Categories
ขนมไทย

ขนมพื้นบ้าน! ขนม ตะลุ่ม หน้าสังขยา เนื้อนุ่มเด้ง รสชาติ หวาน มัน เค็ม อร่อยอย่างลงตัว

ขนม ตะลุ่ม

ขนม ตะลุ่ม เป็นขนมพื้นบ้านที่หาทานยากมากในปัจจุบัน เพราะจะมีขายแค่ในบางพื้นที่เท่านั้น ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนย้อนเวลามาทำขนมดั้งเดิมไว้ทานกับครอบครัว หรือจะทำขายก็ได้กำไรแน่นอน ในส่วนของวิธีทำก็ทำง่ายไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด ว่าแล้วไปลุยกันเลย

แชร์สูตร(ไม่)ลับ! ขนม ตะลุ่ม ของดีสมัยอดีต ทำง่ายนิดเดียว

ขนม ตะลุ่ม

หากใครที่ชอบทานขนมหวานชาววัง และกำลังหาเมนูขนมหวานทำทานแก้เบื่อ ขอแนะนำขนมตะลุ่ม ขนมที่มีรสชาติหวานละมุนลิ้นสุดๆ หากได้ลองทานขนมตะลุ่มรับรองจะต้องติดใจแน่นอน สำหรับสูตรขนมตะลุ่มที่เราจะนำมาแชร์นั้นมีส่วนผสมเพียงน้อยนิดดังนี้

วัตถุดิบ และส่วนผสมของแป้งขนม

  1. แป้งข้าวเจ้า 200 กรัม
  2. แป้งท้าวยายม่อม 50 กรัม
  3. เกลือ ½ ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 300 กรัม
  5. กะทิสด 150 กรัม
ขนม ตะลุ่ม

วัตถุดิบ และส่วนผสมของหน้าสังขยา

  1. ไข่เป็ด 5 ฟอง
  2. หัวกะทิ 150 กรัม
  3. ใบเตย 5 ใบ
  4. น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม

ขั้นตอนการทำ ขนมตะลุ่ม หนึ่งในขนม ไทยอย่างง่าย แม้คนที่ไม่เคยทำขนมมาก่อนก็ทำได้ ซึ่งขนมไทยชนิดนี้เป็นขนม โบราณที่สามารถทำทานได้ทุกวันไม่เบื่อ 

ขนม ตะลุ่ม
  1. เริ่มต้นที่การเตรียมแป้งขนมกันก่อน ขั้นแรกนำแป้งข้าวเจ้า แป้งท้าวยายม่อม เกลือ หางกะทิ น้ำปูนใส และน้ำเปล่า ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง จากพักไว้
  2. ต่อมาให้เตรียมหน้าสังขยา โดยนำไข่เป็ดใช้เฉพาะไข่แดง น้ำตาลมะพร้าว ใบเตย และหัวกะทิ ผสมให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง 
  3. นำหม้อนึ่งมาตั้งไฟให้น้ำเดือด จากนั้นนำน้ำแป้งที่เตรียมไว้ตักใส่ถ้วยขนมที่เตรียมไว้ นำไปนึ่งประมาณ 5 นาที
  4. จากนั้นหยอดสังขยาลงไปในหน้าถ้วยขนมที่นึ่งอยู่ และทำการนึ่งต่อไปอีก 15 นาที เมื่อครบเวลาแล้วให้ยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น
ขนม ตะลุ่ม

หลังจากที่ทำขนม ตะลุ่มเสร็จแล้ว หากใครต้องการเก็บขนมไว้ทานในวันถัดไป แนะนำให้เก็บขนมไว้ในตู้เย็น เพราะไม่เช่นนั้นขนมอาจจะเสียได้ สำหรับขนมไทย โบราณชาววังจะเห็นว่าขั้นตอนการทำนั้นไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด และที่สำคัญยังเป็นขนม หวาน ไทยที่ใช้เวลาทำไม่นาน อุปกรณ์ก็มีเพียงไม่อย่าง รับรองว่าทำได้แน่นอน 

ตะลุ่ม ขนม ไทย ทำ ง่าย รสชาติหวานฉ่ำๆ ทานคู่กับอะไรก็อร่อย 

ขนม ตะลุ่ม

ขนมตะลุ่ม หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้มากนัก เนื่องจากไม่ค่อยมีใครทำมากนัก จึงทำให้ขนมชนิดนี้หาทานได้ยากมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำทานเองได้ เพราะขนมชนิดนี้ถือว่าเป็นขนม ไทย ง่ายๆ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สำหรับคนที่อยากทำขนมไทย ทำเองที่บ้านสามารถทำตามวิธีทำที่เรานำมาแชร์ได้เลย รับรองว่าทุกขั้นตอนตรงตามสูตร ขนม ไทยชาววังทุกประการ แถมตะลุ่ม เป็นขนมที่ทานคู่กับเครื่องดื่มพวก ชา กาแฟได้อร่อยชื่นใจสุดๆ 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

แชร์สูตร ขนมถ้วย ต้นตำรับโบราณ รสชาติหวานมัน หอมกลิ่นกะทิ

ขนมถ้วย

วันนี้เรามีขนมหวานของไทยมาแนะนำ นั่นก็คือ ขนมถ้วย หนึ่งในขนมชาววังที่มีมาตั้งแต่ในสมัยอดีต สำหรับขนมชนิดมีรสชาติ หวาน มัน และกะทิอ่อนๆ อร่อยกำลังดี อีกทั้งเนื้อสัมผัสนุ่มนิ่มสุดๆ ปัจจุบันขนมชนิดนี้มีขายตามร้านอาหารไทย และตลาดนัดทั่วไป 

