Categories
เบเกอรี่

ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน

ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน
ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน

ทิรามิสุเป็นเบเกอรี่ที่เกิดขึ้นในสมัยเรอเนซองส์ เมือง Siana แคว้นทัสคานี ซึ่งชื่อนั้นมีความหมายว่า “Pick me up” เพราะเป็นเค้กที่มีพลังงานเยอะมาก เพราะมีส่วนผสมหลัก ๆ คือ ไข่ไก่ น้ำตาล และคาเฟอีนจากกาแฟในปริมาณที่สูง ทำให้ผู้ที่ได้กินนั้นรู้สึกมีพลังตื่นตัว เล่าต่อกันมาว่าผู้หญิงในราชสำนักของเวนิสนั้นชอบทิรามิสุมาก ๆ หรือจะบอกว่าเป็นขนมเบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยนั้นก็ไม่ผิด เพราะได้มีการทำกันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศอิตาลีเอง และในอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น ในประเทศอเมริกานั้นได้อยู่ในเมนูของร้านอาหารทั่วประเทศ และประเทศไทยของเราเองก็นิยมเช่นกัน เห็นได้จากหลาย ๆ ร้านที่ทำทิรามิสุออกมาขายกันอย่างมากมาย ทั้งราคาเองก็หลากหลายด้วยเช่นกัน ตามคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้

ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน
ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน

วัตถุดิบสำหรับทำทิรามิสุ เบเกอรี่ยอดนิยม

แม้ทิรามิสุนั้นจะเป็นเบเกอรี่สัญชาติอิตาลี แต่วัตถุดิบต่าง ๆ ก็สามารถหาได้ง่ายในประเทศไทย ตามร้านขายอุปกรณ์สำหรับทำเบเกอรี่ หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป อีกทั้งกาแฟที่เป็นส่วนผสมสำคัญนั้น ยังช่วยทำให้ผู้ที่ได้รับประทานตื่นตัวหายง่วงกันเลยทีเดียว แถมยังช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความเครียด และยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย วัตถุดิบอื่นเองก็มีประโยชน์อีกด้วย ทั้งอร่อย ทั้งมีประโยชน์ แต่ขอบอกก่อนนะคะ ว่าไม่เหมาะกับเด็ก ๆ เลย ดูจากส่วนผสมแล้วทุกคนคงพอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร เราไปดูวัตถุดิบกันเลยดีกว่าค่ะ

  1. วิปปิ้งครีม ปริมาณ 360 กรัม
  2. มาสคาโปนชีส ปริมาณ 220 กรัม
  3. น้ำตาลไอซิ่ง ปริมาณ 67 กรัม
  4. กาแฟผง สูตรไม่มีน้ำตาล ปริมาณ 1-2 ซอง
  5. น้ำเปล่า ปริมาณ 120 กรัม
  6. กาแฟผงสูตรผสมน้ำตาล ปริมาณ 1 ซอง
  7. เลดี้ฟิงเกอร์สำหรับทำทิรามิสุ
ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน
ทิรามิสุ เบเกอรี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สไตล์อิตาเลียน

วิธีทำทิรามิสุ เบเกอรี่สุดแสนจะทำง่าย

มาถึงขั้นตอนการทำแล้ว หลายคนอาจจะเคยลองรับประทานกันมาบ้างแล้ว และคิดว่าเป็นทิรามิสุนั้นทำยาก เราจึงจะขอบอกเลยว่าทำง่ายมากเลยค่ะ ทุก ๆ คนสามารถทำกันได้ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย วิธีการทำนั้นก็ไม่ยุ่งยาก มีเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็ได้ทิรามิสุเบเกอรี่แสนอร่อยมารับประทานกันแล้ว ซึ่งเป็นเมนูที่เหมาะมาก ๆ สำหรับวัยทำงานที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่า และคนที่ชอบทานกาแฟ หรือคนที่ไม่ชอบทานกาแฟเป็นน้ำ ๆ ก็สามารถทานเมนูนี้ให้หายง่วงได้เช่นกัน แต่ราคานั้นอาจจะสูงไปเสียหน่อยถ้าต้องซื้อกินบ่อย ๆ วันนี้เราจึงมีสูตรวิธีการทำง่าย ๆ มาฝากกันให้ได้ลองทำตาม รับรองเลยว่าคุณต้องหลงรักจนอยากจะทำทานซ้ำ ๆ อีกทั้งยังเป็นขนมที่เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานอีกด้วย

  1. ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนการทำตัวครีม โดยใส่วิปปิ้งครีมแบบหวานมัน น้ำตาลไอซิ่งสามารถปรับใส่ได้ตามชอบ ใช้เครื่องผสมอาหารตีจนเป็นเนื้อข้น (อย่าพึ่งตีจนตั้งยอดนะคะ เพราะเรายังต้องตีส่วนผสมอีกเยอะ การตีให้ตั้งยอดจะทำให้ส่วนผสมแยกชั้นกันค่ะ) ตามด้วยมาสคาโปนชีสลงไปตีต่อให้เข้ากัน 
  2. นำครีมออกมาแบ่งใส่กาแฟด้วยความเข้มข้นตามชอบ และใช้ไม้พายตีให้เข้ากัน เพื่อให้ครีมของเรามีรสและกลิ่นหอมของกาแฟ
  3. ชงกาแฟผงสูตรผสมน้ำตาลให้เข้ากัน เพื่อเตรียมนำไปชุบเลดี้ฟิงเกอร์
  4. นำเลดี้ฟิงเกอร์ลงไปชุบในกาแฟ เพื่อนำไปใส่ในภาชนะแบบใส 
  5. นำครีมยังไม่ได้ผสมกาแฟใส่ถุงบีบ บีบลงไปในภาชนะที่ใส่เลดี้ฟิ้งเกอร์แล้ว
  6. ใส่เลดี้ฟิงเกอร์ชุบกาแฟอีกรอบในชั้นต่อไปให้สลับกันกับตัวครีม
  7. นำครีมส่วนที่ผสมกาแฟใส่ถุงบีบ และบีบลงไปในชั้นสุดท้ายให้ทั่ว และใช้ไม้พายปาดให้ชั้นบนเนียน ๆ เสมอกัน
  8. โรยผงกาแฟตกแต่งหน้าเล็กน้อยเพื่อความสวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้นเมนูทิรามิสุเบเกอรี่ ยกเสิร์ฟรับประทานได้เลย หรือจะแช่เย็นก่อนก็ได้ค่ะ
Categories
ขนมไทย

ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค

ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค
ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค

ขนมในประเทศไทยนั้นแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยเหมือนกันแต่ก็มีต้นกำเนิด และช่วงเวลาที่ถูกคิดค้นที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ขนมต่างยุค ทำมาจากวัตถุดิบที่ต่างกัน ขนมที่มาจากในรั้วในวังก็มีความแตกต่างกับขนมที่ชาวบ้านทำเพื่อรับประทานกันเองอีกด้วย โดยจะสังเกตเห็นได้ถึงความต่างในความประณีตรวมไปถึงวัตถุดิบในการทำ ขนมที่ชาวบ้านทำรับประทานกันเองนั้นจะค่อนข้างเรียบง่าย และไม่ได้มีขั้นตอนที่ประณีตอะไรมากมายนัก แต่หากพูดถึงในส่วนของรสชาติแล้วล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าอยู่ในระดับที่สูสีกันเลยทีเดียว ขนมที่เราจะมาแนะนำในวันนี้เป็นขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิคที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยรับประทานมาก่อนนั่นก็คือขนมใส่ไส้นั่นเอง

ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค
ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค

ขนมสอดไส้ ขนมพื้นบ้านที่มาพร้อมกับวัตถุดิบที่หาได้ง่าย

เราอาจจะเคยได้ยินชื่อวัตถุดิบที่ฟังดูแล้วไม่คุ้นหูและหาได้ยากอย่างเช่นแป้งท้าวยายม่อม ทำให้การทำขนมไทยในปัจจุบันนี้สามารถหาทานได้ยาก เนื่องจากวัตถุดิบเฉพาะไม่ค่อยมีคนนิยมนำเอามาขาย แต่สำหรับขนมใส่ไส้นั้นแม้ว่าจะเป็นขนมพื้นบ้านไทยแต่ก็มาพร้อมกับวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายทั่วไป ประกอบไปด้วย

