Categories
ขนมไทย

ขนมทับทิมกรอบ ยอดฮิต ทำเองง่าย ได้ความสดใหม่

ขนมทับทิมกรอบ
ขนมทับทิมกรอบ ยอดฮิต ทำเองง่าย ได้ความสดใหม่

ขนมทับทิมกรอบขนมไทยที่นิยมทานคู่กับน้ำแข็งในหน้าร้อน ตัวขนมนั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ สีแดงสดคล้ายเมล็ดทับทิม ต่างจากขนมไทยอื่น ๆ ที่มีในสมัยนั้น คาดว่าอาจจะเพราะเหตุนี้ทำให้ขนมชนิดนี้มีชื่อว่า “ทับทิมกรอบ” โดยเล่าขานกันว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ขนมชนิดนี้มีที่มาจากชาวญวนที่เข้ามาเป็นเชลยศึก มีนางข้าหลวงชาวญวนได้เข้ามารับราชการในห้องเครื่องในวัง และยังหวงสูตรขนมทับทิมกรอบนี้มาก จนถึงขั้นต้องล็อคประตูอย่างแน่นหนาในเวลาที่ทำขนม ทำให้คนในวังอยากได้สูตรขนมชนิดนี้เป็นอย่างมาก จนได้ออกอุบายให้พระวิมาเธอเข้าไปช่วย เพื่อให้ได้สูตรออกมาให้ทั้งคนในวังและนอกวังได้สามารถทำตามกัน และนำมาประยุกต์ดัดแปลงปรับปรุงสูตรจนเป็นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน

ขนมทับทิมกรอบ
ขนมทับทิมกรอบ ยอดฮิต ทำเองง่าย ได้ความสดใหม่

วัตถุดิบสำหรับทำทับทิมกรอบ ขนมไทยหอมหวานชื่นใจ

เชื่อว่าคนไทยทุก ๆ คนรู้จักขนมทับทิมกรอบ และยังมีอีกหลาย ๆ คนที่เคยรับประทานขนมไทยชนิดนี้ และยังเป็นขนมไทยสุดโปรดของหลาย ๆ คนอีกเช่นกัน รวมถึงตัวผู้เขียนเองก็ด้วย เพราะขนมชนิดนี้หวานอร่อยกรุบกรอบ ทานคู่กับน้ำกะทิแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้รับความเย็นชื่นใจจากตัวน้ำแข็งที่ใส่ลงไป อร่อยสมกับเป็นขนมไทยยอดนิยม แต่ทุกคนรู้หรือไม่คะ ว่าขนมทับทิมกรอบที่เราได้ทานกันในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นทับทิมกรอบสำเร็จรูป จึงทำให้อร่อยน้อยกว่าทับทิมกรอบแบบทำสดใหม่ สำหรับใครที่เคยกินขนมทับทิมกรอบทั้งสองแบบนี้ จะสามารถแยกออกเลยว่าแตกต่างกันอย่างไร สำหรับใครที่เคยกินแต่แบบสำเร็จรูปก็สามารถทำทานเองได้นะคะ วัตถุดิบดังนี้เลยค่ะ

  1. กะทิสำเร็จรูป ปริมาณ 400 มล.
  2. น้ำตาลทรายขาว ปริมาณ 120 กรัม
  3. เกลือป่น ปริมาณ 1 ชช.
  4. แห้วปลอกเปลือก ปริมาณ 300 กรัม
  5. แป้งมัน ปริมาณ 500 กรัม
  6. สีผสมอาหารสีแดง ปริมาณ 1/2 ชช. (ชนิดน้ำ)
  7. ใบเตย ปริมาณ 3 ใบ
  8. น้ำเปล่า ปริมาณ 1 ถ้วย
ขนมทับทิมกรอบ
ขนมทับทิมกรอบ ยอดฮิต ทำเองง่าย ได้ความสดใหม่

วิธีทำทับทิมกรอบอร่อยง่าย ๆ แค่ไม่กี่ขั้นตอน

ขนมทับทิมกรอบเป็นขนมที่มีวิธีการทำที่ง่าย ไม่สลับซับซ้อนเหมือนขนมไทยชนิดอื่น โดยมีขั้นตอนการทำเพียงไม่กี่ขั้นตอน ใคร ๆ ก็สามารถทำได้แม้ไม่มีความชำนาญ หรือไม่เคยทำขนมไทยมาก่อนก็สามารถทำได้ แถมยังสนุกอีกด้วย จะนำไปทำรับประทานกันในครอบครัว หรือจะทำขายสร้างรายได้ก็ดีไม่แพ้กัน เพราะเป็นขนมไทยที่ได้รับความนิยมมาก ยิ่งเป็นสูตรที่ทำจากแห้วสด ๆ แล้ว ขอรับรองเลยว่าอร่อยถูกปาก ถูกใจจนต้องขออีกถ้วยกันเลยละค่ะ

  1. นำแห้วที่ปลอกเปลือกแล้วทั้งหมดมาหั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็ก ๆ 
  2. ผสมสีผสมอาหารสีแดงกับน้ำเปล่า ใส่ลงไปในแห้วที่หั่นไว้ ใช้ช้อนคลุกให้แห้วดูดสีเข้าไปจนกลายเป็นสีแดงคล้ายสีทับทิม แล้วแช่ไว้เป็นเวลาประมาณ 10 นาที
  3. มาต่อกันที่ขั้นตอนของการทำน้ำกะทิ ตั้งเตาด้วยไฟอ่อนใส่น้ำกะทิลงไปในหม้อ ตามด้วยใบเตยมัดเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ใส่น้ำตาลทรายขาวและเกลือลงไป คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายและน้ำกะทิเดือดเล็กน้อย แนะนำให้คนตลอดป้องกันน้ำกะทิแตกมัน เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็น
  4. กรองน้ำที่แช่แห้วแล้วใส่ถ้วยแยก ให้เหลือแต่ตัวแห้ว นำแป้งมันเทลงไปในถ้วยตามด้วยแห้วคลุกให้แป้งให้ทั่วติดกับแห้วจนขาวโพลน เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะหากแป้งไม่ทั่วจะทำให้สีที่คลุกไว้ละลายออกมามากในตอนต้ม ทำให้มีสีสันที่ไม่สวยงาม
  5. ใช้ตระแกรงร่อนเศษแป้งส่วนเกินที่ติดอยู่ในแห้วออกเล็กน้อย 
  6. ต้มน้ำให้เดือดและใส่แห้วลงไป ปิดฝาทิ้งไว้จนกว่าแห้วจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และมีสีเข้ม และแป้งใส ใช้กระชอนตักขึ้นมาใส่น้ำเย็นจัดเพื่อให้เซตตัวและกรอบมากยิ่งขึ้น
  7. ตักใส่น้ำกะทิที่เราเตรียมไว้ สำหรับใครชอบทานเย็น ๆ ก็สามารถใส่น้ำแข็งเพิ่มได้นะคะ
Categories
เบเกอรี่