เปิดสูตร ขนมถ้วย หนึ่งในขนมชาววัง ทำง่ายๆ มือใหม่ทำได้สบาย

ขนมถ้วย

สำหรับขนมถ้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูขนมหวานที่มักจะนิยมทานเป็นประจำ เพราะรสชาติที่หวานกำลังดี แถมขนม ถ้วยยังสามารถได้ทุกวันไม่มีเบื่ออีกด้วย และที่สำคัญยังหาซื้อทานได้ง่ายอีกด้วย สำหรับใครที่อยากจะลองทำให้คนในครอบครัวทาน วันนี้เรามีสูต ร ขนม ถ้วย จากต้นตำรับมาแขร์ให้ลองทำตาม ซึ่งขนมถ้วยโบราณถือว่าหาทานได้ค่อนข้างยากในปัจจุบัน 

วัตถุดิบ และส่วนผสมของแป้งขนม

  1. แป้งข้าวเจ้า 200 กรัม
  2. แป้งมัน 100 กรัม
  3. น้ำตาลปิ๊ป 300 กรัม
  4. กะทิ 150 กรัม
  5. น้ำเปล่า 500 กรัม
  6. ใบเตย 2 ถ้วยตวง
ขนมถ้วย

ส่วนผสม และวัตถุดิบ (หน้าขนม)

  1. แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
  2. หัวกะทิ 800 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  4. เกลือ 2 ช้อนชา

ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นวิธีการทำ ขนมถ้วย ตามสูตรขนม ไทยชาววัง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ขนมถ้วย
  1. นำใบเตยใส่น้ำเปล่าที่เตรียมไว้แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง 
  2. เทแป้งมัน และแป้งข้าวเจ้า ใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ จากนั้นใส่น้ำตาลปิ๊ปลงไป ผสมให้เข้ากัน โดยใช้มือคลุกเคล้าให้แป้งเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่น้ำใบที่เตรียมไว้ลงไปผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง เพื่อให้ได้น้ำแป้งที่มีเนื้อเนียน
  3. ต่อมาเราจะมาทำหน้าขนม เริ่มจากนำแป้งใส่กะทิ เกลือ น้ำตาล และน้ำเปล่า คนส่วนผสมทั้งให้เข้ากัน นำมากรองด้วยตะแกรงอีกรอบ 
  4. นำภาชนะที่ทำการนึ่งขนมถ้วยมาตั้งเตาด้วยไฟแรง รอจนกว่าขนมถ้วยจะร้อน จากนั้นเติมน้ำแป้งขนมที่เตรียมไว้ลงไป ปิดฝาหม้อนึ่ง รอประมาณ 5-10 นาที จากนั้นใส่น้ำหน้าขนมลงไปในถ้วยขนมให้เต็ม จากนั้นนึ่งขนมต่อไปอีก 10 นาที เมื่อขนมสุกแล้วยกหม้อนึ่งออกจากเตา เปิดฝาหม้อนึ่งแล้วยกถ้วยขนมออกมาพักไว้ในเย็น 
  5. นำขนมที่นึ่งสุกแล้วมาแคะออกใส่จานให้สวยงาม หรือจะนำไปเสิร์ฟโดยไม่ต้องแคะออกจากถ้วยก็สวยงามเช่นกัน

เสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับ ขนมไทย สูตรต้นตำรับที่หลายคนอยากลองทำ ซึ่งสูตรที่นำมาแชร์เป็นขนม โบราณขนานแท้ ดังนั้นรสชาติจะความอร่อยกลมกล่อม และหอมกลิ่นกะทิสดอ่อนๆ หวานชื่นใจ 

เคล็ด (ไม่) ลับ วิธีทำ ขนมไทย โบราณ ให้อร่อย ละลายในปาก ตามฉบับชาววัง 

ขนมถ้วย

ขนมถ้วยเป็นขนม หวาน ไทยที่นิยมรับประทานกันในครอบครัว อีกทั้งยังเป็นขนมที่ถูกนำมาใช้ในงานมงคลต่างๆ ในอดีตอีกด้วย สำหรับเคล็ดลับในทำ ขนม ไทย ทำ ง่ายๆ มือใหม่ก็ทำได้ โดยแป้งที่นำมาทำขนมจะต้องร่อนก่อนผสมส่วนผสมอื่นๆ ลงไป หลังจากนั้นน้ำแป้งมากรองอีกครั้ง เพียงแค่นี้เราก็จะได้ขนมถ้วยที่อร่อย หากใครอยากทำขนม ไทย ง่ายๆ สามารถลองทำขนมไทย ทำเองได้ไม่ไปเรียนทำขนมให้เสียเวลา แนะนำให้ทำขนมถ้วยสุดน่านัก ตามฉับสูตร ขนม ไทยดั้งเดิมได้เลย

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
เบเกอรี่

ชวนทำ มัฟฟิน บลูเบอรี่ เนื้อนุ่ม รสชาติหวานอมเปรี้ยว อร่อยอย่างลงตัว 

มัฟฟิน บลูเบอรี่

ใครที่ชอบทานขนมเค้กเนื้อฉ่ำๆ มาทางนี้ เพราะวันนี้เรามีเมนูเบเกอรี่ยอดนิยมมาแนะนำ นั่นก็คือ มัฟฟิน บลูเบอรี่ เป็นขนมเค้กที่นำบลูเบอรี่มาเป็นวัตถุดิบหลักของขนม ทำให้เค้กมีความหอมกลิ่นบลูเบอรี่ฉ่ำๆ แถมยังทำให้เค้กมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยสุด 

