Categories
เบเกอรี่

เค้กส้มหน้านิ่ม เค้กยอดนิยมจากผลไม้หาง่าย

เค้กส้มหน้านิ่ม

เค้กส้มหน้านิ่ม เมนูเบเกอรี่ ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นเค้กที่ปราศจากเนื้อครีม จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำตาล หรือกำลังลดน้ำหนัก และไม่ชอบรับประทานครีมที่มีรสชาติหวานเลี่ยนจนเกินไป  เนื้อเค้กราดซอสส้ม ฉ่ำๆ ยิ่งนำมาแช่เย็นแล้วยิ่งทานแล้วฟินชื่นใจ จนกลายเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคน 

แนะนำ เค้กส้มหน้านิ่ม เค้กอร่อยๆ เติมความสดชื่นให้กับร่างกาย

ขนมเค้ก เบเกอรี่อบรสหวานทำมาจากวัตถุดิบหลักคือ แป้ง น้ำตาล และไข่ นิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งในงานเฉลิมฉลองต่างๆทั่วโลก กระแส เค้กส้มหน้านิ่ม กำลังพุ่งกระฉูดแบบไม่มีตก ไม่ว่าใครใช้ สูตรเค้กส้ม ทำขายก็สร้างรายได้ได้อย่างมากมาย ยิ่งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าวในทุกวันขนาดนี้ การทาน เค้กส้ม แช่เย็น จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้จริง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมนูนี้ถูกทำขายในประเทศไทยมากมาย

เค้กส้มหน้านิ่ม

สารพัดประโยชน์จาก “ส้ม” วัตถุดิบหลักวิตามินสูง

วัตถุดิบหลักในการทำ เค้กส้มหน้านิ่ม มาจากผลไม้รสเปรี้ยวที่เพาะปลูกกันมาในหลายๆประเทศกว่าหลายพันปี นอกจากจะทานแล้วสดชื่นคลายร้อนแล้ว ยังเป็น ผลไม้วิตามินสูง  ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ประโยชน์จากการทาน เค้กผลไม้ จากส้มนั้นมีหลากหลาย เช่น มีใยอาหารสูงช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ดี , วิตามินซีสูงในส้มช่วยกระตุ้นภูมิคุ้นกันให้กับร่างกาย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ , น้ำตาลฟรุกโตสในเนื้อส้มช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด , โพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต รวมถึงมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจ และน้ำส้มช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในใต ฯลฯ สิ่งที่เรายกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงประโยชน์ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เค้กส้มหน้านิ่ม

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ เค้กส้ม หน้านิ่ม และวิธีทำซอสส้มด้วยตัวเอง

สูตรเบเกอรี่ เค้กส้มหน้านิ่ม สูตรนี้ เป็นสูตรสำหรับทำทานเอง และทำขายสร้างรายได้และเป็นเมนู เค้กขายดี หรือทำเพื่อเป็นเค้กวันเกิดให้กับเด็กๆ หรือคนพิเศษในวันสำคัญ เป็นเนื้อเค้กสปันจ์เนื้อนุ่มฟู เนื้อสัมผัสละมุนลิ้น ความหวานแต่ไม่เลี่ยน ตัดกันได้ดีกับรสเปรี้ยวของ ซอสส้มหน้านิ่ม ที่ราดลงไปทั่วทั้งเนื้อเค้ก นับว่าเข้ากันเป็นอย่างดี ในบทความนี้เราขอแบ่งส่วนผสม และ วิธีทำเค้กส้มหน้านิ่ม ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของเนื้อเค้กสปันจ์ และซอสส้มโฮมเมททำเองแบบง่ายๆ ดังนี้

วัตถุดิบทำ เนื้อเค้กสปันจ์

  1. ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 4 ฟอง 
  2. น้ำส้มเข้มข้น 30 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 80 กรัม
  4. โอวาเล็ต หรือเอสพี 12 กรัม
  5. ผงฟู 1 ช้อนชา
  6. แป้งเค้ก 100 กรัม
  7. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  8. เนยสดเค็มละลาย 80 กรัม 
  9. สารแต่งกลิ่นส้ม
  10. สีผสมอาหารสีส้ม

วัตถุดิบทำ ซอสส้ม

  1. น้ำเปล่า 375 มิลลิลิตร
  2. น้ำส้มเข้มข้น 180 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 120 กรัม
  4. แป้งกวนไส้ 35 กรัม
  5. เนยสดเค็ม 35 กรัม
  6. สีผสมอาหารสีส้ม
เค้กส้ม หน้านิ่ม