  1. มะพร้าวขูด ควรเป็นมะพร้าวทึนทึกที่มีเนื้อแน่นรสหวานกำลังดี ใช้ปริมาณ 1½ ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลมะพร้าว เป็นน้ำตาลที่ให้กลิ่นหอมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วยตวง 
  3. น้ำสะอาดต้มสุก 
  4. เทียนอบควันเทียน สำหรับใครที่อยากจะให้ขนมมีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้นก็สามารถเตรียมเทียนสำหรับอบควันเทียนมาใช้ได้เช่นเดียวกัน แต่หากหาซื้อยากหรือไม่ชอบกลิ่นอบควันเทียนก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ใช้ได้
  5. แป้ง ประกอบไปด้วยแป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวงและแป้งข้าวเจ้า 1/3 ถ้วยตวง 
  6. น้ำเย็น สามารถแต่งกลิ่นได้ด้วยการแช่อัญชัน มะลิ หรือใบเตย ซึ่งนอกจากจะได้กลิ่นหอมแล้วยังได้สีธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความสวยงามอีกด้วย ใช้ในปริมาณ 1/3 ถ้วยตวง
  7. เกลือป่น 2 ช้อนชา
  8. หัวกะทิ หากใช้กะทิคั้นสดให้เลือกใช้เฉพาะส่วนหัวกะทิ แต่หากใช้กะทิกล่องสามารถใช้กะทิได้ทั้งกล่องโดยไม่ต้องแยกหัวหรือหางกะทิ ใช้ในปริมาณ 3 ถ้วยตวง 
  9. อุปกรณ์สำหรับห่อขนม สามารถใช้ได้ทั้งใบตองและไม้กลัด หรือจะนำใส่พิมพ์พลาสติกใสแบบที่นิยมในปัจจุบันก็ได้เช่นเดียวกัน
ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค
ขนมใส่ไส้ ขนมไทยพื้นบ้านสุดคลาสสิค

สูตรการทำขนมใส่ไส้ ขนมพื้นบ้านที่ทำง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

ขนมใส่ไส้นั้นเป็นขนมอีกหนึ่งชนิดที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขนมไทยที่มีขั้นตอนยุ่งยากสลับซับซ้อน แต่ความจริงแล้ววิธีการทำนั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแค่มีหลายขั้นตอนเท่านั้นเอง ซึ่งแต่ละขั้นตอนประกอบไปด้วย

  1. นำหม้อตั้งไฟปานกลาง นำมะพร้าวขูดลงไปกวนกับน้ำตาลมะพร้าวให้ละลายจนเหนียวได้ที่ จากนั้นให้นำเอาน้ำต้มสุกผสมลงไปแล้วคนเรื่อย ๆ จนกว่าส่วนผสมจะข้นจนเหนียวและแห้ง เราก็จะได้เป็นมะพร้าวขูดเคลือบน้ำตาลมะพร้าวที่เหนียวกำลังดี
  2. นำเอาส่วนผสมลงมาพักไว้จนเย็นหลังจากนั้นก็ให้นำเอามะพร้าวขูดที่ได้มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดไม่เกิน 1 นิ้ว ในขั้นตอนนี้สำหรับใครที่อยากจะอบควันเทียนให้นำเอาไส้ที่ได้ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิด หลังจากนั้นให้ทำการอบควันเทียนทิ้งไว้ แต่หากไม่ต้องการอบควันเทียนให้นำเอาไส้ใส่ในภาชนะที่ปิดมิดชิดพักเอาไว้
  3. นำเอาน้ำเย็นผสมกับแป้งข้าวเหนียวแล้วนวดจนกว่าจะสามารถปั้นได้ เมื่อแป้งได้ที่ให้ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดกำลังดี 
  4. ตั้งกระทะเทฟล่อนหรือกระทะทองเหลืองด้วยไฟปานกลาง นำเอากะทิ แป้งข้าวเจ้า และเกลือป่นเทลงไปในกระทะ คนจนกว่าจะเข้ากัน กวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าส่วนผสมจะข้นได้ที่ จากนั้นให้ยกลงจากเตาแล้วพักเอาไว้จนเย็น
  5. นำเอาแผ่นข้าวเหนียวที่เราปั้นมาห่อไส้ ที่เราพักเอาไว้หรืออบควันเทียนทิ้งไว้ หลังจากนั้นเอาไปวางลงใบตอง และหงายใบตองขึ้นแล้วตักหน้าขนมที่เป็นส่วนของกะทิใส่ลงไปบนไส้ประมาณครึ่งช้อนชา ห่อให้เป็นทรงแล้วนำเอาไม้มากลัด นำเอาไปนึ่งเป็นเวลา 10 นาทีในหม้อนึ่งที่ตั้งจนน้ำเดือดเรียบร้อยแล้ว
  6. หากทำขนมใส่พิมพ์พลาสติกให้ทำการตักกะทิลงไปในถ้วยก่อนประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นให้ห่อไส้ด้วยแป้งข้าวเหนียวแล้วนำเอาไปต้มจนสุก ก่อนจะนำมาใส่ในพิมพ์เป็นอันเสร็จสิ้น
Categories
เบเกอรี่

วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย

วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย
วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย

มีเรื่องเล่าว่า วาฟเฟิล เบเกอรี่ที่เรารับประทานนั้นถือกำเนิดมาแล้วหลายร้อยปีก่อนในยุคหินใหม่ โดยใช้หินร้อนในการทำ จนมาถึงยุคเหล็กได้มีการทำอุปกรณ์การทำอย่างกระทะวาฟเฟิลขึ้นมาด้วยลวดลายที่น่าสนใจ ต่อมาในยุคกรีกโบราณได้พัฒนาเตาสำหรับทำวาฟเฟิลโดยมีลักษณะเป็นแผ่นเหล็ก 2 ชิ้นประกบกันคล้ายกับที่เราเห็นกันในปัจจุบัน และได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้มีวิธีการทำที่สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นผลมาจากความนิยมในการทำวาฟเฟิลรับประทาน ซึ่งเป็นเบเกอรี่ที่สามารถทานได้ทั้งคาวและหวาน รู้หรือไม่ว่าในประเทศยุโรปนั้นมีการแบ่งชนชั้นในการกินวาฟเฟิลอีกด้วย โดยคนจนจะรับประทานแป้งแข็ง ๆ ผสมแค่แป้งกับน้ำเพียงเท่านั้น สำหรับคนที่มีฐานะพวกเขาจะใส่นม ไข่ น้ำผึ้งลงในส่วนผสม ทำให้มีเนื้อที่นุ่มละมุนมากกว่า

วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย
วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย

วัตถุดิบในการทำวาฟเฟิล เบเกอรี่หลายร้อยปี

ขนมวาฟเฟิลนั้นเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลาย เพราะชาวดัซต์ที่ได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศอเมริกาในปี ค.ศ. 1620 ได้นำสูตรวิธีการทำเบเกอรี่นี้เข้าไปด้วย จากการที่ได้รับความนิยมทำให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาสูตรไปทานคู่กับเมนูคาวหวานต่าง ๆ เช่น น้ำเชื่อม ชา กาแฟ ไข่ดาว เบค่อน ผลไม้ ไอศกรีม ฯลฯ และถูกเผยแพร่ไปยังหลาย ๆ ประเทศ เป็นที่ถูกอกถูกใจจนได้รับความนิยมอีกเช่นเคย ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่ได้นำสูตรมาพัฒนาปรับปรุงกันอย่างหลากหลาย ทำกิน ทำขายกันทั่วไป หลากหลายราคาตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพง ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในการทำ และเครื่องเคียงขนมที่เสิร์ฟให้รับประทานคู่กัน 