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน เบเกอรี่สุดฮิต ผสมผสานขนมไทยและเบเกอรี่

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน
เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน เบเกอรี่สุดฮิต ผสมผสานขนมไทยและเบเกอรี่

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน เป็นเบเกอรี่ที่มีผู้คิดค้นขึ้นมาในต้นปี 2561 โดยคุณ จิดาภา เลิศสันทนะ เจ้าของร้านน้อยเบเกอรี่ ในจังหวัดสมุทรสาคร ได้นำขนมไทยอย่างฝอยทองมาประยุกต์ใช้แต่งหน้าเบเกอรี่ จนได้รับความนิยมและเกิดเป็นกระแสแชร์กันกระหน่ำโซเชียล เพราะรูปร่างหน้าตาของเค้กที่น่ารับประทาน จนหลาย ๆ คนอดใจไม่ไหวต้องสั่งจองล่วงหน้าหลายวันเลยทีเดียว ทำให้หลาย ๆ ร้านนำมาทำตามและขายกันมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาเป็นเค้กฝอยทองหลายไส้หลายรสชาติ เช่น ลำไย สตรอว์เบอรี่ บูลเบอร์รี่ เชอร์รี่ ฯลฯ อีกทั้งยังมีฝอยทองใบเตยเอาใจคนชอบกลิ่นหอม ๆ ของใบเตยอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างขนมไทยและเบเกอรี่เลยทีเดียว

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน
เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน เบเกอรี่สุดฮิต ผสมผสานขนมไทยและเบเกอรี่

วัตถุดิบในการทำเค้กฝอยทองลาวา

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อนนั้นมีรสชาติหวานหอม เนื้อเค้กนุ่มละมุน วิปปิ้งครีมเข้ากันได้ดีกับฝอยทองนิ่ม ๆ เนื้อมะพร้าวหอม ๆ เคี้ยวกรุบกรุบสู้ฟัน รสชาติหวานมัน บวกกับสีสันที่สวยงาม ทำให้หลายคนที่ได้ลองนั้นถึงกับฟินติดใจจนลืมกลัวน้ำหนักเพิ่มกันไปเลย แต่กับบางคนที่เคยทานอาจจะบอกว่ารสชาตินั้นหวานเลี่ยนจนเกินไป จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถทำได้เองและสามารถปรับสูตรเองได้ตามใจชอบ ? ในวันนี้เราจึงมีสูตรดี ๆ มาฝากให้ได้ทำตามกัน สำหรับคนที่อยากลองทาน หรือคนที่อยากทำเบเกอรี่สุดฮิตนี้ด้วยตนเอง ไปดูวัตถุดิบของเจ้าเค้กยอดนิยมกันเลยดีกว่าค่ะ เราขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็น 4 ส่วนนะคะ

วัตถุดิบส่วนผสมของไข่แดง

ไข่แดง 4 ฟอง , น้ำตาลทรายขาว 45 กรัม , น้ำหรือน้ำมะพร้าวอ่อน 80 กรัม , น้ำมันพืช 50 กรัม , แป้งเค้ก 100 กรัม , ผงฟู 1 ช้อนชา , เกลือป่นเล็กน้อย

วัตถุดิบส่วนผสมของไข่ขาว

ไข่ขาว 4 ฟอง , ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา , น้ำตาลทราย 50 กรัม

วัตถุดิบส่วนผสมของซอสมะพร้าวอ่อน

น้ำมะพร้าวอ่อน 160 กรัม , กะทิ 150 กรัม , เนื้อมะพร้าวอ่อน 100 กรัม , น้ำตาลทราย 60 กรัม , แป้งกวนไส้ 30 กรัม , เนยเค็ม 30 กรัม , เกลือ 1/4 ช้อนชา

วัตถุดิบส่วนผสมสำหรับแต่งหน้าเค้ก

วิปปิ้งครีม 250 กรัม , น้ำตาลไอซิ่ง 35 กรัม , ฝอยทองสำหรับแต่งหน้าเค้ก 

เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน
เค้กฝอยทองลาวามะพร้าวอ่อน เบเกอรี่สุดฮิต ผสมผสานขนมไทยและเบเกอรี่