มัฟฟิน บลูเบอรี่ เนื้อฉ่ำๆ แสนอร่อย หอมละมุน ทานได้ไม่มีเบื่อ

มัฟฟิน บลูเบอรี่

ขนมเบเกอรี่ มัฟฟินบลูเบอรี่ ถือว่าเป็นขนมเค้กที่สามารถทานได้เป็นอาหารว่างได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้วยรสชาติที่หอมวานอมเปรี้ยวจึงทำให้ขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ สูตร มัฟฟิน บลูเบอรี่ มีทั้ง มัฟฟินบลูเบอรี่ คลีนไม่มีน้ำตาล เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ และที่สำคัญถ้าใครกำลังลดน้ำหนัก สูตรขนมมัฟฟิน บลูเบอรี่ คลีน ตอบโจทย์แน่นอน สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำสูตร มัฟฟินบลูเบอรี่ครีมชีส โดยมีส่วนผสม และวัตถุดิบดังนี้

  1. แป้งเค้ก 150 กรัม
  2. เนยสดจืด 30 กรัม
  3. ครีมเปรี้ยว 30 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  5. นมสดรสจืด 40 กรัม
  6. บลูเบอรี่สด 60 กรัม
  7. ผงฟู 1 ช้อนชา
  8. เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  9. พาร์มีซานชีส 30 กรัม
  10. ครีมชีส 100 กรัม
มัฟฟิน บลูเบอรี่

เมื่อเตรียมส่วนผสมของมัฟฟินบลูเบอรี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นส่วนของวิธีทำบลูเบอร์รี่ มัฟฟิน แบบง่ายๆ มือใหม่ก็ทำตามได้ไม่ยาก

วิธีทำ มัฟฟินบลูเบอร์รี่ ให้อร่อยตามฉบับมือใหม่ ทำง่ายไม่ยุ่งยาก

มัฟฟิน บลูเบอรี่

มัฟฟินบลูเบอรี่ เป็นเบเกอรี่ที่มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด อีกทั้งยังสามารถทำตามได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปเรียนทำขนมให้เสียเวลา แถมรสชาติที่ได้ยังอร่อยเหมือนซื้อทานที่ร้านเลยทีเดียว ส่วนวิธีทำง่ายๆ มีดังต่อไปนี้ 

มัฟฟิน บลูเบอรี่
  1. มาเริ่มที่ขั้นตอนแรก นำแป้งเค้กที่เตรียมไว้มาร่อนรวมกับผงฟู เบกกิ้งโซดา และพาร์มีซานชีส จากนั้นพักแป้งที่ร่อนไว้ ต่อมาเตรียมครีมซิสโดยเครื่องตีครีมใช้ความเร็วในระดับปานกลาง ตีจนกว่าเนื้อครีมจะเนียน ใส่เนยสด ครีมเปรี้ยว น้ำตาลทรายลงไปตีส่วนผสมให้เข้ากัน และใส่ใข่ไก่ลงไปตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกรอบ
  2. นำแป้งที่ร่อนไว้ และนมสดใส่ลงไปในผสมกับครีมซีสตีส่วนผสมให้เข้ากัน ขั้นตอนสุดท้ายใส่บลูเบอรี่ลงไปตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นจากส่วนผสมใส่ถ้วยพิมพ์กระดาษ และตบท้ายด้วยการโรยหน้าด้วยพาร์มีซานชีส เพื่อเพิ่มความหอมของขนมให้ดูน่าทานมากยิ่งขึ้น
  3. นำขนมเข้าอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เปิดไฟ บน-ล่าง ใช้ประมาณ 25 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มัฟฟิน บลูเบอรี่

เมื่ออบ มัฟฟินบลูเบอรี่เสร็จแล้ว นำขนมไปพักไว้ให้เย็น เพียงเท่านี้เราก็จะได้ขนมเค้กเบเกอรี่ยอดนิยมที่แสนอร่อย และมีขั้นตอนการทำเบเกอรี่ง่ายๆ แถมยังเป็น เบเกอรี่ทำเองที่บ้าน สำหรับใครที่ชอบทำเบเกอรี่โฮมเมด สามารถทำตามสูตร บลูเบอรี่มัฟฟินที่เรานำมาแชร์ได้เลย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://paperindustrymag.com เว็บคาสิโนออนไลน์ 24 ชม.

Categories
เบเกอรี่

MADELEINE มาเดอลีน ขนมก้นหอย หรือเค้กไข่ฝรั่งเศสชิ้นเล็ก เนื้อนุ่มละมุนลิ้น

MADELEINE

เมื่อกล่าวถึงประเทศที่มีเบเกอรี่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด หลายคนคงต้องนึกถึง เบเกอรี่ฝรั่งเศส เพราะเป็นประเทศที่รังสรรค์ เบเกอรี่ยอดนิยม ส่งต่อสูตรจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลากหลายเมนู และยังมีเมนูที่คล้ายคลึงกับเบเกอรี่ที่มีขายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย คือ MADELEINE หรือที่เรียกกันว่า มาเดอลีน , มาเดอแลน , มาเดอเลน (ชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามการออกเสียง) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขนมไข่ที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำ แต่จะเหมือนหรือมีความแตกต่างกันอย่างไรนั้น เราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบกันในบทความนี้

