งเดิม แต่จะมีความแตกต่างกันที่วิธีการทำ รสชาติที่หวานกว่า และลักษณะของขนมที่มีการผสมสีสันสวยงามเพิ่มเข้าไปในตัวแป้ง รวมถึงการนึ่งแป้งข้าวเหนียวทำให้ขนมนั้นมีความนุ่มเหนียวคล้ายขนมไดฟูกุ และในปัจจุบันก็ได้ถูกรังสรรดัดแปลงสูตร รวมถึงการเพิ่มไส้ขนมให้หลากหลาย จนกลายเป็นขนมที่ถูกใจคนรุ่นใหม่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมบัวหิมะ ไส้ถั่วแดงกวน 

หากใครเคยลองทำ สูตรขนมไหว้พระจันทร์ มาก่อนแล้ว สูตรขนมทำง่าย ของเราในบทความนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆไปเลย เพราะ ขนมบัวหิมะ แม้จะถูกดัดแปลงให้มีความแตกต่าง แต่กลับทำง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับใครที่กำลังกังวลว่าหน้าตาขนมจะไม่สวย เราสามารถรังสรรค์หน้าตาของขนมได้ง่ายๆ โดยใช้พิมพ์สำหรับทำขนมบัวหิมะ เพียงแค่นำเนื้อขนมที่สอดไส้แล้วมาใส่พิมพ์กดลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้ยังใช้วัตถุดิบน้อยกว่าสูตรดั้งเดิม โดยในสูตรนี้เราจะพาทุกคนไปทำไส้ยอดฮิตอย่าง “ไส้ถั่วแดงกวน” ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำ แป้งขนมบัวหิมะ

  1. แป้งข้าวเหนียว 200 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. น้ำเปล่า 280 กรัม
  5. สารแต่งกลิ่นเพิ่มความหอม 2 หยด
  6. สีผสมอาหาร ปริมาณตามชอบ

วัตถุดิบทำ ไส้ถั่วแดงกวน

  1. ถั่วแดงต้มสุก 450 กรัม
  2. นมข้นจืด 250 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลทรายขาว 180 กรัม
ขนมบัวหิมะ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนของการทำ ไส้ขนมบัวหิมะ เริ่มต้นจากการนำถั่วแดงต้มสุกใส่ลงไปในเครื่องปั่น ตามด้วยนมข้นจืดใส่ลงไปเพิ่มความหอมมันเข้มข้น จากนั้นปิดฝาเริ่มปั่นให้ละเอียดได้เลย 
  2. นำส่วนผสมของไส้ถั่วแดงที่ปั่นเสร็จแล้วมาใส่ลงไปในกระทะ พร้อมกันกับน้ำตาลทรายขาว ใช้ทัพพีกวนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เสร็จแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง กวนส่วนผสมจนกว่าจะจับตัวเป็นก้อน และมีเนื้อร่อนออกจากกระทะ จากนั้นปิดเตานำออกมาพักไว้ให้เย็น
  3. ต่อมาเป็นขั้นตอนการ ทำแป้ง ขนมบัวหิมะ เริ่มจากการใส่ของแห้งอย่างแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า และน้ำตาลทรายลงไปในกระทะแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นทยอยใส่น้ำลงไประหว่างคนด้วยตะกร้อมือ เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันแล้วให้ใส่สารแต่งกลิ่นลงไป (ในบทความนี้ใช้กลิ่นมะลินะคะ) คนให้เข้ากันอีกครั้งแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง ใช้ไม้พายคนจนแป้งเปลี่ยนเป็นสีใส มีความข้นเหนียว จับตัวเป็นก้อน และร่อนออกจากกระทะ เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้พออุ่น
  4. นำส่วนผสมของในขั้นตอนที่ 3 มาตัดแบ่งให้เท่ากันตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ โรยด้วยแป้งนวลแล้วหยดสีผสมอาหารลงไปนวดให้เข้ากันกับแป้ง เพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ ทำซ้ำกับสีอื่นๆ 
  5. ตัดแบ่งแป้ง และไส้ถั่วแดงให้เป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 30 กรัม และเตรียม พิมพ์ขนมบัวหิมะ โรยด้วยแป้งนวลให้ทั่ว ต่อด้วยการโรยแป้งนวลให้ทั่วมือก่อนจะหยิบตัวแป้งมาแผ่ออก และนำมาห่อหุ้มไส้ถั่วแดงที่เตรียมไว้ให้มิด คลึงให้กลมแล้วโรยด้วยแป้งนวลอีกครั้ง นำไปใส่พิมพ์ขนมแล้วกดลงไปในถาดที่โรยด้วยแป้งนวล (เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดภาชนะ) ทำซ้ำกับส่วนผสมที่เหลือ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน นำมารับประทานได้เลยค่ะ
ขนม บัว หิมะ