วิธีการทำเบเกอรี่ฝอยทอง อร่อยง่าย ๆ ทานได้ทั้งครอบครัว

  1. นำแป้งและผงฟูมาร่อนให้เข้ากันแล้วพักไว้ หลังจากนั้นนำไข่แดง น้ำตาลทราย เกลือ น้ำมะพร้าว ใส่ลงไปในอีกถ้วยแล้วคนให้เข้ากันด้วยที่ตีไข่ และใส่แป้งที่ร่อนไว้ลงไปคนจนไม่เห็นเม็ดแป้ง ตามด้วยน้ำมันพืชลงไปคนอีกครั้ง เมื่อเข้ากันแล้วให้พักไว้สักครู่
  2. นำไข่ขาว ครีมออฟทาร์ทา ลงไปใส่ในเครื่องผสมอาหาร ระหว่างที่เครื่องตีอยู่นั้น ให้ใส่น้ำตาลลงไปด้วย ตีจนตั้งยอดแข็งแล้วใส่ส่วนผสมที่พักไว้ลงไปผสมกันโดยใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปเทใส่พิมพ์เค้ก (ทาไขมันแล้ววางด้วยกระดาษไข) จากนั้นคนเล็กน้อยแล้วนำเข้าเตาอบ โดยใช้ไฟ 190 องศา เป็นเวลา 30 นาที เสร็จให้ยกออกจากเตามาคว่ำไว้ให้เย็น อย่าลืมลอกกระดาษไขออกนะคะ
  3. ใส่กะทิ น้ำมะพร้าว น้ำตาล เกลือ แป้งกวนไส้ ใส่หม้อคนให้เข้ากันแล้วเปิดเตาด้วยไฟอ่อน คนจนกว่าซอสจะหนืด เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปและปิดไฟ ตามด้วยเนยสดเพื่อให้ซอสเงา
  4. ใส่วิปปิ้งครีม กะทิ และน้ำตาลไอซิ่งลงไปในเครื่องผสมแล้วตีให้ขึ้นฟู
  5. มาถึงขั้นตอนการแต่งหน้าเค้ก โดยเริ่มจากการเจาะตรงกลางของเค้กและทาวิปปิ้งครีมที่ตัวเค้ก แล้วโปะด้วยฝอยทองให้กลบวิปปิ้งครีม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สามารถยกเสิร์ฟพร้อมซอสมะพร้าวอ่อนที่เตรียมไว้ได้เลย


เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสูตรเบเกอรี่ที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ ก่อนจากกันขอแนะนำสักนิดว่าหากใครจะรับประทานเลยก็ราดซอสใส่ตรงกลางได้เลยค่ะ แต่ใครที่ทำเก็บไว้ขอแนะนำให้แยกซอสนะคะ เพื่อความอร่อยของขนมฝอยทองลาวาเบเกอรี่สุดฮิตที่ครองใจใครหลาย ๆ คน

Categories
ขนมไทย

ขนมเทียน ที่มาของความอร่อยเหนียวนุ่มสู้ฟัน

ขนมเทียน
ขนมเทียน ที่มาของความอร่อยเหนียวนุ่มสู้ฟัน

สวัสดีค่ะคนรักขนมไทยทุกคน วันนี้เราก็ได้นำขนมไทยมาแนะนำให้ได้รู้จักกันอีกแล้ว นั่นก็คือ ขนมเทียน หรือขนมนมสาว ขนมไทยรูปทรงสามเหลี่ยม ห่อด้วยใบตองสวยงาม นอกจากสองชื่อที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ขนมเทียนยังถูกเรียกชื่อแตกต่างกันตามภูมิภาคของประเทศไทยอีกด้วยค่ะ เช่น ภาคอีสาน จะเรียกว่า ขนมหมด , ภาคเหนือเรียกว่า ขนมจ๊อก และภาคกลางเรียกว่า ขนมนมสาวค่ะ แต่ภาคที่นิยมทำขนมไทยชนิดนี้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นภาคอีสาน ยิ่งงานบุญ หรือเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานออกพรรษา ยิ่งเห็นได้มากในภูมิภาคนั้นค่ะ 

ในอดีตนั้นขนมเทียนจะมีเพียงไส้มะพร้าว และถั่วเขียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการดัดแปลงสูตร และทำไส้ออกมามากมายให้เราได้รับประทานกัน ทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน รวมถึงการเพิ่มเติมสีสันลงไปก็ยิ่งทำให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น โดยเนื้อสัมผัสของขนมไทยชนิดนี้จะมีความเหนียวนุ่มสู้ฟัน เข้ากันได้ดีกับไส้ที่สอดใส่เข้ามาเพิ่มรสชาติ หากเป็นไส้หวานด้วยแล้วจะกรุบกรอบมะพร้าวด้วย ผสานกับกลิ่นหอม ๆ ของใบตองที่เราจะรู้สึกได้ในระหว่างเคี้ยว ส่วนตัวเคยมีโอกาสได้ทานแล้วติดใจยกให้เป็นขนมไทยอันดับหนึ่งเลยค่ะ ทานง่าย อร่อย เคี้ยวเพลินสุด ๆ 

ขนมเทียน
ขนมเทียน ที่มาของความอร่อยเหนียวนุ่มสู้ฟัน

วัตถุดิบในการทำขนมเทียน ขนมไหว้เจ้าของจีน

หากใครที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนจะรู้ว่าขนมเทียนนั้นนอกจากจะได้รับความนิยมในประเพณีของไทยแล้ว ยังได้รับความนิยมของคนจีนด้วย เพราะในวันตรุษจีนนั้นจะมีการทำขนมเทียนกันอย่างมากมาย เพื่อนำมาเซ่นไหว้เทพเจ้า ซึ่งก่อนที่เราจะไปดูขั้นตอนการทำนั้นเราก็ต้องเตรียมวัตถุดิบของเราให้พร้อมก่อน ซึ่งวัตถุดิบที่เราจะใช้ในการทำ ขอแบ่งเป็นสองส่วน ดังนี้

วัตถุดิบในการทำแป้ง

  1. แป้งข้าวเหนียว 300 กรัม
  2. น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
  3. กะทิ 200 มิลลิลิตร
  4. ใบตอง

วัตถุดิบในการทำไส้หวาน

  1. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลมะพร้าว 150 กรัม
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง 
ขนมเทียน
ขนมเทียน ที่มาของความอร่อยเหนียวนุ่มสู้ฟัน