MADELEINE ขนมฝรั่งเศสที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน

MADELEINE

สำหรับ ประวัติมาเดอลีน หรือ ขนมไข่ฝรั่งเศส นั้นนับว่าถือกำเนิดมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 ปี ค.ศ.1755 โดยมีเรื่องเล่ากันว่าMADELEINEเกิดขึ้นที่ปราสาท COMMERCY ในแคว้น LORRAINE ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยหญิงสาวคนหนึ่งมีชื่อว่า “MADELEINE PAULMIER” เธอได้ทำขนมถวายแก่กษัตริย์ของโปรแลนด์ ซึ่งเป็นดยุคของแคว้นในสมัยนั้น และเมื่อเมนูนี้ถูกเสิร์ฟออกไปในงานเลี้ยง แขกทุกคนต่างชื่นชอบเค้กชิ้นเล็กแสนเรียบง่าย และรสชาติที่อร่อยถูกปาก หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศในช่วงยุคสมัยนั้น 

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมมาเดอลีน รูปทรงเปลือกหอยนี้มีที่มา

MADELEINE

MADELEINEเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เนื้อเค้กสปันจ์ มาเดอลีน รสชาติ หวานนุ่มชุ่มฉ่ำเนย กลิ่นหอมของผิวเลมอน และเนยผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขนม แช่ไว้ในตู้เย็น 2–3 วัน เนื้อขนมจะอร่อยฉ่ำมากยิ่งขึ้น อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้เลยก็คือรูปร่างเปลือกหอยสีเหลืองทองที่ถูกรังสรรค์มาอย่างสวยงาม โดยที่มาของรูปร่างเปลือกหอยก็มาจากการที่หญิงสาวผู้คิดค้นสูตรขนม เธอได้ใช้เปลือกหอยที่หาได้ง่ายในครัวมาใช้แทนพิมพ์ในการอบนั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างขนมไข่ และมาเดอลีน

MADELEINE

แม้ว่าขนมMADELEINEและ ขนมไข่ ของไทยจะมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน และใช้วัตถุดิบที่คล้ายกันอย่าง แป้ง น้ำตาล ผงฟู และไข่ไก่ และนิยมนำมารับประทานคู่กับชากาแฟในยามบ่าย แต่ความแตกต่างของ เบเกอรี่ขนมหวาน ทั้งสองชนิดนั้นคือ ขนมไข่จะเน้นวัตถุดิบหลักเป็นไข่สดๆในปริมาณมาก ส่วน มาเดอแลน จะเน้นการใส่ส่วนผสมหลักเป็นเนย จนนุ่มชุ่มฉ่ำ และมีการใส่ผิวเลมอนเข้าไปเพิ่มกลิ่นด้วย 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ มาเดอลีน สูตรคลาสสิก

MADELEINEเป็น ขนมทำง่าย แต่ต้องใช้เวลาในการทำเล็กน้อยเพื่อให้แป้งของขนมเชตตัว โดยพักไว้ให้แป้งดูดซึมส่วนผสมอื่นๆให้ได้มากที่สุด ส่งผลให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ ในปัจจุบัน มาเดอลีน สูตร มีความหลากหลายมากจากความนิยมที่ได้รับในหลายๆประเทศ ในบางสูตรมีการเพิ่มอัลมอนด์ และลูกเกดเข้าไปเป็นส่วนผสม เพิ่มเติมกลิ่น และรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น เช่น รสส้ม , ช็อคโกแลต , คาราเมล และอื่นๆ สำหรับสูตรทำขนมของเราในบทความนี้เป็นสูตรคลาสสิก ทุกคนสามารถรังสรรค์ปรับเปลี่ยนสูตร โดยเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆใส่ได้ตามชอบ

MADELEINE

วัตถุดิบ ทำ ขนมเมดเดอเรน

  1. ไข่ไก่เบอร์1 2 ฟอง 
  2. น้ำตาลทราย 90 กรัม
  3. แป้งเค้ก 115 กรัม
  4. ผงฟู 11/2 ช้อนชา
  5. เนยรสเค็มละลาย 95 กรัม
  6. ผิวเลมอนขูด 1 ผล

ขั้นตอนวิธีการทำ 

MADELEINE
  1. ขั้นตอนแรกในการทำMADELEINE เริ่มจากการใส่ไข่ และน้ำตาลลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต่อด้วยการร่อนของแห้งทั้งหมดใส่ลงไป คือ แป้งเค้ก และผงฟู จากนั้นคนให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อครีม ใส่เนยสดรสเค็มละลายพออุ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน สุดท้ายใส่ผิวเลมอนขูดลงไปตีให้เข้ากัน พักแป้งไว้ในภาชนะมีฝาปิดไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง
  2. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้นำออกมาคนให้คลายความเย็นลง นำใส่ถุงบีบ จากนั้นเตรียมพิมพ์รูปก้นหอย โดยใช้เนยนิ่มทาพิมพ์บางๆให้ทั่ว ร่อนผงแป้งลงไปให้ทั่วพิมพ์ และเคาะแป้งส่วนเกินออก เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติดพิมพ์ รองพิมพ์ด้วยถาดรองอบแล้วบีบครีมที่เตรียมไว้ลงไปไม่ต้องเต็ม เพราะระหว่างอบตัวขนมจะฟูขึ้นมา
  3. วอร์มเตาอบด้วยอุณหภูมิ 190 องศาไฟบนล่างเปิดพัดลม เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนจะนำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม เป็นเวลา 12 – 15 นาที หรือจนกว่าตัวขนมจะสุกฟูได้ที่ เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์มาพักไว้ในตะแกรงให้คลายความร้อน เสร็จแล้วนำไปชุบช็อกโกแลต หรือนำไปทานกับชากาแฟได้เลยค่ะ
MADELEINE