บทสรุป

จบไปแล้วกับสูตรทำ ขนมบัวหิมะ แบบง่ายๆ ได้เนื้อสัมผัสขนมที่นุ่มเหนียวคล้าย ขนมไดฟูกุ แถมยังสามารถใช้สูตรนี้ไปดัดแปลงปรับลดเพิ่มวัตถุดิบ ตกแต่งหน้าตา ตกแต่งสีสัน สอดไส้อื่นๆได้ตามชอบ นอกจากจะเป็นขนมประกอบในวันสำคัญแล้วยังเป็น ขนมฟิวชั่น ที่สามารถนำมาดัดแปลงได้หลากหลาย ทำทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อเลยจริงๆค่ะ อย่าพลาดที่จะนำสูตรขนมอร่อยๆทำง่ายของเราไปลองทำที่บ้านนะคะ

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com/hilo-thai/

Categories
เบเกอรี่

บลูเบอร์รี่ชีสพาย เบเกอรี่ทำง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่

บลูเบอร์รี่ชีสพาย

ใครชอบทานเบเกอรี่ยอดนิยม บลูเบอร์รี่ชีสพาย เชิญทางนี้เลยค่ะ เราจะชวนทุกคนมาทำเมนูเบเกอรี่โฮมเมดแบบง่ายๆด้วยตัวเอง มือใหม่ไม่เคยทำขนมมาก่อนเลยไม่ต้องกังวลนะคะ หากใช้สูตรนี้ทุกคนสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย แถมยังทำออกมาได้นน่ารับประทานเหมือนเชฟเบเกอรี่มาเองเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บลูเบอร์รี่ชีสพาย

บลูเบอร์รี่ชีสพาย นอกจากจะเป็น เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติหวานซ่อนเปรี้ยว เนื้อสัมผัสกรุบกรอบผสานความนุ่ม ที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆคนแล้ว ยังเป็นหนึ่งใน ขนมหวาน มีประโยชน์ จากวัตถุดิบหลักอย่าง “บลูเบอร์รี่” ซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สีม่วงรสหวานฉ่ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินมากมายที่ดีต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเค แมงกานีส  สารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย

วัตถุดิบทำบลูเบอร์รี่ชีสพาย

  1. แครกเกอร์ 100 กรัม
  2. เนยเค็มละลาย 40 กรัม 
  3. ครีมชีส (นิ่ม) 180 กรัม
  4. นมข้นหวาน 40 กรัม
  5. วิปปิ้งครีม 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา 
  7. ซอสบลูเบอร์รี่กระป๋อง ปริมาณตามชอบ
  8. บลูเบอร์รี่สด ปริมาณตามชอบ
บลูเบอร์รี่ชีสพาย