ขั้นตอนวิธีการทำขนมไทย ทำง่าย มีประโยชน์

ขนมเทียนถือเป็นขนมมงคลที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกายของผู้ที่ได้รับประทาน แถมยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย เช่น กะทิ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดคอเลสเตอรอล , เนื้อมะพร้าว ช่วยลดความดัน อุดมไปด้วยสารอาหาร ที่เรากล่าวมานี้เป็นเพียงประโยชน์บางส่วนเท่านั้น เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย อีกทั้งยังสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานอีกด้วย ใครอยากทำขนมไทยแสนอร่อยอุดมไปด้วยประโยชน์กันแล้ว ไปดูวิธีทำกันเลยค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกทำไส้ของขนม โดยการตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำเปล่า น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น ใช้ไม้พายเคี่ยวให้เข้ากัน เมื่อละลายดีแล้วให้ใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอยลงไปเคี่ยวต่อจนมีเนื้อเหนียวหนืดให้พอปั้นได้แล้วนำออกมาพักไว้ให้อุ่น
  2. ทำแป้งขนมเทียน โดยใส่น้ำตาลปี๊บ และหัวกะทิ ½ ของขนาดที่เตรียมไว้ ทำการนวดให้น้ำตาลละลาย (อย่าลืมล้างมือให้สะอาดนะคะ) พอน้ำตาลละลายแล้วให้ใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปนวด และทยอยเติมกะทิลงไปในขณะนวด เพื่อไม่ให้แป้งเหลวจนเกินไป 
  3. นำไส้ที่พักไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดประมาณ 1 นิ้ว หรือขนาดพอดีคำ 
  4. นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าลูกปิงปอง ใช้มือแผ่ออกให้แบนแล้วใส่ไส้ลงไปตรงกลาง ห่อไส้ให้มิด และห่อเป็นก้อนกลมอีกครั้ง พักไว้ในจานที่ใส่น้ำมันไว้เล็กน้อย เพื่อไม่ให้ขนมของเราติดกัน
  5. เตรียมใบตองสำหรับห่อขนมเทียน ใบด้านในเป็นวงกลมใบเล็ก ส่วนด้านนอกเป็นวงรีขนาดใหญ่ วางประกบกันให้ด้านนวลหันหน้าเข้าหากัน พับให้เป็นกรวย แล้วใส่ขนมที่เตรียมไว้ลงไปตรงกลาง พับเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม สุดท้ายพับปลายเก็บม้วนเข้าไปด้านใน ทำซ้ำกับส่วนผสมที่เหลือ
  6. ตั้งหม้อนึ่งใส่น้ำรอให้เดือด นำขนมเทียนที่เตรียวไว้ลงไปนึ่งด้วยไฟกลางเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วนำออกมาพักให้เย็น จัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ
Categories
เบเกอรี่

ขนมปังเซียบัตต้า ทำง่าย ไม่ต้องนวด

ขนมปังเซียบัตต้า
ขนมปังเซียบัตต้า ทำง่าย ไม่ต้องนวด

ขนมปัง ถือว่าเป็นเบเกอรี่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ยุคหิน โดยมีเรื่องเล่ากันว่าชาวสวิสเริ่มจากการนำเมล็ดข้าวสาลีมาบด โดยใช้ครกที่ทำจากหินบดจนละเอียด จากนั้นนำไปผสมกับน้ำ และเทลงบนหินร้อน ๆ จนสุกขึ้นฟู เป็นที่มาของขนมปัง โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่บ้างก็เล่าว่าเกิดขึ้นที่แรกในสมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งก็มีอยู่หลายเรื่องเล่าถึงต้นกำเนิด จนกระทั่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยที่นิยมนำมารับประทานกับแยม กาแฟ เป็นอาหารในยามเช้า และในตอนนี้เราก็ขอแนะนำขนมปังสไตล์อิตาเลี่ยน “ขนมปังเซียบัตต้า”

ขนมปังเซียบัตต้า
ขนมปังเซียบัตต้า ทำง่าย ไม่ต้องนวด

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปังเซียบัตต้า ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน

ก่อนจะไปเรียนรู้วัตถุดิบของเบเกอรี่อย่างขนมปัง เรามาทำความรู้จักกับขนมปังเซียบัตต้ากันก่อนดีกว่านะคะ โดยเจ้าขนมปังชิ้นนี้มีที่มาจากประเทศอิตาเลี่ยน ซึ่งชื่อนี้มีความหมายว่า รองเท้า จากลักษณะที่แบน และยาว คล้ายกับรองเท้าแตะ เนื้อสัมผัสกรอบนอก และนุ่มหนึบด้านใน ทานกับอะไรก็อร่อยเข้ากันเป็นอย่างดี จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก ส่วนของวัตถุดิบก็มีดังนี้

  1. แป้งขนมปัง 300 กรัม
  2. ยีสต์แห้ง 1/2 ช้อนชา
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  4. น้ำอุ่น 265 มิลลิลิตร
  5. น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
ขนมปังเซียบัตต้า
ขนมปังเซียบัตต้า ทำง่าย ไม่ต้องนวด

ขั้นตอนวิธีการทำขนมปังไม่ต้องนวด

ขนมปังเซียบัตต้าเป็นเบเกอรี่ที่ตอบโจทย์คนที่อยากทำขนมปัง แต่ขี้เกียจนวดให้เมื่อยแขน เพราะขั้นตอนวิธีการทำนั้นไม่ต้องเปลืองแรงนวดเลยค่ะ เพียงแค่เราอาศัยการยืด และพับแป้ง บวกกับใช้เวลารอพักแป้งเล็กน้อย ก็จะได้ขนมปังแสนอร่อยที่ไม่แพ้ขนมปังที่นวดนาน ๆ เลย 