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ ปริมาณ 128 กรัม
  2. น้ำตาลทราย ปริมาณ 2 ช้อนชา
  3. ผงฟู ปริมาณ 2 ช้อนชา
  4. เกลือป่น ปริมาณ 1/4 ช้อนชา
  5. ไข่ไก่เบอร์ 1 ปริมาณ 1 ฟอง 
  6. นมสดจืด ปริมาณ 180 กรัม
  7. เนยเค็มละลาย ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ
  8. กลิ่นวนิลลา ปริมาณ 1 ช้อนชา
  9. วัตถุดิบสำหรับทานคู่วาฟเฟิลตามชอบ
วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย
วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน กินกับอะไรก็อร่อย

วิธีทำเบเกอรี่ ทานได้ทั้งคาว และหวาน

วาฟเฟิลที่นิยมรับประทานกันในไทย คือ วาฟเฟิลเบลเยี่ยม และวาฟเฟิลฮ่องกงค่ะ ซึ่งวาฟเฟิลจากสองประเทศนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยวาฟเฟิลเบลเยี่ยมเราจะเห็นอยู่ทั่วไปจากลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม มีหลุมตามสไตล์ของวาฟเฟิล ส่วนของฮ่องกงนั้นจะมีลักษณะแปลกตา แต่ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตอนนี้ คือมีลักษณะกลม ๆ เหมือนลูกบอลหลาย ๆ ลูกเรียงต่อกัน ขอบอกเลยว่าวาฟเฟิลทั้งสองชนิดนี้แม้จะมีลักษณะแตกต่างกันแต่รสชาติหวานละมุน กรอบนอกนุ่มในนั้น อร่อยไม่แพ้กันเลยค่ะ โดยในวันนี้เราก็มีสูตรวาฟเฟิลมาให้ทุกคนได้ลองทำ ดังนี้

  1. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เกลือป่น ลงไปในชามผสม ใช้ตระกร้อคนเล็กน้อยและพักไว้
  2. ใส่ไข่ไก่ลงไปนมสดรสจืด ตีให้เข้ากัน และเทใส่ส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ที่ได้พักไว้ ใช้ตระกร้อคนแรง ๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ตามด้วยเนยเค็มละลาย และกลิ่นวนิลลาลงไปคนต่อ 
  3. เตรียมเครื่องวาฟเฟิล เปิดเครื่องและทาเนยให้ทั่ว เพื่อไม่ให้เนื้อแป้งติดตัวเครื่อง ค่อย ๆ ส่วนผสมลงไปให้ทั่ว ปิดเครื่องลงเป็นเวลา 1 -2 นาที หรือจนกว่าแป้งจะสุก จากนั้นใช้ส้อมแซะออกมาวางพักไว้ ทำซ้ำจนกว่าส่วนผสมของแป้งจะหมด
  4. จัดวาฟเฟิลใส่จาน แต่งหน้าให้สวยงามตามชอบ และโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง นำไปเสิร์ฟพร้อมกับน้ำผึ้ง หรือช็อกโกแลตโรย ทานคู่กับโอวัลติน กาแฟ ตามชอบได้เลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เมนูที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เป็นเมนูที่ทำง่ายมาก ๆ แถมยังทานได้หลากหลาย สามารถทำแป้งไว้ทำทานได้ในเวลาเร่งรีบอีกต่างหาก เหมาะมาก ๆ กับวิถีชีวิตแบบเร่งรีบในปัจจุบัน อีกทั้งยังปรับสูตรได้ตามใจชอบ หรือใครจะนำไปทำขายสร้างรายได้ในที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ขายออนไลน์ ส่งตามเดลิเวอรี่ที่มีอยู่มากมายก็ได้ค่ะ

Categories
ขนมไทย

หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้

หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้
หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้

หลายคนมองว่าขนมไทยนั้นเป็นขนมที่ทำยาก แต่ความจริงแล้วขนมเหล่านี้บางชนิดก็สามารถทำได้ง่าย ๆ แถมยังใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ทั่วไปอีกด้วย เพียงแต่ว่าขั้นตอนอาจจะมีความหลากหลายและยุ่งยากเล็กน้อย เนื่องจากขนมเหล่านี้เป็นขนมที่มีรายละเอียดในตัวค่อนข้างเยอะ อย่างเช่นที่เราจะมาแนะนำในวันนี้เป็นขนมพื้นบ้านประจำเพชรบุรีอย่างหม้อแกงถั่ว ขนมโปรดของใครหลายคนที่รับประทานได้เพลิน ๆ ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม ความหวานผสมกับความมันของไข่ เข้ากันได้ดีกับหอมแดงเจียวที่โรยด้านบน หากไปซื้อรับประทานรับรองว่าไม่อร่อยเท่าทำเองอย่างแน่นอน เพราะหากทำรับประทานเองทุกอย่างนั้นก็จะสดใหม่ เครื่องโรยหน้ายังคงหอมและกรอบอยู่ ในวันนี้เราจึงจะมาแนะนำสูตรและวิธีการทำขนมดังกล่าวให้ได้ลองทำตามกัน

หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้
หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้

วัตถุดิบที่ต้องเตรียมสำหรับการทำขนมกุมภมาศ

เชื่อหรือไม่ว่าขนมหม้อแกงถั่วที่เป็นขนมไทยพื้นบ้านที่สุดแสนจะธรรมดานี้จะมีอีกชื่อที่สวยงามอย่างขนมกุมภมาศ โดยสูตรที่เราจะมาแนะนำในวันนี้จะได้ขนมออกมาประมาณ 1 ถาดกลาง เมื่อแบ่งออกมาแล้วก็จะได้ขนมประมาณ 9 ชิ้นกำลังพอดีสำหรับรับประทานในครอบครัว ประกอบไปด้วย

  1. ถั่วเขียว 200 กรัม นำเอาไปนึ่งหลังจากนั้นให้นำเอาถั่วเขียวสุกมาบดจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ยิ่งเราบดถั่วได้ละเอียดมากแค่ไหนเนื้อสัมผัสของขนมเราก็จะยิ่งเนียนมากขึ้นเท่านั้น
  2. ไข่เป็ดไซส์ใหญ่จำนวน 5 ฟอง 
  3. ใบเตย 1 กำ นำเอาใบเตยสดมาตัดให้มีขนาดกำลังพอดี ล้างให้สะอาด
  4. น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม หากต้องการเพิ่มหรือลดความหวานก็สามารถเพิ่มลดปริมาณน้ำตาลได้ตามต้องการเล็กน้อย 
  5. หัวกะทิ 400 กรัม สามารถใช้ได้ทั้งกะทิคั้นสดเฉพาะส่วนของหัวกะทิหรือจะใช้กะทิสำเร็จรูปทั้งกล่องก็ได้เช่นเดียวกัน
  6. หอมแดงซอย 50 กรัม สามารถปรับปริมาณได้ตามความชื่นชอบ ยิ่งซอยบางเท่าไรเมื่อนำไปเจียวแล้วก็จะยิ่งกรอบมากขึ้นเท่านั้น 
  7. น้ำมันพืช 
หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้
หม้อแกงถั่ว ขนมไทยประจำเพชรบุรีที่สามารถทำเองได้

ขนมหม้อแกงถั่ว สามารถทำได้ในบ้านเพียงแค่มีเตาอบ

หลายคนไม่ทราบว่าขนมหม้อแกงถั่วนั้นมีขั้นตอนการทำอย่างไร ต้องบอกว่ามันเป็นขนมไทยที่แตกต่างจากขนมชนิดอื่นเพราะมันต้องใช้เตาอบ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่ไม่ได้มีทุกบ้าน ดังนั้นหากไม่มีเตาอบสามารถใช้เตาติ๊งหรือเตาอบลมร้อนแทนได้ แต่อาจจะต้องปรับอุณหภูมิและปริมาณอีกทีเพื่อให้ได้ขนมที่ออกมาสวยกำลังดี ขั้นตอนการทำมีดังนี้