บทสรุป

ก่อนจะจากกันไปในบทความนี้ เราขอบอกวิธีการทานMADELEINEให้อร่อยมากยิ่งขึ้น คือการนำ ขนมจุ่มนม ช็อกโกแลตร้อนๆ ชา หรือกาแฟ จะทำให้ ขนมมาเดอแลน ดูดซึมน้ำเหล่านี้เข้าไป เนื้อของขนมจะนุ่มชุ่มฉ่ำทานเพลินมากยิ่งขึ้น และสำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า มาเดอลีน เก็บได้กี่วัน ? คำตอบคือสามารถบรรจุเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นาน 5 วัน และในตู้เย็นได้นานถึง 14 วันเลยทีเดียว

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://midwestrailplan.org/ เว็บไซต์การพนันออนไลน์

Categories
เบเกอรี่

WAGASHI วากาชิ เนริกิริ ขนมญี่ปุ่นที่มีประวัติความเป็นมามากกว่า 2000 ปี

WAGASHI

ขนมญี่ปุ่น เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมอยู่หลายเมนู ยกตัวอย่างเช่น ไดฟุกุ โมจิ โดรายากิ ฯลฯ และสูตรขนมของเราในบทความนี้ก็เป็นขนมญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน แต่หลายคนอาจยังไม่รู้จักเท่าที่ควร “วากาชิ” หรือ WAGASHI ขนมหวานโบราณดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น รูปทรงของขนมมีเอกลักษณ์ โดยมีการผสมผสานศิลปะของชาวญี่ปุ่นในสมัยเมืองหลวงเกียวโต 

ทำความรู้จักกับ WAGASHI ขนมหวานที่สื่อถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่น

WAGASHI

WAGASHIวากาชิ คำนี้แปลความหมายตามตัวว่า ขนมหวาน ญี่ปุ่น โดยคำว่า “WA วา” แปลได้ว่า แห่งความเป็นญี่ปุ่น และคำว่า “KASHI กาชิ” แปลได้ว่า ขนมหวาน เมื่อทั้งสองคำนี้มารวมกัน จึงกลายเป็น ขนมหวาน ที่สื่อถึงความเป็นญี่ปุ่นนั่นเอง นอกจากนี้ขนมหวานหลายชนิดยังสื่อถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย

ประวัติความเป็นมาของ วากาชิ 

WAGASHI

ในอดีตนั้น ของหวานทานเล่น ของชาวญี่ปุ่นในสมัยยาโยอิ (300 ปีก่อนคริสกาล) มีเพียงผลไม้ที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมาในสมัยนะระ ค.ศ.710 ชาวญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมต่างๆมาจากชาวจีน รวมถึงการ ทำขนมหวาน จากข้าว และข้าวเหนียว จนได้ปรับเปลี่ยนรังสรรค์สูตรให้กลายเป็นWAGASHI ในแบบของตัวเอง เริ่มจาก โมจิ และดังโกะ เป็นเมนูแรกๆที่เกิดขึ้นมา เพื่อรับประทานในพิธีชงชาในยามว่าง และยามบ่าย

เนริคิริ คืออะไร ?

WAGASHI

เมนูขนมหวาน ของเราในบทความนี้ก็เป็นหนึ่งในWAGASHIด้วยเช่นกัน โดย เนริคิริ คือ ขนมหวานขึ้นชื่อของชาวญี่ปุ่น ประเภทนามะกาชิ หรือขนมสด ทำมาจากถั่วขาวกวน หรือชิโรอัน ผสมกับกิวฮิ หรือที่เราเรียกกันว่าแป้งโมจินั่นเอง โดยเป็นขนมที่ถูกนำมาปั้นเป็นรูปทรงสวยงาม ผสานศิลปะของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะปั้นเป็นรูปทรงตามฤดูกาล เช่น ดอกซากุระ นก แทนฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเนื้อสัมผัสของขนมเหนียวนุ่ม รสชาติหวาน นิยมนำมารับประทานพร้อมกับน้ำชา 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ วากาชิ เนริคิริ

WAGASHI

ส่วนผสมในการทำ ขนมเนริคิริ มีเพียงเล็กน้อย และหาได้ง่ายในประเทศไทย แต่ขั้นตอนวิธีการทำ WAGASHI เมนูนี้อาจจะยุ่งยากไปสักหน่อยสำหรับมือใหม่ เพราะต้องใช้เวลาเตรียมวัตถุดิบเป็นเวลานาน และต้องอาศัย ศิลปะในการทำขนม และความตั้งใจไม่น้อย เพื่อรังสรรค์บรรจงปั้นขนมให้เป็นรูปทรงที่สวยงามละเมียดละไม แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบการทำขนมแนวนี้ ก็จะสามารถทำได้โดยง่าย และสนุกไปกับมัน

วัตถุดิบทำ ถั่วขาวกวน หรือชิโรอัน

  1. ถั่วขาว CANNELLINI 960 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 200 กรัม

วัตถุดิบทำ แป้งโมจิ

  1. แป้งข้าวเหนียว 32 กรัม
  2. น้ำเปล่า 44 กรัม
  3. สีผสมอาหาร ปริมาณตามชอบ
WAGASHI