  1. ขั้นตอนแรกใส่แป้งทำขนมปัง และเกลือลงไปในชามผสมแล้วใช้ตะกร้อมือคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้
  2. เตรียมกล่องสี่เหลี่ยมที่มีฝาปิด จากนั้นใส่น้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง และยีสต์ลงไป ทำการคนให้ยีสต์ละลาย ตามด้วยน้ำมันมะกอกคนต่อ เสร็จแล้วใส่ส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ลงไปคนต่อ จนกว่าจะหมดผงแป้งแล้วปิดฝาพักไว้ 45 นาที
  3. เมื่อพักแป้งจนครบเวลาแล้ว เตรียมถ้วยใส่น้ำแล้วใช้มือจุ่มน้ำเล็กน้อย จากนั้นทำการยืดแป้ง และพับแป้งจากบนมาล่าง ซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย หรือทั้งสี่ด้าน จากนั้นปิดฝาแล้วพักไว้ 30 นาที ลำทำการยืด และพักแป้งอีกครั้ง โดยใช้มือชุบน้ำเช่นเดิม และพักไว้ต่ออีก 30 นาที เมื่อครบเวลาแล้วก็ยืด และพับแป้งเหมือนเดิมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปิดฝาพักไว้ 40 นาที
  4. ขั้นตอนต่อมาจะเป็นขั้นตอนการขึ้นรูป เริ่มจากการโรยแป้งทำขนมปังลงบนตัวแป้ง แล้วใช้แผ่นกระดาษรองอบรองโต๊ะก่อนนำแป้งออกมาวาง และโรยแป้งทำขนมปังอีกด้าน จากนั้นตัดแบ่งแป้งออกเป็น 4 ก้อนเท่า ๆ กัน สำหรับทำขนมปัง 4 ชิ้น โดยกดปิดตรงรอยตัดของแป้ง คลุมด้วยผ้าขาวบางเป็นเวลา 30 นาที 
  5. ระหว่างรอพักแป้งให้วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 250 องศา เป็นเวลา 30 นาที เท่าเวลาพักแป้ง เมื่อครบเวลาแล้วให้นำแป้งที่พักไว้บนกระดาษรองอบไปวางไว้บนถาดรองอบ และนำเข้าเตาอบ โดยใช้เวลาอบประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าจะสุดเหลือง เสร็จแล้วนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้นจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ




Categories
ขนมไทย

ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ ขนมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้
ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ ขนมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

ขนมไทยมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สูงมาก เราสามารถจำแนกพวกมันออกเป็นแต่ละชนิดได้ทันทีเพียงแค่การมองเห็นเท่านั้น มีขนมอยู่หนึ่งชนิดที่เอกลักษณ์ของมันโดดเด่นไม่เหมือนใคร แม้แต่ในขนมไทยด้วยกันเองก็ตาม นั่นก็คือขนมเปียกปูนนั่นเอง แต่ขนมเปียกปูนในอดีตที่เราเคยเห็นกันในสมัยเด็กนั้นหน้าตาไม่น่ากินเท่าไรนัก เพราะลักษณะของมันจะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมสีดำที่ไม่อาจคาดเดารสชาติได้จากการดูเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการปรับสูตรให้มันดูมีความน่ากินและมีความสวยงามมากยิ่งขึ้นจนกลายมาเป็นขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ โดยสูตรที่เราจะมาแนะนำในวันนี้จะปรับให้มีวัตถุดิบในการทำน้อยลงเพื่อความสะดวกในการทำ และเป็นสูตรที่ช่วยให้ขนมมีความเหนียวนุ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้
ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ ขนมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

เปียกปูน ขนมพื้นบ้านทำง่ายด้วยวัตถุดิบราคาไม่แพง

ด้วยความที่เป็นขนมพื้นบ้านทำให้ถึงแม้ว่าขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้จะเป็นขนมไทยแต่มันก็ใช้วัตถุดิบที่มีราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย ประกอบกับเป็นสูตรที่ได้มีการปรับปรุงให้ใช้วัตถุดิบในการทำน้อยลงเพื่อความสะดวกมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เราไม่จำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบมากมายสำหรับการทำขนมชนิดนี้ โดยเหลือเพียงแค่ 9 อย่างเท่านั้นประกอบไปด้วย

  1. แป้งข้าวเจ้า เป็นแป้งหลักของขนมชนิดนี้ช่วยให้ขนมมีความแข็งตัวและสามารถขึ้นรูปเป็นดอกไม้ได้ ใช้ในปริมาณ 120 กรัม
  2. แป้งท้าวยายม่อม แป้งที่ปรากฏตัวตามขนมไทยหลากหลายชนิด เป็นวัตถุดิบเสริมดังนั้นจึงใช้เพียงแค่ 20 กรัมเท่านั้น
  3. แป้งข้าวโพด เป็นแป้งที่ช่วยให้ขนมมีความนุ่มและยืดหยุ่นสูง เวลารับประทานเข้าไปแล้วก็จะมีความรู้สึกนุ่มลื่นในปาก ใช้เพียงแค่ 20 กรัมเท่านั้น
  4. น้ำตาลมะพร้าว 180 กรัม เป็นน้ำตาลที่มีรสชาติหวานเฉพาะตัว เราจะได้กลิ่นหอมมะพร้าวจากน้ำตาลชนิดนี้ แต่ด้วยความที่สีของมันจะเป็นสีออกน้ำตาลทำให้ขนมที่ออกมานั้นสีอาจจะผิดเพี้ยนไป สามารถแก้ได้ด้วยการใช้สีผสมอาหาร
  5.  น้ำตาลทราย 80 กรัม 
  6. น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง หากหาซื้อไม่ได้สามารถใช้ปูนแดงที่เอาไว้กินกับหมากแช่น้ำทิ้งไว้จนตกตะกอน นำเฉพาะน้ำด้านบนที่มีความใสมาใช้ จะช่วยให้ขนมของเราสามารถคงรูปได้ดี
  7. น้ำใบเตย 1 ส่วน 2 ถ้วยตวง วิธีการทำคือนำเอาน้ำสะอาดต้มจนเดือดจากนั้นให้เทใบเตยลงไปต้ม เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำใบเตยเรียบร้อยแล้ว 
  8. กะทิ 1 ถ้วยตวง สามารถใช้ได้ทั้งกะทิคั้นสดและกะทิกล่องสำเร็จรูป
  9. สีผสมอาหาร สามารถเลือกว่าจะใช้หรือไม่ก็ได้ 
ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้
ขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ ขนมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

ขั้นตอนการทำขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ ขนมไทยที่ทั้งอร่อยและทำสนุก