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ บลูเบอร์รี่ชีสพาย เริ่มจากการนำแครกเกอร์ไปบดหรือปั่นให้ละเอียด แล้วใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยเนยเค็มละลายลงไปคนให้เข้ากัน 
  2. นำฐานแครกเกอร์ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ กดให้แน่นแล้วนำไปแช่ตู้เย็นเป็นเวลา 30 นาที
  3. ใส่ครีมชีสลงไปในชามผสม ใช้ไม้พายกดลงไปจนครีมชีสนิ่มไม่เป็นก้อน จากนั้นใส่นมข้นหวาน น้ำมะนาว และวิปปิ้งครีมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปใส่ถุงบีบ
  4. บีบครีมชีสใส่ลงไปในพิมพ์ด้านบนของฐานแครกเกอร์ ใช้ช้อนเกลี่ยให้พอเรียบแล้วนำไปใส่ช่องฟิตเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และนำจากพิมพ์ด้วยการใช้มีดกรีดด้านรอบๆออก 
  5. ตักซอสบลูเบอร์รี่ตกแต่งหน้าขนมให้น่ารับประทาน เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ
บลูเบอร์รี่ชีสพาย

เมนูขนมทำง่าย บลูเบอร์รี่ชีสพาย ที่เราได้นำสูตรวิธีการทำง่ายๆ มาแชร์ให้ได้ทำตามกันในบทความนี้ เป็นหนึ่งใน ขนมสุดฮิต ที่พบเจอได้ทั่วไปตามร้านขายขนมหวาน และเบเกอรี่ ซึ่งในบางร้านก็นับว่าราคาสูงอยู่พอสมควร ดังนั้น การทำทานด้วยตัวเองจึงช่วยให้เราทานได้แบบจุใจเลยค่ะ และสำหรับใครที่อยากทำขายก็สามารถใช้สูตรนี้ได้เช่นกันนะคะ คุ้มค่าคุ้มกำไรแน่นอน

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
เบเกอรี่

MILLEFEUILLE ขนมหวานขึ้นชื่อ จากฝรั่งเศส

MILLEFEUILLE

MILLEFEUILLE คือ ขนมอบสัญชาติฝรั่งเศสแสนอร่อย เชื่อกันว่าเมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรราที่ 16 ตามหลักฐานที่ปรากฏสูตรในตำราอาหารมากมาย สำหรับรูปร่างหน้าตาของขนมมีลเฟยเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยแป้งพายบางกรอบหลายชั้น สลับกันกับไส้ครีมรสหวานละมุน ในบางสูตรมักจะใส่ผลไม้หลากชนิดเพิ่มเข้าไป ทำให้ได้รสหวานอมเปรี้ยวที่ถูกปากใครหลายคน

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ MILLEFEUILLE สตอเบอรี่ รสหวานอมเปรี้ยว

เสน่ห์ของ ขนมมีลเฟย เห็นจะเป็นความกรอบของพายพัฟ ผสานกับความนุ่มของครีม จนมีเรื่องราวเล่าต่อกันมาจนเป็นตำนานเกี่ยวกับ MILLEFEUILLE เรื่องราวเล่าว่า เป็นขนมหวานเมนูโปรดของผู้นำทัพในประเทศฝรั่งเศส มีชื่อว่า “นโปเลียน” ต้องรับประทานในตอนเช้าของทุกวัน และยังมีหลักฐานการบันทึกว่า หลังจากที่ได้นำทัพไปบุกรุกรัสเซียแล้วจะมีการ ทำขนมมีลเฟย เป็นรูปทรงหมวกของนโปเลียน เพื่อเฉลิมฉลองในสงคราม

วัตถุดิบทำ มีลเฟยสตอเบอรี่

  1. แป้งพัฟเพสทรี (แบบรีดมาแล้ว) 400 กรัม
  2. น้ำตาลไอซิง 
  3. นมข้นจืด 125 มิลลิลิตร
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. แป้งข้าวโพด 25 กรัม
  6. น้ำมะนาวเลมอน 2 ช้อนชา   
  7. เจลาติน (แช่น้ำเย็นจัดให้นุ่มก่อนใช้) 2 แผ่น
  8. วิปปิ้งครีม 150 มิลลิลิตร
  9. สตอเบอรี่แช่แข็ง 150 กรัม
  10. สตอเบอรี่สดสำหรับตกแต่ง
MILLEFEUILLE