ขั้นตอนวิธีการทำ วากาชิ เนริคิริ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ชิโรอัน หรือถั่วขาวกวน สำหรับเมนูWAKASHIเริ่มจากการนำถั่วขาวใส่ลงไปในชามผสมกันความร้อน แล้วเทน้ำเดือดใส่ให้พอท่วม พักไว้เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดจนกว่าน้ำจะขาวใส เพื่อกำจัดกลิ่น และรสชาติของเมล็ดถั่ว เสร็จแล้วกรองน้ำออกจนหมด
  2. เตรียมที่ร่อนแป้ง และชามผสมอีกหนึ่งใบสำหรับใส่ถั่วขาวบด นำถั่วขาวไปวางไว้บนที่ร่อนแป้งแล้วใช้ช้อนกดถั่วให้แหลกละเอียด จนกลายสภาพเป็นเนื้อแป้ง โดยมีชามผสมรองรับด้านล่าง
  3. ตั้งกระทะเทฟล่อนด้วยไฟกลาง ใส่แป้งถั่วกวนลงไป ตามด้วยน้ำตาล กวนอย่างต่อเนื่องจนกว่าน้ำตาลทั้งหมดจะละลาย ในขั้นตอนนี้ส่วนผสมอาจจะมีความชื้นอยู่มาก ให้กวนต่อจนกว่าจะแห้งดี จากนั้นปรับลดไฟลงเป็นไฟอ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมไหม้ เช็คความได้ที่ของแป้งด้วยมือ หากหยิบขึ้นมาแล้วแป้งไม่เหนียวติดมือก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน ปิดเตานำออกมาพักไว้ให้เย็นได้เลย
  4. ใส่แป้งข้าวเหนียวและน้ำเปล่าลงไปในกระทะเทฟล่อน ใช้ไม้พายผัดจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี ก่อนจะนำไปตั้งเตาด้วยไฟกลาง กวนต่อจนส่วนผสมโปร่งใส เหนียว และหนา เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็นลง จากนั้นนำไปช่างให้ได้ขนาดประมาณ 50 กรัม
  5. เมื่อพักส่วนผสมไว้จนเย็นแล้ว ให้แบ่งแป้งถั่วขาวออกมาเป็นก้อนขนาดประมาณ 200 กรัม สำหรับทำไส้ขนม และห่อแต่ละก้อนด้วยฟิล์มถนอมอาหาร จากนั้นใส่ส่วนผสมในขั้นตอนที่ 4 หรือ GYUHI ลงไปในแป้งที่เหลือ นวดให้เข้ากันดีแล้วปั้นเป็นก้อนวางลงบนผ้าขาวบางสะอาด และพับนวดแป้งไปมาบนผ้าขาวบาง ตามด้วยการแบ่งแป้งออกเป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้ 1 นาที และนวดเข้าหากันด้วยผ้าขาวบางอีกรอบจนกว่าแป้งจะเนียนนุ่ม ก่อนจะปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาด 35 กรัม ห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหารทีละชิ้น และนำแป้งทั้งหมดจัดใส่ถาชนะมีฝาปิด แช่ไว้ในตู้เย็น
  6. นำแป้งสำหรับทำไส้ออกมาแบ่งผสมสีตามสีผสมอาหารที่เลือกใช้ ปั้นเป็นก้อนกลม 4 ก้อนเท่าๆกัน และพักไว้ โดยใช้ชามผสมคลุมไว้ เพื่อไม่ให้แห้งจนเกินไป
  7. นำแป้งถั่วเขียวที่เหลือออกมาผสมสีผสมอาหารตามชอบ จากนั้นนำมาปั้นเป็นก้อนกลมอีกครั้ง ใส่ไส้ที่ปั้นเป็นก้อนกลมเช่นกันไว้ตรงกลาง และตกแต่งรังสรรค์ให้เป็นรูปร่างได้ตามชอบ เสร็จแล้วจัดใส่จานรับประทานพร้อมชาร้อนๆได้เลยค่ะ

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://midwestrailplan.org/ เว็บคาสิโนออนไลน์มาแรงแห่งปี

Categories
เบเกอรี่

เมอแรงค์ MARINGUE เบเกอรี่ยอดนิยม สูตรทำง่าย ทานเพลินๆ

เมอแรงค์

หากกล่าวถึง “ประเทศฝรั่งเศส” หลายคนคงอดคิดถึงสถานที่สุดโรแมนติกไม่ได้ เพราะเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าหลงใหลมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของ เบเกอรี่ หลากหลายเมนู บางเมนูก็กลายเป็น เบเกอรี่ยอดนิยม โด่งดังไปทั่วโลก รวมถึงเมนู เมอแรงค์ (MERINGUE) ขนมหวานเนื้อเบาฟูที่กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยความนิยมนี้ทำให้ถูกประยุกต์ปรับปรุงสูตรให้อร่อยน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น บางชิ้นมีความน่ารักจนไม่กล้ารับประทานเลยทีเดียว

ทำความรู้จัก เมอแรงค์ เบเกอรี่ชิ้นจิ๋ว หยิบทานเพลิน

เมอแรงค์

คำว่าเมอแรงค์เป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่มีความหมายสุดโรแมนติก สื่อความหมายถึง “จูบ” ส่วน ขนมเมอแรงค์ คือ ขนมหวาน ของชาวฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ ทำมาจากส่วนผสมหลักอย่าง ไข่ขาวที่ถูกนำมาตีพร้อมน้ำตาลด้วยเครื่องผสมอาหารความเร็วสูงจนมีเนื้อนุ่มฟู ในบางสูตรมีการผสมแป้งเข้าไปเพื่อช่วยขึ้นรูป พร้อมเติมสารแตงกลิ่นหอม เมื่อรับประทานเข้าไปจะรับรู้ได้ถึงเนื้อสัมผัสกรอบกำลังดี รสชาติหวานหอมละลายในปาก