ต้องยอมรับว่าที่หลายคนหันมาชื่นชอบการทำขนมไทยเพราะด้วยกระบวนการที่เต็มไปด้วยความประณีตและต้องอาศัยความใจเย็น เป็นสิ่งที่ทำให้การทำขนมมีความสนุกสนานมากขึ้น และยิ่งหากเป็นขนมที่ต้องใช้ความสวยงามอย่างขนมเปียกปูนใบเตยดอกไม้ จะยิ่งทำให้ความสนุกในการทำเพิ่มมากขึ้นไปอีก ขั้นตอนการทำขนมไทยชนิดนี้จะประกอบไปด้วย

  1. นำแป้งทั้ง 3 ชนิดมาร่อนลงไปในชามผสมให้เนื้อละเอียด จากนั้นนำน้ำตาลทรายผสมเข้าไปพร้อมกับน้ำตาลมะพร้าว 
  2. เทน้ำปูนใสลงไปในชามผสมทีน้อย ค่อย ๆ ใช้ช้อนคนผสมกันจนน้ำตาลละลายเข้ากันดี เทน้ำปูนใสลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด 
  3. เทน้ำกะทิและใบเตยลงไปในชามผสม ในขั้นตอนนี้แป้งของเราจะละลายหายไปเป็นของเหลวเนื้อเดียวกัน หากต้องการใช้สีผสมอาหารสามารถหยดได้ในขั้นตอนนี้ หยดประมาณ 1-2 หยดก็เพียงพอ ไม่เช่นนั้นสีของขนมจะออกมาสดจนเกินไป
  4. ทำการกรองแป้งอีกครั้งเพื่อให้แป้งที่ได้มีความละเอียดมากที่สุด
  5. นำหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อนแล้วเทส่วนผสมลงไปในหม้อ กวนอย่างเบามือจนแป้งเริ่มเกาะตัวกันเป็นก้อน ห้ามหยุดคนเด็ดขาดไม่เช่นนั้นขนมจะไหม้ได้ เมื่อคนไปเรื่อย ๆ จะพบว่าขนมนั้นจะใสมากยิ่งขึ้น หมายความว่าขนมสุกเรียบร้อยแล้ว 
  6. ตักขนมที่เย็นแล้วใส่ลงไปในถุงบีบแล้วทำการบีบออกมาให้เป็นรูปดอกไม้ ทิ้งขนมเอาไว้เป็นเวลา 10 นาทีให้เชตตัว จากนั้นขนมก็จะอยู่ตัวเป็นรูปดอกไม้พร้อมรับประทาน
Categories
เบเกอรี่

แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล ขนมหวานผสมผลไม้ กรุบกรอบ

แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล
แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล ขนมหวานผสมผลไม้ กรุบกรอบ

เบเกอรี่ที่เราได้หยิบยกมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก และลองทำตามกันในวันนี้มีชื่อว่า “แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล” หรือ Apple Crumble ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองผู้ดีอย่างประเทศอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ 1924 โดยมีลักษณะคล้ายกับคุกกี้ที่ถูกบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายกับเบเกอรี่ยอดนิยมอย่างพาย และทาร์ต นิยมนำมาทานคู่กับเบเกอรี่ชิ้นอื่น ๆ ไอศกรีม หรือชา กาแฟ นม เป็นต้น ซึ่งถือว่าเข้ากันเป็นอย่างดี และได้รับความนิยมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก

แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล
แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล ขนมหวานผสมผลไม้ กรุบกรอบ

วัตถุดิบในการทำแอปเปิ้ลครัมเบิ้ล เปรี้ยวหวาน อร่อยโดนใจ

สำหรับใครที่ชอบรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวหวานอย่างแอปเปิ้ล เชื่อว่าต้องหลงรักเบเกอรี่แสนอร่อยอย่างแอปเปิ้ลครัมเบิ้ลกันอย่างแน่นอน ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยว กรุบกรอบ และนุ่มนิ่มในชิ้นเดียว แถมวัตถุดิบที่ใช้ในการทำก็มีเพียงไม่กี่อย่าง โดยวัตถุดิบหลักของเราในวันนี้ก็คือแอปเปิ้ลนั่นเองค่ะ ส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำเราขอแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจง่ายนะคะ

วัตถุดิบในการทำไส้ครัมเบิ้ล

  1. เนื้อแอปเปิ้ลหั่นชิ้นเล็ก (แช่น้ำเปล่าผสมเกลือ) 500 กรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง 130 กรัม
  3. น้ำตาลทรายขาว 20 กรัม

ส่วนผสมแป้งครัมเบิ้ล

  1. แป้งอเนกประสงค์ 200 กรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง 30 กรัม
  3. น้ำตาลทรายขาว 20 กรัม
  4. เนยสดรสเค็ม 100 กรัม
แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล
แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล ขนมหวานผสมผลไม้ กรุบกรอบ

ขั้นตอนวิธีการทำเบเกอรี่ผลไม้ ทำง่ายเพียง 4 ขั้นตอน

สูตรวิธีทำแอปเปิ้ลครัมเบิ้ลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียง 4 ขั้นตอนเท่านั้น มือใหม่เองก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ อีกทั้งยังสามารถนำไปปรับสูตรให้เป็นเบเกอรี่เค้กมอบให้คนสำคัญในวันพิเศษ หรือแม้แต่ปรับใช้ผลไม้อื่น ๆ นอกเหนือจากแอปเปิ้ลก็อร่อยไม่แพ้กัน ทำทานเองก็ได้ ทำขายก็รายได้ดีค่ะ ดังนั้น เราไปดูวิธีทำของเรากันเลย