  1. เตรียมเตาอบด้วยไฟอุณหภูมิประมาณ 180 – 200 องศาเซลเซียส
  2. นำกระทะตั้งไฟแล้วเทน้ำมันพืชลงไป เมื่อน้ำมันเริ่มร้อนให้เทหอมแดงลงไปเจียว ในขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังเพราะหอมแดงเป็นพืชที่มีน้ำตาลเยอะ หากไม่ระวังจะสามารถไหม้ได้ง่าย เมื่อได้สีตามที่ต้องการแล้วให้ยกออกทันทีโดยนำไปวางในตะแกรงสะเด็ดน้ำมัน สีของหอมเจียวจะเข้มขึ้นเล็กน้อย
  3. ตอกไข่ลงไปในชามผสม จากนั้นให้นำเอาใบเตยที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในชาม ใช้มือขยำไข่และใบเตยเข้าด้วยกันจนไข่ฟูเป็นฟอง
  4. เมื่อไข่เข้ากันและเป็นฟองแล้วให้ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปแล้วขยำให้น้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดีจนกลายเป็นเนื้อเดียว 
  5. เทกะทิลงไปในชามผสมแล้วขยำอีกรอบให้เข้ากัน จากนั้นให้นำเอาส่วนผสมไปกรองด้วยตะแกรงหรือผ้าขาวบาง ในขั้นตอนนี้ให้หยิบใบเตยออกจากส่วนผสมได้เลย
  6. นำเอาถั่วเขียวบดลงไปผสมในชาม ใช้มือขยำจนส่วนผสมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
  7. นำกระทะตั้งไฟอ่อน เทน้ำมันพืชที่ใช้ทำหอมเจียวลงไป 3 ช้อนโต๊ะ แล้วนำเอาส่วนผสมเทลงไปในกระทะแล้วกวนให้เข้ากัน ในขั้นตอนนี้ให้กวนไปเรื่อย ๆ ห้ามหยุดมือเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นขนมจะไหม้ก้นกระทะ
  8. หลังจากกวนไปซักพักเนื้อขนมจะเหนียวขึ้น ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีให้ทำการเทขนมใส่ลงไปในพิมพ์
  9. นำเอาพิมพ์ที่เต็มไปด้วยขนมใส่ลงไปในเตาอบที่เราทำการวอร์มไว้ตั้งแต่ต้น อบประมาณ 40 นาทีแล้วแต่เตาของแต่ละบ้าน ควรทำการเช็คขนมเรื่อย ๆ ใช้วิธีการเดียวกับการเช็คเค้กนั่นก็คือการนำเอาไม้จิ้มฟันจิ้มลงไป ดูว่าไม้จิ้มฟันมีเศษขนมเปียก ๆ ติดออกมาหรือไม่ หากไม่มี และหน้าขนมแห้งแล้วแปลว่าขนมสุกได้ที่
  10. นำพิมพ์ออกมาจากเตาแล้วพักขนมให้เย็น จากนั้นสามารถตัดแบ่งพร้อมเสิร์ฟรับประทานคู่กับหอมเจียว
Categories
เบเกอรี่

บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน

บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน
บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน

ในสังคมปัจจุบันอย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีว่าผู้คนให้ความสนใจกับการรับประทานของหวานหรือขนมหวานเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในช่วงกลางวัน จะต้องการรับประทานขนมขบเคี้ยวหรือขนมทานเล่นในช่วงกลางวันหรือช่วงพักเที่ยงของการทำงาน เป็นช่วงระยะเวลาที่กำลังหิว เพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและเสียเหงื่อเป็นจำนวนมาก จะชื่นชอบการรับประทานขนมหวานและของหวานมากกว่าผู้คนที่ทำงานในรูปแบบอื่น 

ในวันนี้เรามีเมนูยอดนิยม เป็นเมนูที่ผู้คนรับประทานกันเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีการพูดถึงว่าเป็นเมนูที่ อร่อย ทานแล้วนุ่มลิ้นละมุนปากเป็นอย่างมาก จะเป็นเมนูอื่นไม่ได้ นอกจากเมนู บราวนี่ชาเขียว เมนูที่กำลังโด่งดังและมีผู้คนซื้อมารับประทานกันเป็นจำนวนมาก เราจึงเลือกที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับส่วนผสมหลักและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำเมนูบราวนี่ดังกล่าว รวมถึงขั้นตอนและวิธีการทำที่ละเอียด จะนำมาอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบกัน เพื่อที่จะทำให้ทุกท่านนั้นสามารถนำกลับไปทำรับประทานเองที่บ้าน สูตรและเคล็ดลับที่เราได้ทำการรวบรวมจากส่วนผสมและวัตถุดิบหลักที่จะทำให้ขนมมีความอร่อยหอมละมุนมากที่สุด มาดูกันเลยว่ามีรายละเอียดในการทำอย่างไรบ้าง

บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน
บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน

ส่วนผสมและวัตถุดิบหลักของบบราวนี่ชาเขียว

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าขนมบราวนี่ชาเขียว ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการซื้อขาย แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากทุกท่านหันมาทำรับประทานกันเอง จะได้รสชาติที่อร่อยถูกปากทุกท่านเป็นอย่างมาก เพราะได้ปรุงแต่งและใส่ส่วนผสมเองตามความชื่นชอบ โดยวันนี้เรามีส่วนผสมและวัตถุดิบที่ได้รวบรวมมาอธิบายไว้ให้ทุกท่านได้ทราบการ ดังต่อไปนี้

– ไข่ไก่จำนวน 2 ฟอง

– แป้งอเนกประสงค์ปริมาณ 100 กรัม

– White Chocolate ปริมาณ 120 กรัม

– เนยปริมาณ 100 กรัม

– น้ำตาลไอซิ่งปริมาณ 120 กรัม ปรับเปลี่ยนได้ตามความชื่นชอบของแต่ละคน

– ผงชาเขียวปริมาณ 15-20 กรัม

– เม็ดอัลมอนด์ที่สไลด์เป็นแผ่นบาง สำหรับตกแต่งหน้าบราวนี่

จากที่เราได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนผสมของเมนูเบเกอรี่ที่เราได้ทำการคัดสรรมาแนะนำไว้ให้ทุกท่านได้ทราบสามารถปรับใช้ได้ตามความชื่นชอบและรูปแบบวิธีการทำของทุกท่านได้เลย โดยสามารถหาวัตถุดิบหลักและส่วนผสมที่สำคัญได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนมได้เลย มีให้ท่านได้เลือกซื้อกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ทุกท่านยังสามารถที่จะปรับสูตรส่วนผสมในปริมาณที่ทุกท่านชื่นชอบ ตามความหวานและความเข้มข้นที่ท่านพึงพอใจ 

บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน
บราวนี่ชาเขียว ขนมหวานยอดนิยมเมนูเด็ดของใครหลาย ๆ คน

ขนมหวาน Mini ยอดนิยมในปัจจุบัน

ถ้าหากจะพูดถึงขนมหวาน Mini ยอดนิยมในปัจจุบัน ทุกคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในชื่อของบราวนี่ ซึ่งวันนี้เราได้นำเสนอเป็นบราวนี่ชาเขียว โดยเป็นขนมที่กำลังมีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ไปดูขั้นตอนและวิธีการทำได้เลย

  1. เตรียมเตาอบและเปิดความร้อนในอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส
  2. ร่อนน้ำตาลไอซิ่งและตอกไข่จำนวน 2 ฟองตีให้เข้ากัน
  3. นำเนยกับไวท์ช็อกโกแลตไปละลายในอ่างที่ใช้น้ำเพื่อเป็นความร้อนส่งขึ้นมายังอ่าง
  4. เทส่วนผสมทุกอย่างที่ได้ทำการละลายรวมกับน้ำตาลและไขที่ได้ตีเข้ากันไว้ นำแป้งมาร่อนพร้อมกับผงชาเขียวผสมให้เข้ากัน
  5. เทส่วนผสมทุกส่วนที่ได้ทำการคลุกเคล้าและคนให้เข้ากันใส่ถาดที่เตรียมไว้ โรยเม็ดอัลมอนด์และนำเข้าเตาอบเป็นระยะเวลาประมาณ 20 ถึง 25 นาที พักให้เย็นหรือแช่ไว้ในตู้เย็น เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำเบเกอรี่ขนมหวาน และสามารถรับประทานได้ทันที

จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นขั้นตอนและวิธีการทำที่สำคัญ เราได้ทำการสรุปมาไว้ให้ทุกท่านได้ดูรายละเอียดใน 5 ขั้นตอน สามารถนำไปทำรับประทานเองที่บ้านได้ตามความชื่นชอบและเวลาว่างของทุกท่าน แต่จะต้องให้เวลากับการเตรียมวัตถุดิบหลัก ส่วนผสมที่สำคัญก่อนการทำเสมอ เพราะจะทำให้ขนมมีส่วนประกอบที่ครบถ้วน จะได้มีรสชาติที่ หอม หวาน ละมุนลิ้น 

Categories
ขนมไทย

ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก

ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก
ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก

หากสังเกตให้ดีเวลาอยู่กับคนเฒ่าคนแก่ เราจะพบว่าพวกท่านมักจะรับประทานข้าวเหนียวร่วมกับผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้สุกอย่างกล้วย มะม่วง ทุเรียน มะขาม และอาหารไทยโบราณแบบคาวนั้นก็มักจะมีส่วนผสมเข้ากับผลไม้เสมออย่างเช่นแกงเผ็ดสับปะรดหรือผัดเปรี้ยวหวาน เรียกได้ว่าคนไทยเรานั้นรับประทานข้าวเหนียวร่วมกับผลไม้กันมาอย่างช้านาน แต่ในปัจจุบันนี้ข้าวเหนียวที่เราใช้รับประทานเป็นของหวานร่วมกับผลไม้มักจะเป็นข้าวเหนียวมูน ของหวานที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่ในอดีต นอกจากจะรับประทานกับผลไม้แล้วอร่อยยังสามารถรับประทานกับหน้าต่าง ๆ ได้มากมายอย่างเช่น หน้าสังขยาหรือหน้ากระฉีก แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นของหวานที่ทำยากแต่ความจริงแล้ววิธีการง่ายกว่าที่คิด ในวันนี้เราจึงจะมาแนะนำสูตรและวิธีการทำให้ได้ลองทำตามกัน

ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก
ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก

ข้าวเหนียวน้ำกะทิ สูตรขนมไทยที่สามารถหาวัตถุดิบทำได้ง่าย ๆ 

ในขั้นตอนแรกของการทำข้าวเหนียวมูนเราจะต้องเตรียมส่วนผสมให้พร้อม ประกอบไปด้วย

  1. ข้าวเหนียว เราขอแนะนำให้ใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่มีรูปร่างเมล็ดเรียวยาวกว่าข้าวตามปกติที่เรารับประทาน แม้ว่ามันจะมีกลิ่นหอมไม่สู้ข้าวเหนียวหอมมะลิ แต่ด้วยลักษณะที่ดูดซึมน้ำได้น้อยกว่าทำให้ถึงแม้ว่าเราจะเอาไปเคี่ยวกับน้ำกะทิแล้วมันก็ยังคงมีลักษณะเป็นเม็ดเรียงตัวสวยงาม ข้าวที่ได้ออกมาจะมีความสวยงาม และยังคงเป็นเมล็ดไม่เละเป็นโจ๊ก
  2. กะทิ วัตถุดิบหลักของขนมไทยหลายชนิด หากสามารถหากะทิคั้นสดได้ขอแนะนำให้ใช้กะทิคั้นสดส่วนของหัวกะทิที่มีความเข้มข้นและความมัน แต่หากไม่สามารถหาซื้อกะทิคั้นสดได้ก็สามารถเลือกใช้กะทิกล่องได้เช่นเดียวกัน หากต้องการกลิ่นหอมควันเทียนก็สามารถเลือกใช้กะทิสูตรที่อบควันเทียนมาแล้วก็จะช่วยให้ข้าวของเรามีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
  3. สารส้ม เป็นสารส้มสำหรับทำอาหารที่เอาไว้แช่ข้าวเหนียวก่อนที่เราจะนำไปหุง เช่นเดียวกับขั้นตอนการหุงข้าวเหนียวทั่วไปที่จะต้องทำการแช่ข้าวเหนียวไว้ก่อนเพื่อให้เมื่อหุงออกมาแล้วจะฟูขึ้นหม้อและเป็นเม็ดสวย
  4. น้ำตาลทราย เพื่อให้สีของข้าวออกมาสวยงามควรเลือกใช้เป็นน้ำตาลทรายขาว แต่หากต้องการกลิ่นหอมและไม่ได้กังวลเรื่องสีของข้าวว่าจะมีติดอมเหลืองก็สามารถใช้น้ำตาลทรายแดงได้เช่นเดียวกัน 
  5. เกลือป่น เกลือจะเข้ามาช่วยเสริมรสชาติให้ข้าวของเรามีรสหวานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรสเค็มนั้นจะช่วยให้ประสาทรับรสหวานของลิ้นเราทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นมันยังช่วยให้ข้าวของเราไม่เลี่ยนจนเกินไปอีกด้วย
  6. ใบเตยสด ก้านใบเตยธรรมดาทั่วไปที่เราสามารถหาซื้อได้ตามตลาด นำเอามามัดเป็นปมทิ้งไว้ ใบเตยจะช่วยให้กลิ่นของข้าวหอมและได้รสชาติที่มีมิติมากยิ่งขึ้น
ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก
ข้าวเหนียวมูน ขนมไทยที่ได้รับความนิยมไกลไปทั่วโลก

วิธีการทำข้าวเหนียวมูลแบบง่าย ๆ ไม่ง้อร้าน

แม้ว่าข้าวเหนียวมูนนั้นจะดูเป็นขนมไทยที่มีขั้นตอนการทำสลับซับซ้อนและทำยาก แต่ความจริงแล้วมันเป็นของว่างที่สามารถทำได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหัดทำขนมเพราะอัตราส่วนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องวัดให้เป๊ะเหมือนกับการทำเบเกอรี่ วิธีการทำมีขั้นตอนดังนี้

  1. นำเอาข้าวเหนียวในปริมาณที่ต้องการแช่ไว้ในน้ำแล้วเอาสารส้มลงไปกวนเป็นเวลา 5 นาที หลังจากนั้นให้เทน้ำออก
  2. เทน้ำสะอาดลงแช่ข้าวเหนียวทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงหรือค้างคืน หากต้องการให้ข้าวเหนียวมีสีสันสามารถผสมสีจากธรรมชาติอย่างเช่น ขมิ้น อัญชัน หรือจะใช้สีผสมอาหารแทนก็ได้เช่นเดียวกัน
  3. เมื่อครบเวลาแช่ข้าวเหนียวให้เทน้ำออก หลังจากนั้นก็นำไปนึ่งตามปกติจนได้เป็นข้าวเหนียวที่สุกเรียบร้อยแล้ว มาพักทิ้งไว้
  4. นำหม้อตั้งไฟปานกลาง นำกะทิใส่หม้อแล้วใส่เครื่องปรุงที่ประกอบไปด้วยเกลือ น้ำตาล และใบเตย คนให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้จนเดือด 
  5. เมื่อกะทิเดือดได้ที่แล้วให้ปิดไฟเพื่อป้องกันกะทิแตกมัน จากนั้นให้นำน้ำกะทิลงไปผสมกับข้าวเหนียวแล้วคนให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้ข้าวเหนียวและกะทิเข้ากันเป็นเวลา 15 นาทีแล้วทำการคนให้เข้ากันอีกครั้ง เพียงเท่านี้เราก็จะได้ข้าวเหนียวน้ำกะทิแบบทำง่าย สามารถทำรับประทานเองได้ที่บ้านแล้ว
Categories
ขนมไทย

ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ

ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ
ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ

ขนมไทยที่เราจะนำมาบอกสูตรให้กับทุกคนในวันนี้คือ “ครองแครงอัญชัน” ขนมรูปร่างละม้ายคล้ายหอยแครง ในปัจจุบันนั้นมีการประยุกต์ใช้สีปรุงแต่งทั้งสีผสมอาหารและสีจากธรรมชาติให้ความหลากหลายทางด้านสีสัน ทำให้เพิ่มความน่ากินขึ้นไปอีก บวกกับรสสัมผัสเหนียวนุ่มละมุนลิ้น เด้งดึ๋งสู้ฟันกันแบบสุด ๆ แถมยังมีรสชาติหวานมันอีกด้วย ยังไม่พอค่ะยังมีความหอมจากกลิ่นกะทิ กลิ่นงาคั่วอีกด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นขนมไทยที่ใครได้กินก็ต้องติดใจกันทุกราย 

ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ
ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ

ส่วนผสมของขนมไทยแสนอร่อย ครองแครงอัญชัน

ก่อนอื่นต้องบอกเลยนะคะว่าขนมครองแครงอัญชันนั้นเป็นขนมที่มีวัตถุดิบในการทำที่หาซื้อได้ง่ายตามตลาดทั่วไป ราคาไม่แพง อีกทั้งบางวัตถุดิบยังสามารถเก็บไว้ทำขนมไทยชนิดอื่นได้ในครั้งต่อไป และบางวัตถุดิบก็เป็นวัตถุดิบที่มีอยู่แล้วในครัวของคุณเอง รู้อย่างนี้แล้วเราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าวัตถุดิบมีอะไรบ้าง

  1. งาขาวที่ผ่านการคั่วจนหอมกรุ่น จะคั่วเองหรือจะใช้งาขาวแบบสำเร็จรูปก็ได้นะคะ ใช้ในการโรยหน้าขนม ปริมาณแล้วแต่ชอบของแต่ละคนเลยค่ะ
  2. แป้งข้าวเจ้าวัตถุดิบยอดฮิตในการทำขนม ปริมาณ 1 ถ้วย
  3. แป้งมันแป้งที่ช่วยให้ขนมมีสีโปร่งแสง ปริมาณ 2 ถ้วย
  4. กะทิคั้นสด หรือใช้กะทิกล่องแทนก็อร่อยไม้แพ้กันค่ะ ปริมาณ 1 ลิตร
  5. เกลือป่น วัตถุดิบชูรสหวานให้โดนเด่น กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ปริมาณ 1 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทรายขาว ปริมาณ 1 ถ้วย ถ้าชอบหวานก็สามารถเติมได้นะคะ
  7. ดอกอัญชันเพิ่มสีสัน ปริมาณ 20 ดอก
  8. น้ำเปล่า ½ ถ้วย
  9. เนื้อมะพร้าวอ่อน ปริมาณ 1 ลูก
  10. ใบเตยล้างสะอาด มัดรวมกันในปริมาณ 3 ใบ 
ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ
ขนมครองแครงอัญชัน น้ำกะทิหวานมัน เนื้อมะพร้าวกรุบกรับ

ขั้นตอนการทำขนมครองแครงอัญชัน ให้รสชาติหวานมันกลมกล่อม

ขนมที่มีวิธีการทำคล้ายกับบัวลอย แต่จะซับซ้อนกว่านิดหน่อยตรงที่ต้องใช้พิมพ์ในการทำให้ขนมเป็นรูปร่างคล้ายเปลือกหอย คนที่เคยผ่านการทำบัวลอยหรือขนมไทยชนิดอื่น ๆ มาแล้วจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายเลยละค่ะ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยทำก็สามารถทำได้เหมือนกันนะคะ 

  1. นำแป้งมันและแป้งข้าวเจ้ามาผสมให้เข้ากันในภาชนะที่ได้เตรียมไว้ หลังจากนั้นนำแป้งมาแบ่งออกเป็นสองส่วนในปริมาณที่เท่ากัน 
  2. นำดอกอัญชันที่ล้างสะอาดแล้วไปต้มกับน้ำเดือดจนได้สีเข้มตามที่ต้องการ หลังจากนั้นจึงกรองเพื่อแยกดอกอัญชันกับน้ำออกจากกัน จากนั้นเทน้ำร้อนลงในน้ำดอกอัญชันที่เราได้แยกไว้ เทน้ำลงไปจนกว่าจะได้สีที่พึงพอใจและแตกต่างกัน
  3. เทน้ำดอกอัญชันที่ผสมน้ำร้อนแล้วถ้วยแรกใส่ลงไปในแป้งที่เราได้แยกไว้แล้วใช้พายคนเบา ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน และค่อย ๆ ใช้มือนวดแป้งไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจับตัวกันเป็นก้อน 
  4. ทำแบบเดียวกันกับน้ำดอกอัญชันและแป้งที่ได้แยกไว้ เสร็จแล้วเราก็จะได้แป้งกลม ๆ สองก้อนสำหรับใช้ในขั้นตอนต่อไปกันแล้วค่ะ
  5. แบ่งแป้งเป็นชิ้นขนาดประมาณนิ้วก้อย แล้วนำไปกดใส่พิมพ์สำหรับทำครองแครงอัญชันของเราจนทำให้เกิดลายขนมอย่างที่เราเห็น และทำแบบเดียวกันทุกชิ้นจนกว่าแป้งจะหมด 
  6. ตั้งหม้อและรอจนกระทั่งน้ำเดือนจึงค่อยนำครองแครงที่เราทำให้เป็นรูปเป็นร่างแล้วลงไป เมื่อแป้งสุกแล้วจะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ และมีความใสขึ้นค่ะ หลังจากนั้นตักมาพักไว้ในน้ำเย็นทันทีนะคะ แป้งจะได้ไม่ติดกันค่ะ
  7. ขั้นตอนต่อไปจะเป็นขั้นตอนการทำน้ำกะทินะคะ ใส่น้ำกะทิลงไปเลยค่ะ ตามด้วยน้ำตาลทรายขาว เนื้อมะพร้าวอ่อนขูด ใบเตย และเกลือตามลำดับค่ะ ค่อย ๆ คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน หลังจากนั้นรอจนน้ำกะทิเดือดค่อยแยกใบเตยออกนะคะ
  8. ขั้นตอนสุดท้ายตักครองแครงใส่ถ้วยแล้วราดน้ำกะทิที่ โรยงาขาวตามความชอบ เพียงเท่านี้เราก็จะได้ขนมไทยแสนอร่อยมารับประทานกันที่บ้านอย่างหนำใจแล้วค่ะ แต่สำหรับใครที่อยากทำขายก็สามารถทำได้นะคะ 
Categories
เบเกอรี่

ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก

ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก
ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก

เบเกอรี่ชีสเค้กของโปรดของใครหลาย ๆ คนนั้น มีต้นกำเนิดมาจากสมัยกรีกโบราณ คาดว่าเริ่มจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกเมื่อปี 776 ชาวกรีกจึงได้ทำชีสเค้กขึ้นมาให้นักกีฬากินเพื่อเพิ่มพลังงาน ซึ่งเดิมนั้นทำจากนมแพะนมแกะและน้ำผึ้งเพื่อให้ความหวาน จนกระทั่งได้มีการนำมาทำกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังได้ปรับปรุงสูตรกันอย่างมากมายตามประเทศต่าง ๆ เช่น ชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น ที่นับเป็นของขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ นิวยอร์คชีสเค้กเองก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีชีสเค้กที่หลากหลายสูตร รอให้คุณได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง รับรองว่ารสชาติแต่ละสูตรนั้น ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน ยิ่งแต่งหน้าด้วยผลไม้สดต่าง ๆ ยิ่งทำให้ชีสเค้กนั้นมีความอร่อยจนหยุดกินไม่ได้กันเลยทีเดียว

ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก
ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก

วัตถุดิบชีสเค้กญี่ปุ่น หาซื้อได้ง่ายในไทย

  ชีสเค้กนั้นเป็นเมนูเบเกอรี่ที่รสชาติอร่อย เนื้อเค้กนุ่มเด้ง ละมุนลิ้นสุด ๆ หากใครเป็นสายคาเฟ่ สายขนมหวาน มักจะพบเจอเจ้าชีสเค้กถูกจัดวางอยู่ในตู้โชว์ขนมอย่างสวยงาม น่ารับประทานเป็นอย่างมาก แต่ราคาของบางร้านนี่สิ ทำเอาหลายคนต้องตัดใจ แต่สำหรับคนที่ชอบจริง ๆ ล้วนแล้วแต่บอกว่ารสชาติและคุณค่าของเบเกอรี่ชีสเค้กที่ได้มานั้นแสนจะคุ้มค่า วันนี้เราจึงมีสูตรชีสเค้กหน้าไหม้สไตล์ญี่ปุ่นสุดฮิตมาให้ทุกคนได้ลองทำกัน โดยเริ่มจากวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง ที่หาได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไปแถมยังราคาถูก ดังนี้