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำMILLEFEUILLE เตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษไข ใส่แป้งพัฟเพสทรีวางลงไปแล้ววางทับด้วยกระดาษไข และถาดรองอบทับไว้อีกชั้น ก่อนจะนำเข้าไปอบด้วยอุณหภูมิ 200 องศา เปิดพัดลม เป็นเวลา 15 นาที นำออกมาเอากระดาษไข และถาดรองอบด้านบนออก และนำเข้าไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม เป็นเวลา 10 นาที ครบเวลาแล้วตัดแบ่งให้เป็นสามชิ้นขนาดเท่ากัน พักไว้ให้เย็น
  2. นำสตอเบอรี่แช่แข็ง น้ำมะนาวเลม่อน และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในหม้อแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง เพื่อให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ระหว่างนี้ให้นำนมข้นจืดมาผสมกันกับแป้งข้าวโพด ใช้ตะกร้อมือตีให้ละลายเข้ากัน เมื่อส่วนผสมที่ตั้งไฟไว้ละลายดีแล้วให้ปิดเตา นำออกมากรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในส่วนผสมของนมข้นจืด นำกลับไปตั้งไฟสักครู่แล้วคนตลอดเวลา เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี มีความเหนียวข้น นำไปหล่อในชามน้ำเย็นให้เย็นตัวลง 
  3. ตีวิปปิ้งครีมด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดสูงสุดจนตั้งยอด จากนั้นนำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 ที่เย็นสนิทแล้วมาตีเพื่อให้คลายตัวแล้วไปผสมให้เข้ากันกับครีม ก่อนจะนำไปใส่ถุงบีบ 
  4. วางพัฟเพสทรีแผ่นแรกลงบนจาน หรือภาชนะอื่นๆ บีบวิปปิ้งครีมลงไปให้ทั่วแล้วตกแต่งด้วยผลสตอเบอรี่สด ทำซ้ำจนกว่าจะครบสามชั้น สุดท้ายโรยหน้าน้ำตาลไอซิงตกแต่งด้วยให้สวยงาม
MILLEFEUILLE

เมนูขนมหวานยอดฮิตMILLEFEUILLE มีอีกหนึ่งชื่อคือ NAPOLEON ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับจักรพรรดินโปเลียน ในบางพื้นที่จะเรียกกันว่า เค้กพันชั้น ซึ่งในปัจจุบันก็มีการรังสรรค์ดัดแปลงให้มีหลากหลายสูตร ตามความชื่นชอบของแต่ละคน หากใครอยากนำ สูตรขนมมีลเฟย สูตรนี้ไปดัดแปลงก็สามารถทำได้ตามชอบ

ufabet เว็บพนันออนไลน์อันดับ1 เล่นได้ตลอด 24 ชม. ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
เบเกอรี่

ขนมคีโต บราวนี่สูตรไร้แป้ง สำหรับรักสุขภาพ

ขนมคีโต

ขนมคีโต คือ ขนมที่ปราศจากแป้งและน้ำตาล โดยใช้สารให้ความหวานเข้ามาแทนที่น้ำตาล จึงกลายเป็นขนมที่คนทานคีโต และสายคลีนทานได้แบบหายห่วง ดังนั้น ใครกำลังมองหาขนมเพื่อสุขภาพที่แสนอร่อย ห้ามพลาดกับเมนูเบเกอรี่ที่เราได้นำมาแนะนำในบทความนี้ กับ สูตรบราวนี่คีโต ขนมหวานทำง่ายสำหรับคนที่กำลังดูแลสุขภาพ หรือกำลังลดน้ำหนัก 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมคีโต เมนู บราวนี่เพื่อสุขภาพ

อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าขนมคีโตgป็นขนมที่ต้องพิถีพิถันในการเลือกร้านที่จะซื้อ เพราะส่วนผสมทั้งหมดที่ใช้ทำ ขนมเพื่อสุขภาพ ต้องเป็นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าร้านขนมเหล่านี้ไม่ได้บอกวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นการใช้ สูตรบราวนี่คีโต ที่เราเลือกวัตถุดิบ และลงมือทำด้วยตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพ แต่อยากทานขนมหวาน