  1. ขั้นตอนแรกนี้ให้นำเนื้อแอปเปิ้ลมาผสมกับน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายขาว ทำการคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปใส่ในถาดรองอบที่รองด้วยกระดาษรองอบ ใช้ไม้พายเกลี่ยหน้าขนมเล็กน้อยให้เสมอกันนะคะ
  2. อบส่วนผสมด้วยอุณหภูมิ 150 องศา เป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วนำออกจากเตามาพักไว้
  3. ผสมแป้งอเนกประสงค์ น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายขาวตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ ใส่เนยสดรสเค็มลงไปกวนให้เข้ากัน 
  4. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 3 มาโรยใส่หน้าแอปเปิ้ลครัมเบิ้ลให้ทั่ว และเกลี่ยให้สม่ำเสมอกัน จากนั้นนำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศาเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วนำไปแช่เย็นเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ครบเวลาแล้วให้นำออกมาตัดจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ



Categories
ขนมไทย

ขนมมัศกอด ขนมลูกผสมไทยเทศ

ขนมมัศกอด
ขนมมัศกอด ขนมลูกผสมไทยเทศ

“มัศกอดกอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนี้ยังแคลง” พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้กล่าวถึงขนมไทยชนิดนี้เอาไว้ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาว – หวาน เป็นหลักฐานให้เราได้รู้ว่าขนมมัศกอดนี้มีขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งหลายคนเมื่อเห็นหน้าตาแล้วจะนึกถึงคัพเค้ก เบเกอรี่ที่เราคุ้นเคย ซึ่งขนมไทยชนิดนี้ก็คาดว่าเป็นลูกผสมระหว่างไทยกับเปอร์เซีย เพราะชื่อของขนมไทยชนิดนี้มาจากชื่อเมืองมัสกัตในประเทศเปอร์เซีย หรือก็คือประเทศอิหร่านในปัจจุบันนั่นเองค่ะ ซึ่งถูกจัดอยู่ในขนมไทยประเภทกวน

เราเชื่อว่ายังมีหลายคนที่ไม่รู้จักกับขนมไทยอย่างขนมมัศกอด เพราะหาทานได้ยากมากในปัจจุบัน ไม่ค่อยเห็นใครนำมาขายกันเสียเท่าไหร่ ในวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับขนมไทยชนิดนี้กันให้มากขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการเรียนรู้สูตรวิธีการทำ เพื่อนำไปทำทานกันที่บ้านกับกาแฟ นม หรือชาสักแก้วก็อร่อยเข้ากันมาก ๆ แนะนำเลยนะคะกับเมนูขนมไทยโบราณที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้

ขนมมัศกอด
ขนมมัศกอด ขนมลูกผสมไทยเทศ

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมมัศกอด

ขนมมัศกอดนั้นเป็นขนมไทยที่มีรูปร่างคล้ายกับเบเกอรี่คัพเค้ก ทั้งยังใช้การอบที่เหมือนกับเบเกอรี่อีกด้วย จนบางคนถึงกับตั้งฉายาว่าคัพเค้กสไตล์ไทยเลยทีเดียว แต่เมื่อตอนที่ยังไม่ถูกแต่งหน้าก็จะมีความคล้ายคลึงกับขนมไข่ เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ผสานกับความกรุบกรอบของเนื้อมะพร้าวที่นำมาแต่งหน้าขนม เมื่อได้รับประทานแล้วจะรู้สึกถึงรสชาติหวานหอม ฟิน ติดปากสุด ๆ หากใครอยากทานขนมไทยลูกครึ่งกันแล้ว เราไปเตรียมวัตถุดิบในการทำกันก่อนเลยค่ะ โดยในวันนี้เราจะขอแบ่งออกเป็นสองส่วนนะคะ

ส่วนผสมตัวขนม

  1. แป้งเค้ก 90 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. ไข่ไก่ เบอร์ 1 2 ฟอง
  4. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
  6. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

ส่วนผสมสำหรับแต่งหน้าขนม

  1. ไข่ขาวเบอร์ 1 2 ฟอง
  2. น้ำตาลทรายป่น 1/2 ถ้วยตวง
  3. น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
  4. สีผสมอาหารตามชอบ
  5. กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา
  6. เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย
ขนมมัศกอด
ขนมมัศกอด ขนมลูกผสมไทยเทศ

ขั้นตอนวิธีการทำขนมไทยหน้าตาน่าทาน

หากใครเคยทำขนมไข่ ขนมฝรั่งกุฏีจีน หรือคัพเค้กเบเกอรี่มาก่อนแล้วจะสามารถทำขนมมัศกอดได้อย่างง่ายดาย เพราะขั้นตอนวิธีการทำนั้นจะคล้ายคลึงกัน และสำหรับใครที่ยังไม่เคยลองทำขนมเหล่านี้เลยก็สามารถทำได้นะคะ แม้ว่าขั้นตอนนั้นจะซับซ้อนไปเสียหน่อย แต่รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถของเราแน่นอนค่ะ เพียงแค่คุณมีความตั้งใจในการทำ เพียงเท่านั้นคุณก็จะได้เมนูขนมไทยหน้าตาน่ารัก แถมยังอร่อย ไปรับประทานกันแล้ว มาอัพสกิลการทำขนมหวานไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ น้ำตาลทรายขาวลงไปในชามผสม ตีให้เข้ากันจนขึ้นฟูด้วยเครื่องผสมอาหาร โดยใช้สปีดสูงสุด จากนั้นลดความเร็วลงแล้วทยอยใส่แป้งเค้กลงไปในระหว่างที่เครื่องทำงาน ตามด้วยการใส่กลิ่นวานิลลาเล็กน้อย เนื้อแป้งจะมีความนุ่มเนียน
  2. เตรียมถาดรองอบ พิมพ์สำหรับอบ และพิมพ์กระดาษ จากนั้นให้หยอดส่วนผสมของแป้งในขั้นตอนที่ 1 ลงไป ในปริมาณ ¼ ของถ้วย เพื่อเว้นที่ว่างให้ขนมขึ้นฟู
  3. วอร์มเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลม จากนั้นนำขนมเข้าไปอบด้วยไฟเท่ากัน เป็นเวลาประมาณ 15 – 20 นาที พักไว้ให้เย็น แล้วนำออกจากพิมพ์สำหรับอบ
  4. ทำครีมสำหรับแต่งหน้าขนม โดยการใส่ไข่ขาวลงไปในชามผสม ตีด้วยเครื่องผสมสปีดสูงสุดจนตั้งยอด ใส่น้ำตาลทรายป่นลงไปตีต่อด้วยความเร็วปานกลาง จากนั้นใส่น้ำมะนาว เพื่อดับกลิ่นคาวของไข่ เสร็จแล้วให้นำไปใส่ถุงบีบ
  5. นำสีผสมอาหารตามมาหยดใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน หากใครอยากใช้หลายสีก็ให้แบ่งเนื้อมะพร้าวตามสีที่ต้องการใช้เลยค่ะ
  6. บีบครีมแต่งหน้าขนมให้สวยงาม โรยหน้าด้วยมะพร้าว จากนั้นนำไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม แต่ใช้แค่ไฟบน เพื่อให้เนื้อมะพร้าวของเราเซตตัว เสร็จแล้วนำออกมาจัดเสิร์ฟได้เลย
Categories
เบเกอรี่