ประความเป็นมาของขนม เมอแร็งก์ หรือเมอแรงค์ 

เมอแรงค์

ประวัติเมอแรงค์ นั้นมีต้นกำเนิดที่เมือง MERINGEN หรือเมืองเมอริเจน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยถูกคิดค้นและปรับปรุง สูตรขนมเมอแรงค์ โดยเชฟชาวอิตาลีท่านหนึ่ง มีนามว่า GASPARINI ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ในเวลาต่อมาก็ได้มีการโต้แย้งถึงแหล่งกำเนิดของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดอยู่ที่ใดกันแน่ แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นหลักฐานที่แน่ชัดก็คือมีสูตรอยู่ใน ตำราอาหาร ของ MASSIALOT ในช่วงปี ค.ศ.1692

MARINGUE เบเกอรี่ยอดนิยม ที่สามารถแบ่งได้หลายประเภท

เมอแรงค์

แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ประเทศใดกันแน่ แต่ก็ถูกนำไปประยุกต์สูตรให้เข้ากับแบบฉบับการรับประ ทานขนมหวาน ของแต่ละประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ , ฝรั่งเศส และอิตาลี จึงสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เฟรนช์เมอแรงค์ FRENCH MERINGUE , สวิสเมอแรงค์ SWISS MERINGUE , อิตาเลียนเมอแรงค์ ITALIAN MERINGUE ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในด้านของเนื้อสัมผัส วัตถุดิบ และวิธีการทำ 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ พร้อมเทคนิคง่ายๆในการทำเบเกอรี่

เมอแรงค์

ก่อนจะไปเรียนรู้ สูตรเมอแรงค์ ของเราในบทความนี้ เราก็ขอบอกถึงเทคนิคในการทำ เมอแรงค์ ให้ได้รู้ก่อนการลงมือทำ คือ การเช็ดชามผสม และเครื่องตีด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว เพราะหากยังหลงเหลือคราบไขมันแม้แต่น้อยก็จะทำให้การ ตีขนมเมอแรงค์ ไม่ขึ้นฟูสวยงามอย่างที่หวังไว้ และอีกหนึ่งข้อควรระวังคือการเตรียมวัตถุดิบหลักอย่าง “ไข่ขาว” แนะนำให้แยกไข่ขาว และไข่แดงให้ระมัดระวังที่สุด ดังนั้น หากทำได้ตามนี้ การทำขนมของคุณในครั้งนี้ก็จะสามารถผ่านไปได้โดยง่าย ไม่มีอุปสรรคในการทำค่ะ

วัตถุดิบทำ เมอ แรงค์

  1. ไข่ขาวของไข่ไก่ 2 ฟอง
  2. น้ำตาลทราย 85 กรัม
  3. กลิ่นวนิลา ½ ช้อนชา
  4. สีผสมอาหารตามชอบ
เมอแรงค์

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำเมอแรงค์ เริ่มจากการทำความสะอาดหัวตี และโถผสม (เช็ดด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว เพื่อให้ปราศจากคราบมัน) ก่อนจะใส่ไข่ขาวลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย 
  2. ตั้งหม้อต้มน้ำรอให้เดือด ปรับไฟเป็นไฟอ่อนแล้วนำชามผสมที่ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลละลายมาวางบนปากหม้อ ต่อด้วยการใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี เป็นการใช้ไอน้ำช่วยให้ส่วนผสมละลายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เสร็จแล้วยกออกจากเตาได้เลยค่ะ
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 มาตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดสูงสุด ตีจนตั้งยอดอ่อนแล้วปิดเครื่องผสมอาหาร ใส่สารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไป เปิดเครื่องตีต่อด้วยสปีดสูงสุด จนตั้งยอดกลาง – แข็ง จากนั้นแบ่งส่วนผสมออกมาใส่ภาชนะ ตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ ก่อนจะเติมสีผสมอาหารลงตะล่อมให้เข้ากันกับส่วนผสม (ในขั้นตอนนี้แนะนำว่าอย่าคนแรงนะคะ เพราะจะทำให้ไข่ขาวซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก มีเนื้อเหลว และฝ่อลงได้)
  4. นำหัวบีบใส่ลงไปในถุงบีบ ตัดปลายของถุงบีบให้ลึกพอพ้นขอบหัวบีบ ก่อนจะใส่ลงไปในแก้วแล้วใส่ส่วนผสมของ เมอร์แรง ที่เตรียมไว้ลงไป โดยแยกให้เป็นสีละอัน 
  5. เตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบให้พร้อม ก่อนจะบีบตัว ขนมเมอแรงค์ ให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ สามารถรังสรรค์ได้ตามชอบเลยนะคะ แต่ขอแนะนำให้เว้นระยะห่างแต่ละชิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมไหลมาติดกัน
  6. วอร์เตาอบด้วยไฟบนล่าง 90 องศาเซลเซียส ก่อนจะนำขนมที่เตรียมไว้เข้าไปวางในเตาอบชั้นล่างสุด และเปิดเตาอบด้วยอุณหภูมิเท่ากัน เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หากครบเวลาแล้วตัวขนมยังไม่แห้ง หรือกรอบดี สามารถปรับเพิ่มเวลาอบต่อได้ค่ะ เมื่อได้เนื้อขนมที่พึงพอใจแล้วให้ปิดเตา พักไว้ในเตาอบต่อเป็นเวลา 20 นาที 
  7. หลังจากรอจนครบเวลาจนตัวขนมคลายความร้อนแล้วให้นำออกมาแกะออกจากแผ่นรองอบ และนำไปใส่ภาชนะมีฝาปิดทันที หากตั้งทิ้งไว้ข้างนอกจะทำให้ขนมชื้น และไม่กรอบ รอต่อไปให้ขนมเย็นสนิทแล้วค่อยนำออกมารับประทานนะคะ