วัตถุดิบส่วนที่ 1 

  1. ดาร์กช็อกโกแลต สูตรไม่มีน้ำตาล 1/2 ถ้วยตวง
  2. เนยอุณหภูมิห้อง 1/2 ถ้วยตวง
  3. ผงโกโก้คีโต 3 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลหญ้าหวาน 1/2 ถ้วยตวง

วัตถุดิบส่วนที่ 2

  1. ไข่ไก่อุณหภูมิห้อง 4 ฟอง
  2. สารแต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือชมพู 1/4 ช้อนชา
  4. ผงอัลมอนด์ 1 ถ้วยตวง
  5. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  6. ถั่วพีแคน 1/4 ถ้วยตวง
  7. ดาร์กช็อกโกแลต สูตรไม่มีน้ำตาล ¼ ช้อนโต๊ะ
ขนมคีโต

ขั้นตอนวิธีการทำ บราวนี่คีโต 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำขนมคีโตเริ่มจากการใส่เนย ดาร์กช็อกโกแลต และผงโกโก้ลงไปในชามผสม จากนั้นนำไปเข้าไมโครเวฟ 1 นาที เพื่อให้ส่วนผสมละลายดีแล้วนำออกมาใส่น้ำตาลหญ้าหวาน ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน
  2. ใส่ไข่ไก่ลงไปในชามผสมอีกหนึ่งชาม ตามด้วยกลิ่นวานิลลา และเกลือชมพู ทำการตีส่วนผสมให้เข้ากันแล้วใส่ผงอัลมอนด์กับเบคกิ้งโซดาลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อเดียว
  3. นำส่วนผสมในส่วนที่ 1 มาคนผสมให้เข้ากันกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 เมื่อส่วนผสมเข้ากันแล้วใส่ถั่วพีแคน และดาร์กช็อกโกแลตลงไปคนให้เข้ากัน 
  4. เตรียมพิมพ์ขนมด้วยการทาเนยให้ทั่วพิมพ์ ก่อนจะใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้พายเกลี่ยหน้าบราวนี่ให้เสมอกัน เคาะฐานพิมพ์กับพื้นเบาๆเพื่อไล่ฟองอากาศ แล้วโรยตกแต่งหน้าด้วยช็อกโกแลต หรือถั่วต่างๆตามชอบ
  5. นำขนมเข้าเตาอบด้วยไฟ 180 องศา เป็นเวลา 35 นาที หรือจนกว่า ขนมบราวนี่ ของเราจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็นแล้วจัดเสิร์ฟได้เลย
ขนมคีโต

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า หากเราทานขนมคีโตเมนูนี้แล้วจะทำให้น้ำหนักขึ้นหรือไม่ เราขอตอบเลยว่าหากรับประทาน บราวนี่คีโตง่ายๆ สูตรนี้ด้วยปริมาณที่พอเหมาะ จะไม่ทำให้น้ำหนักของเราไม่เพิ่มอย่างแน่นอน แถมวัตถุดิบต่างๆที่เลือกใช้ในเมนู บราวนี่ไม่อ้วน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ ให้พลังงานสูง

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
เบเกอรี่

บานอฟฟี่ การผสมผสานที่อร่อยลงตัว

บานอฟฟี่

บานอฟฟี่ (BANOFFEE) เมนูพายอังกฤษที่หลายๆคนชื่นชอบ ชื่อนี้มีที่มาจากการผสมผสานระหว่างคำว่า “BANANA” และ “TOFFEE” หมายถึงกล้วยกับคาราเมลซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก เมนูเบเกอรี่ชิ้นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในปี ค.ศ. 1972 ประเทศอังกฤษ โดยเจ้าของร้าน THE HUNGRY MONK RESTAURANT และเชฟฝีมือดี ที่มีชื่อว่า นิเกล แม็กเคนซี และเอียนดาวดิง ซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเมนู พายบลัมส์คอฟฟี่ทอฟฟีj