ช็อกโกแลตลาวา พร้อมวิธีการทำง่าย ๆ อร่อยได้ไม่เบื่อ

ช็อกโกแลตลาวา
ช็อกโกแลตลาวา พร้อมวิธีการทำง่าย ๆ อร่อยได้ไม่เบื่อ

เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเบเกอรี่ยอดนิยมอย่าง “ช็อกโกแลตลาวา” เพราะแม้แต่ในเซเว่น ร้านเบเกอรี่ หรือแม้แต่คาเฟ่เองก็มีขายกันอย่างมากมาย ลักษณะนั้นจะเป็นขนมเค้กช็อกโกแลตชิ้นจิ๋ว เนื้อนุ่มนิ่ม สอดไส้ด้วยช็อกโกแลตเข้มข้น ที่เมื่อเราตัดเค้กแล้วจะมีช็อกโกแลตไหลเยิ้มออกมา น่ารับประทานมาก ๆ หากใครเป็นคนที่ชอบทานช็อกโกแลตอยู่แล้ว เมนูนี้คงเป็นเมนูเบเกอรี่สุดโปรดของคุณแน่นอน

ช็อกโกแลตลาวา
ช็อกโกแลตลาวา พร้อมวิธีการทำง่าย ๆ อร่อยได้ไม่เบื่อ

วัตถุดิบในการทำช็อกโกแลตลาวา วัตถุดิบน้อย แต่อร่อยมาก

เมื่อเราไปซื้อช็อกโกแลตลาวาจากร้านต่าง ๆ ที่มีขายกันทั่วไป จะเห็นได้ว่าเบเกอรี่ชิ้นนี้จะมีราคาที่สูง แต่รู้หรือไม่คะ ว่าวัตถุดิบในการทำเบเกอรี่ยอดนิยมนั้นมีเพียง 6 อย่างเท่านั้น และแต่ละอย่างก็ราคาไม่แพง และยังหาซื้อได้ง่าย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

  1. Dark Chocolate 110 กรัม
  2. เนยจืด 125 กรัม
  3. แป้งอเนกประสงค์ 30 กรัม
  4. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  5. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง
  6. น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย
  7. เนยสำหรับทาพิมพ์
ช็อกโกแลตลาวา
ช็อกโกแลตลาวา พร้อมวิธีการทำง่าย ๆ อร่อยได้ไม่เบื่อ

ขั้นตอนวิธีทำเค้กชิ้นจิ๋ว ที่ทานแล้วต้องหลงรัก

หากใครเคยรับประทานเค้กช็อกโกแลตลาวากันมาแล้ว ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเค้กที่อร่อยถูกใจมาก ๆ จนต้องยกให้เป็นเบเกอรี่สุดโปรด และซื้อทานซ้ำอีกหลาย ๆ รอบกันเลยทีเดียว แต่จะดีกว่าไหมหากเราสามารถทำเบเกอรี่ชิ้นนี้รับประทานกันเองได้แบบง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน แถมแป้งที่เราผสมไว้แล้วยังไม่อบ ก็สามารถเก็บไว้อบในวันอื่น ๆ ได้อีก 2 – 3 วัน ซึ่งคุ้มค่า และประหยัดแบบสุด ๆ ซึ่งวิธีการทำก็มีดังนี้

  1. ขั้นตอนแรกนี้ให้เราทาเนยลงไปให้ทั่วพิมพ์ และโรยแป้งใส่ลงไปเล็กน้อยให้ทั่ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการอบ 
  2. ละลายช็อกโกแลต โดยการต้มน้ำให้เดือดแล้วนำชามลงไปวางไว้บนหม้อ จากนั้นใส่ดาร์กช็อกโกแลต และเนยจืดลงไปละลายในชาม ใช้ช้อนคนให้ละลายเข้ากัน เมื่อละลายเข้ากันแล้วให้นำมาพักไว้ให้อุ่น
  3. นำไข่ไก่ทั้งหมดลงไปตีให้เข้ากันในชามผสมด้วยตะกร้อมือ หรือเครื่องผสมอาหารให้ขึ้นฟูเล็กน้อย ตามด้วยน้ำตาลทรายขาวลงไปตีต่อให้ละลายเข้ากัน และไม่เป็นเม็ด ต่อด้วยการทยอยใส่ส่วนผสมในขั้นตอนที่สองลงไปในระหว่างตี เมื่อเข้ากันแล้วใส่แป้งอเนกประสงค์ลงไปตีเบา ๆ ให้เข้ากัน
  4. ใส่ส่วนผสมใส่ลงไปในพิมพ์ที่เตรียมไว้ โดยเผื่อที่ด้านบนไว้ให้เนื้อเค้กช็อกโกแลตลาวาของเราฟูขึ้นมาระหว่างอบ และนำเข้าไปอบด้วยอุณหภูมิ 175 องศา เป็นเวลา 10 – 12 นาที 
  5. เมื่ออบขนมเสร็จแล้วให้นำออกจากพิมพ์ จัดใส่จานแล้วแต่งหน้าตามชอบ เสร็จแล้วเสิร์ฟร้อน ๆ ได้เลยค่ะ