  1. ครีมชีส ปริมาณ 480 กรัม
  2. น้ำตาลทราย ปริมาณ 150 กรัม
  3. ไข่ไก่ ปริมาณ 3 ฟอง (เบอร์1)
  4. กลิ่นวนิลา ปริมาณ 1 ช้อนชา
  5. วิปปิ้งครีม ปริมาณ 200 กรัม
  6. แป้งข้าวโพด ปริมาณ 10 กรัม
ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก
ชีสเค้กหน้าไหม้ เนื้อละมุนนุ่มเด้ง ละลายในปาก

วิธีทำชีสเค้กหน้าไหม้ แบบง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เครื่องตี

ชีสเค้กหน้าไหม้เหมาะกับคนที่ชอบเบเกอรี่แบบญี่ปุ่น เป็นขนมที่หอมกรุ่นกลิ่นไหม้และกลิ่นชีส แต่รสชาตินั้นไม่ได้ขมนะคะ ยังคงความหวานเด้งเนื้อแน่นละมุนของชีสเค้กอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่หน้าตานั้นจะเปลี่ยนไปเป็นหน้าไหม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าชีสเค้กตัวนี้ นับว่าเป็นชีสเค้กที่ฮิตมาก ๆ ในหมู่คนรักเบเกอรี่ ไม่มีใครไม่รู้จัก แถมยังวัตถุดิบน้อย ทำง่ายมาก ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน อุปกรณ์การทำก็ไม่เยอะ ไม่ต้องใช้เครื่องผสมอาหารตี มีเพียงเตาอบเท่านั้นก็สามารถทำได้แล้ว เหมาะกับการทำกินเองมาก ๆ เพราะหากไปซื้อที่ร้านนั้นราคาก็สูงพอตัวอยู่ อีกทั้งยังสามารถนำผลไม้สดมาแต่งหน้าได้ตามความชอบเลยค่ะ ไปดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

  1. ใส่ครีมชีสที่นิ่มแล้วตี ๆ คน ๆ ด้วยตระกร้อจนเป็นเนื้อครีม ใส่น้ำตาลทรายขาวคนต่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี ใส่ไข่ลงไป 3 ฟองคนต่อจนกว่าจะเข้ากัน ตามด้วยวิปปิ้งครีมและกลินวนิลาลงไปคนต่อเพื่อความมันหอมของเนื้อเค้ก สุดท้ายใส่แป้งข้าวโพดลงไปคนให้เข้ากัน ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เมื่อยมือเสียหน่อย เพราะต้องคนด้วยความแรงเสียหน่อยเพื่อให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
  2. นำกระดาษไขวางรองที่พิมพ์เค้กให้ทั่วทั้งด้านล่างและด้านข้าง ตัดส่วนเกินของกระดาษไขให้สั้นลงเล็กน้อย จากนั้นเทส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปเลย นำไปอบด้วยไฟบนล่าง 200 องศา ไม่ต้องเปิดพัดลม ประมาณ 30 – 35 นาที ตามความชอบหน้าไหม้ของขนม แนะนำอย่าให้เข้มมาก สีน้ำตาลอ่อน ๆ กำลังดี เพราะจะทำให้ชีสเค้กของเรานั้นขมจนเกินไป เสร็จแล้วนำออกจากเตาพักไว้ให้เย็นจนขนมเซตตัว
  3. ขั้นตอนสุดท้ายนำออกจากพิมพ์ ตกแต่งหน้าเค้กด้วยวิปปิ้งครีม แยม ผลไม้นา ๆ ชนิดตามชอบได้เลย หรือจะนำไปตัดเสิร์ฟโดยไม่ต้องตกแต่งเลยก็อร่อยไม่แพ้กัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเมนูชีสเค้กหน้าไหม้ที่เรานำสูตรมาให้ได้ลองทำตาม ทำง่ายกว่าที่คิดใช่ไหมละคะ สามารถทำกินเอง ทำเป็นของขวัญวันพิเศษ หรือจะทำขายก็ได้กำไรเยอะแยะเลยละค่ะ เพราะต้นทุนนั้นต่ำกว่าเบเกอรี่อื่น ๆ อย่าพลาดที่จะลองทำกันนะคะ

Categories
ขนมไทย

ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย

ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย
ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย

ขนมเกสรลำเจียกหรือขนมบุหงาปูดะขนมไทยโบราณของดีของจังหวัดอ่างทอง มีต้นกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 2 จากสตรีที่เข้าไปอยู่ในวังจนได้สูตรออกมาเผยแพร่ให้คนที่อยู่นอกวังได้รับประทาน ที่มาของชื่อนั้นอาจจะเป็นเพราะมีลักษณะเหมือนกลีบเกสรของดอกลำเจียกที่สุกงอมเต็มที่ แถมยังมีกลิ่นหอมจากสีผสมอาหารจากธรรมชาติที่ใส่ลงไป อีกทั้งยังทำให้ขนมมีสีสันสวยงาม สัมผัสเหนียวแต่นุ่มนิ่ม ไส้ทำจากมะพร้าวเพิ่มความกรุบกรอบในขนม รสชาติหวานกลมกล่อม ทำให้หลาย ๆ คนที่ได้ลองติดใจจนหยุดกินไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนั้นถือเป็นขนมที่หาทานได้ยาก เพราะส่วนผสมหลักอย่างมะพร้าวทึนทึกนั้นหาได้เฉพาะบางจังหวัด จึงทำแค่ในบางจังหวัดที่ปลูกมะพร้าวเท่านั้น 

ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย
ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย

วัตถุดิบการทำขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสีสันสวยงาม

ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวยโชย ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย โหยไห้หาบุหงางาม มัศกอด กอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนี้ยังแคลง ” ส่วนหนึ่งในพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาว – หวาน ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้กล่าวถึงขนมเกสรลำเจียกไว้ ทำให้เราได้รู้จักขนมชนิดนี้มากขึ้นผ่านบทพระราชนิพนธ์ เป็นขนมไทยที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ วัตถุดิบต่าง ๆ ล้วนทำจากธรรมชาติไม่เหมือนในปัจจุบัน เช่น สีแต่งอาหารจากดอกอัญชัน ใบเตย กลิ่นจากน้ำลอยดอกมะลิ ข้าวเหนียวแช่น้ำตำครกแทนแป้งข้าวเหนียวสำเร็จรูป

ส่วนของไส้ขนม

  1. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ปริมาณ 130 กรัม หรือจะเรียกอีกอย่างว่ามะพร้าวกึ่งอ่อนกึ่งแก่ มีเนื้อสัมผัสนุ่ม ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป จึงนิยมใช้สำหรับใช้ทำไส้ขนม
  2. แป้งข้าวเหนียว ปริมาณ 14 กรัม
  3. น้ำตาลทราย ปริมาณ 93 กรัม ใช้น้ำตาลทรายขาวเพราะจะทำให้ขนมของเรามีสีสันที่สวยงาม
  4. น้ำลอยดอกมะลิ ปริมาณ 2/3 ถ้วยตวง เคล็ดลับความหอมของขนม หากใครไม่มีดอกมะลิหรือหาไม่ได้ สามารถใช้สารแต่งกลิ่นแทนได้ค่ะ
  5. เกลือป่น ปริมาณ 1/8 ช้อนชา 

ส่วนของแป้งขนม

  1. แป้งข้าวเหนียว ปริมาณ 354 กรัม
  2. เกลือป่น ปริมาณ ½ ช้อนชา
  3. น้ำลอยดอกมะลิ ปริมาณ 57 กรัม
  4. น้ำอัญชัน ปริมาณ 68 กรัม 
  5. น้ำใบเตย ปริมาณ 66 กรัม 
  6. กะทิ อบควันเทียน ปริมาณ 16 กรัม
ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย
ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยสอดไส้ หอมอร่อย