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บานอฟฟี่ เบเกอรี่ทำง่ายไม่ใช้เตาอบ

เมนูเบเกอรี่ บานอฟฟี่ ถือว่าเป็นเบเกอรี่ที่มีความหลากหลาย ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ ส่วนของฐานแครกเกอร์,กล้วย,ซอสคาราเมล,วิปปิ้งครีม เมื่อรับประทานไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงความกรอบ และความนุ่ม รวมถึงรสชาติที่หลากหลายพร้อมกันในคำเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กลายเป็น เบเกอรี่ยอดนิยม ที่ใครๆก็ต่างหลงรัก

วัตถุดิบทำแครกเกอร์บานอฟฟี่

  1. แครกเกอร์ 300 กรัม
  2. เนยสดเค็มละลาย 150 กรัม

วัตถุดิบทำซอสคาราเมล

  1. น้ำตาลทรายชนิดละเอียด 250 กรัม
  2. น้ำเปล่า 70 มิลลิลิตร
  3. วิปปิ้งครีมอุ่น 150 กรัม 
  4. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  5. เนยสดเค็ม อุณหภูมิห้อง 50 กรัม

วัตถุดิบทำวิปปิ้งครีม

  1. วิปปิ้งครีม 500 กรัม 
  2. กลิ่นวานิลลา 1/2 ชช.
  3. ผงโกโก้ สำหรับโรยหน้า
  4. กล้วยหอม 8 ลูก
บานอฟฟี่

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกทำฐานพายบานอฟฟี่ เริ่มจากการนำแครกเกอร์ไปบดหรือทุบให้ละเอียด นำมาใส่ไว้ในชามผสมพร้อมกับเนยละลาย ใช้ไม้พายคลุกเคล้าให้เข้ากันจนเนื้อร่วนแล้วนำไปตักใส่ภาชนะ ด้วยปริมาณประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ กดให้แน่นเล็กน้อยแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เป็นเวลา 30 นาที
  2. ต่อมาเป็นขั้นตอนของการทำซอสคาราเมล ใส่น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าลงไปในหม้อ เปิดเตาด้วยไฟกลางเคี่ยวให้น้ำตาลทรายละลายดี เมื่อได้สีน้ำตาลอ่อนแล้วปิดเตา ใส่วิปปิ้งครีมลงไปคนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากันดี ตามด้วยเนยเค็มและกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากันอีกครั้ง พักไว้ให้เย็นสนิท
  3. เตรียมชามผสม และหัวตีด้วยการนำไปแช่ช่องฟิตให้เย็น (ประมาณ 15 นาที เพื่อให้ขึ้นฟูไวขึ้น) จากนั้นนำวิปปิ้งครีมและกลิ่นวานิลลาลงไป ตีด้วยสปีดสูงสุดจนตั้งยอดกลางแล้วตักใส่ถุงบีบ แช่พักไว้ในตู้เย็น
  4. หั่นกล้วยหอมให้เป็นแว่นบาง นำไปจัดวางไว้ในภาชนะที่ใส่พายเอาไว้ ตามด้วยซอสคาราเมล และวิปปิ้งครีม ตกแต่งให้เป็นชั้นๆแล้วโรยหน้าด้วยผงโกโก้ให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้น หากใครอยากตกแต่งเพิ่มเติมก็จัดเต็มได้ตามชอบ
บานอฟฟี่

ก่อนจะจากกันในบทความสอนทำบานอฟฟี่ เราขอฝากทริคดีๆในการทำบานอฟฟี่คาราเมล คือ การคาราเมลนั้นระหว่างเคี่ยวไม่ควรคนนะคะ เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้น้ำตาลตกผลึก หากใครกลัวว่า ซอสคาราเมลมานอฟฟี่ ของเราจะไหม้ ให้ใช้วิธีการเขย่าหม้อเบาๆแทนนะคะ

สนับสนุนโดย: https://ufaball.bet/เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์/