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet เว็บคาสิโนและพนันออนไลน์ชื่อดัง

Categories
เบเกอรี่

บราวนี่หน้าฟิล์ม อร่อยนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ท้าให้กิน

บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์ม  สูตรเด็ดแสนอร่อย หนึบๆ เป็นอีกหนึ่ง สูตรบราวนี่หน้าฟิล์มหวานน้อย ที่ไม่ควรพลาด มาฝึกทำกันเถอะ รับรอง ติดใจ

ส่วนผสมในการทำ บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์ม

บราวนี่หน้าฟิล์มขนมเบเกอรี่สุดอร่อยที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ใครที่ชอบกินช็อคโกแลตเข้ม ๆ เน้น ๆ ฉ่ำ ๆ ต้องสูตรนี้เลย เรามาดูกันส่วนผสมมีอะไรกันบ้าง ห้ามพลาด

วัตถุดิบสำหรับทำบราวนี่

มีส่วนผสมเพียงไม่กี่อย่าง ถึงไม่แปลกใจเลยที่ขนมชนิดนี้ จะเป็นที่นิยม ในส่วนของการอบ บราวนี่หน้าฟิล์มอบกี่นาที คำตอบอยู่ในบรรทัดถัดไป

บราวนี่หน้าฟิล์ม
  • เนยสดชนิดจืด 85 กรัม
  • ช็อกโกแลตชิพ จำนวน 175 กรัม 
  • น้ำตาลทราย 160 กรัม 
  • ไข่ไก่เบอร์ 1 จำนวน 2 ฟอง 
  • กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  • แป้งสาลีเอนกประสงค์ 85 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

วิธีทำง่าย ๆ ใครก็ทำได้

บราวนี่หน้าฟิล์ม

ขั้นตอนที่ 1 นำดาร์คช็อคโกแลตหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปอุ่นพร้อมกับเนยประมาณ 30 นาที รอจนละลาย คนให้เข้ากันจนขึ้นเงาแล้วพักไว้ ในระหว่างนั้น ให้ร่อนแป้ง ผงโกโก้และเกลือ พักไว้เช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 ไข่และน้ำตาลมาตีด้วยเครื่องกระทั่งไข่ฟูและมีสีอ่อน นำส่วนผสมช็อคโกแลตกับเนย ตีให้เข้ากันอีกครั้ง ตามด้วยกลิ่นวานิลลา ตีต่อสักพัก เพื่อให้ได้มาซึ่งบราวนี่หน้าฟิล์มสุดแสนอร่อย ฉ่ำๆ 

ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ในส่วนของพิมพ์ในการทำ บราวนี่หน้าฟิล์มไม่ใช้เตาอบ 

บราวนี่หน้าฟิล์ม

สำหรับบางรายที่ไม่มีเตาอบ สามารถใช้สูตรนี้ได้ โดยให้เลือกขนาดพิมพ์ที่ 7×7 นิ้ว นำกระดาษไขมารองก่อน หรือถ้าไม่มีกระดาษไข ให้ทาน้ำมันพืชรอบถาด จากนั้นเทส่วนผสมทั้งหมดลงในพิมพ์

ขั้นตอนที่ 4 ในกรณีใช้เตาอบ ให้ตั้งอุณหภูมิที่ 170 องศาเซลเซียส ใช้เวลาอบประมาณ 25-30 นาที รอกระทั่งครบเวลา แล้วลองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดู ถ้าไม่พบแป้งเหลว ๆ ติดไม้จิ้มฟัน ก็ถือว่าสุกดีแล้ว

หมายเหตุ : ในกรณีไม่ใช้เตาอบ แต่เปลี่ยนมาเป็นหม้อหุงข้าว การหุงส่วนผสมทั้งหมดที่อยู่ในพิมพ์ ต้องหุงถึง 2 รอบ โดยใช้เวลาทั้งหมดรวมกัน 1.10 ชั่วโมง ถึงจะสำเร็จ ได้บราวนี่อร่อย ๆ มารับประทานไม่แพ้เตาอบ

ขั้นตอนที่ 5 นำออกจากเตาอบ หั่นเป็นชิ้น ๆ จะรับประทานเองหรือจะขายราคาตั้งตามกลไกตลาดมาจำหน่ายได้เลย

บราวนี่หน้าฟิล์ม

จะเห็นได้ว่าการทำขนมบราวนี่นั้นแทบจะไม่มีความยุ่งยากใด ๆ เลย แม้กระทั่ง ไม่มีเตาอบ ก็ยังสามารถนำหม้อหุงข้าวมาทำบราวนี่ได้ อีกทั้งยังอร่อย เหมือน ๆ กัน

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet เว็บพนันออนไลน์ปลอดภัยมั่นใจ 100%