วิธีการทำขนมเกสรลำเจียก อร่อยง่าย ๆ เพียงแค่ลองทำ

ในปัจจุบันเราจะหาทานขนมเกสรลำเจียกได้ในบางจังหวัดที่ปลูกมะพร้าวเท่านั้น ทำให้หากินได้อย่างยากลำบาก หรืออาจจะหาทานได้แต่มีรสชาติที่ไม่ถูกปาก เนื่องจากวัตถุดิบและวิธีการทำของบางร้านที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงบางร้านอาจทำออกมาได้หวานเกินไปจนทำให้ผู้กินเกิดอาการเลี่ยน จะดีกว่าไหมคะถ้าเราได้ลองทำเองปรับสูตรตามความชอบ และเราเชื่อว่าหลาย ๆ คนนั้นอาจยังไม่เคยทานขนมไทยชนิดนี้ วันนี้เราจึงนำสูตรไม่ลับมาฝากให้ได้ลองทำทานกันเองที่บ้านอย่างจุใจ ไปดูขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำตาลทราย น้ำลอยดอกมะลิ ลงไปกวนให้น้ำตาลละลายด้วยไม้พายจนกลายเป็นน้ำเชื่อม ใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอยตามลงไปผัดจนมะพร้าวใส เติมแป้งข้าวเหนียวลงไปผัดต่อเร็ว ๆ ให้เข้ากันแล้วยกออกจากเตา แล้วนำช้อนมาปั้นไส้ตามขนาดของขนมที่ต้องการ
  2. ต่อกันด้วยส่วนตัวแป้งสำหรับขนม โดยการนำแป้งข้าวเหนียว 120 กรัม เกลือ 1/8 ช้อนชา กะทิอบควันเทียน 3 ช้อนชา น้ำดอกอัญชัน 5 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในถ้วยแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยมือ ทำซ้ำแบบนี้กับสีอื่น ๆ ที่เตรียมไว้
  3. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนเพราะการที่ไฟแรงเกินไปจะทำให้แป้งไม่ติดกัน แล้วร่อนแป้งลงกระทะด้วยกระชอน โรยให้แป้งบางเสมอกันเป็นแผ่น พอแป้งสุกให้ตักไส้ขนมเกสรลำเจียกที่เตรียมไว้ใส่ลงไปบนแป้งแผ่นบาง ม้วนแผ่นแป้งปิดตัวไส้ พักให้เย็น เพียงเท่านี้ก็สามารถรับประทานขนมสูตรทำเองได้แล้วค่ะ
Categories
เบเกอรี่

คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก

คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก
คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก

ในปัจจุบันนั้นผู้คนให้ความสำคัญกับการควบคุมน้ำหนักเป็นจำนวนมาก เพราะว่าน้ำหนักถือได้ว่าเป็นสัดส่วนที่จะช่วยทำให้ผู้คนมีรูปร่างและรูปลักษณ์ที่ดูดีมากยิ่งขึ้น โดยวันนี้เรามีเมนูสำหรับลดน้ำหนักมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกัน ซึ่งเป็นเมนูที่บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดาเพราะผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักนั้นหาซื้อมารับประทานกันเป็นจำนวนมาก แต่น่าจะดีถ้าทุกท่านสามารถทำรับประทานเองได้ที่บ้าน เพราะมีขั้นตอนและวิธีการทำที่ไม่ยากเลยนั่นก็คือ คุกกี้ธัญพืช ท่านรับประทานคุกกี้เข้าไปแล้วซึ่งเขาเป็นเมนูยอดฮิตในปัจจุบันและมีวางขายตามร้านอาหารครีมทั่วไป ไปดูกันเลยว่าเขามีขั้นตอนในการทำและมีส่วนผสมหลักสำคัญอะไรบ้างที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญ

คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก
คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก

คุกกี้ลดน้ำหนักสำหรับคนที่ทานอาหารคลีน

ถ้าหากจะพูดถึงคุกกี้ที่ช่วยในการลดน้ำหนักแล้วคงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคุกกี้ธัญพืช เป็นขนมเบเกอรี่ที่ผู้คนนิยมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากให้รสชาติที่กลมกล่อมหวานละมุนลิ้นแต่ยังเป็นเมนูอาหารคลีนที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ซึ่งเขามีส่วนผสมหลักสำคัญที่จะช่วยทำให้ทุกท่านนั้นรับประทานเข้าไปแล้วจะไม่มีปริมาณแคลอรี่ในร่างกายที่เกินจำนวนต่อ 1 วันอย่างแน่นอน 

ทั้งนี้จะแตกต่างกับขนมหวานที่ท่านทานเป็นประจำเพราะเป็นเมนูที่ถูกคัดสรรมาจากธัญพืชที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธัญพืชที่ให้พลังงานแต่ไม่มีไขมัน ส่วนผสมหลักที่ใช้ในการทำคุกกี้ดังกล่าว ได้แก่ 

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบอบแห้ง 50 กรัม
  • เมล็ดอัลมอนด์ 50 กรัม
  • เมล็ดฟักทอง 50 กรัม
  • งาขาวและงาดำ 25 กรัม
  • ไข่ขาว 2 ฟอง
  • ลูกเกด 50 กรัม
  • น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ 
  • ข้าวโอ๊ตอบแห้ง 100 กรัม

ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักของทุกท่านได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนและวิธีการทำนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

  1. อันดับแรกทุกท่านจะต้องเตรียมส่วนผสมและวัตถุดิบทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายใน 10 นาที 
  2. ใช้ระยะเวลาในการปรุงอาหารเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น 
  3. ต้องเตรียมส่วนประกอบทุกส่วนของเมล็ดธัญพืชเข้าด้วยกัน นำส่วนผสมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต และงาดำ รวมถึงน้ำผึ้งคลุกเคล้าให้เข้ากัน 
  4. หลังจากนั้นใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อที่จะทำให้คุกกี้มีรสชาติ ใส่น้ำผึ้งเพื่อเติมความหวานและคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกรอบ 
  5. นำไข่ขาวแต่ไข่ขาวค่อย ๆ ทยอยเทลงไปเพื่อที่จะทำให้ไขมันไม่จับตัวกันเป็นก้อนมากจนเกินไป เพิ่มความหวานของคุกกี้ด้วยการใส่น้ำผึ้งเพียงเท่านั้นและ Butter เพื่อให้ได้ความหอมเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น
  6. เมื่อเสร็จสิ้นให้ทุกท่านตักใส่พิมพ์และพักทิ้งไว้ ห่อเก็บใส่ถุงพลาสติก เมื่อต้องการที่จะรับประทานให้นำเข้าไปอุ่นในเตาอบหรือไมโครเวฟที่มีอุณหภูมิประมาณ 135 องศา
คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก
คุกกี้ธัญพืช เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก

ธัญพืชส่วนประกอบสำคัญในการทำคุกกี้

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดี การทำคุกกี้เพื่อลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารนั้นจะต้องมีเมล็ดธัญพืชที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักแต่ให้ปริมาณแคลอรี่ที่อิ่มท้องอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนูคุกกี้ธัญพืช รูปแบบไร้แป้งที่ทำมาจากเมล็ดธัญพืชล้วน ๆ อย่างที่เราได้อธิบายให้ทุกท่านฟังข้างต้นแล้วมีส่วนผสมหลักที่สำคัญและมีขั้นตอนวิธีการทำที่ไม่ซับซ้อนทุกท่านสามารถปฏิบัติได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นขนมเบเกอรี่ ที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารคลีนและเข้ายิม

เพื่อเพิ่มโปรตีนและออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับตนเองนั้น ทุกท่านห้ามพลาดเมนูดังกล่าวนี้เด็ดขาด เป็นอย่างไรกันบ้างจากที่เราได้อธิบายข้อมูลให้ทุกท่านได้ทราบกัน ถือได้ว่าเป็นเมนูที่จะช่วยทำให้ทุกท่านนั้นสามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นเมนูที่สามารถทำรับประทานได้ง่าย มีขั้นตอนและวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เมื่อท่านรับประทานไปแล้วจะอิ่มท้องตลอดทั้งวัน ลดอาการหิวโหยระหว่างวันได้เป็นอย่างดี หวังว่าทุกท่านจะชื่อชอบเมนูที่เราได้นำเสนอไว้ข้างตนและนำไปปรับใช้กับสูตรเมนูอาหาร เพื่อการลดน้ำหนักของทุกท่านได้เป็นอย่างดี