ขั้นตอนวิธีการทำเนื้อเค้ก

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ เค้กส้มหน้านิ่ม เริ่มจากการส่วนผสมของเหลวอย่างใส่ไข่ น้ำตาลทราย และน้ำส้มลงไปในชามผสม ตามด้วยการร่อนส่วนผสมของแห้งลงไป ได้แก่ แป้งเค้ก แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือป่น สุดท้ายปาดเอสพี หรือโอวาเล็ตใส่หัวตะกร้อ (เพื่อช่วยให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดี และขึ้นฟูมากกว่าปกติ) 
  2. เปิดเครื่องผสมอาหาร ตีส่วนผสมทั้งหมดให้หมดผงแป้งด้วยสปีดต่ำ ปิดเครื่องแล้วใช้ไม้พายปาดส่วนผสมที่ติดอยู่ขอบโถให้มารวมกันอยู่ตรงกลาง และเปิดเครื่องตีอีกครั้งด้วยสปีดสูงสุดเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าเนื้อแป้งจะมีสีขาวข้น ขึ้นฟูได้ที่แล้วปาดขอบโถอีกรอบ 
  3. เติมสีผสมอาหารสีส้ม และสารแต่งกลิ่นส้มลงไปตีให้เข้ากันด้วยสปีดเท่าเดิม ตีต่อเป็นเวลา 5 นาที แล้วทยอยเทเนยเค็มละลายที่อุ่นเรียบร้อยแล้วลงไป เมื่อหมดเนื้อเนยแล้วให้ปิดเครื่องปาดโถอีกครั้งเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี และตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี ไม่มีริ้วไขมัน และเศษเนย ปิดเครื่องปาดรอบชามผสมอีกครั้งแล้วตีต่อเป็นเวลา 1 นาที เมื่อเข้ากันดีแล้วปรับลดลงเป็นสปีดต่ำเพื่อไล่ฟองอากาศ เป็นเวลา 30 วินาที
  4. เตรียมพิมพ์เค้กขนาด 2 ปอนด์ รองด้วยกระดาษไขหรือกระดาษรองอบ จากนั้นเทแป้งที่ได้ในขั้นตอนที่ 3 ก่อนจะนำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 45 นาที หรือจนกว่าเค้กจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตามาพักไว้ให้เย็น
เค้กส้ม หน้านิ่ม

ขั้นตอนวิธีการ ทำซอสส้ม และวิธีการราดซอสที่หน้าเค้ก

  1. ขั้นตอนแรกในการ ทำซอสส้ม ให้เตรียมกระทะเทฟล่อน ใส่น้ำเปล่า น้ำส้มเข้มข้น และน้ำตาลทรายลงไปคนให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ จากนั้นใส่แป้งกวนไส้ลงไปคนต่อให้แป้งละลายดี เมื่อหมดเนื้อแป้งแล้วนำไปตั้งเตาด้วยไฟกลาง ระหว่างนี้ให้คนตลอดเวลาจนกว่าส่วนผสมจะข้นเหนียว และคนต่อเนื้อซอสเป็นรอยตะกร้อ และส่วนผสมเดือด ยกลงจากเตาแล้วใส่เนยสดรสเค็มลงไปคนต่อให้ละลายดี เมื่อซอสได้ที่แล้วเติมสีผสมอาหารลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้สวยงามมากยิ่งขึ้น และคนต่อให้เข้ากันกับเนื้อซอส 
  2. นำเนื้อเค้กที่เย็นแล้วออกจากพิมพ์ ก่อนจะตัดสไลด์แบ่งออกเป็น 3 ชิ้นเท่ากัน และปาดส่วนบนของเค้กออก 
  3. เตรียมตะแกรงรองด้วยถาดรองอบ วางเนื้อเค้กชั้นแรกลงไปแล้วตักซอสส้มใส่ลงไประหว่างชั้น ปาดให้ทั่ว และทำซ้ำในชั้นต่อไป ต่อมาชั้นสุดท้ายให้ใช้ซอสส้มปาดด้านข้างตัวเค้กให้ทั่ว เพื่อยึดติดเนื้อเค้กให้เกาะตัวกันดี สุดท้ายคนซอสเล็กน้อยก่อนจะราดลงไปบนหน้าเค้กด้วยความรวดเร็ว และปล่อยให้ซอสไหลลงไปเองตามแรงโน้มโถ่งอย่างสวยงาม (หากตรงไหนที่ซอสส้มไหลไปไม่ถึงให้ราดซอสลงไปปซ้ำได้เลย) นำไปแช่เย็นเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำออกมาตกแต่งตัดแบ่งตามใจชอบ และจัดเสิร์ฟรับประทานได้เลยค่ะ

สนับสนุนโดย : https://paperindustrymag.com

Categories
ขนมไทย

ขนม ต้ม แดง ขนมโบราณ อร่อย ควรค่าแก่การอนุรักษ์

ขนม ต้ม แดง

เมนูขนมไทยของเราในบทความนี้คือ ขนม ต้ม แดง ขนมพื้นบ้าน ของประเทศไทยนับว่าเป็นขนมที่ถูกส่งต่อสูตรกันมาให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานมายาวนานหลายร้อยปี ให้ได้ทำรับประทานกันในครัวเรือน และทำร่วมกันในงานบุญประเพณี พิธีสำคัญต่างๆทางศาสนา เช่น งานบายศรีสู่ขวัญ วันไหว้ครู ฯลฯ โดยเมนูนี้เป็นเมนูที่เหมาะกับมือใหม่ หัดทำขนมไทย แบบง่ายๆ ใช้เวลาทำไม่นาน แต่รสชาติอร่อยคุ้มค่าที่ทำมากเลยทีเดียว ดังนั้น เราจึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เมนูขนมต้ม แบบไทยๆ ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับขนม พร้อมขั้นตอนวิธีการทำขนม

แนะนำ ขนม ต้ม แดง ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว

ขนมต้มแดง คือ ขนมไทยโบราณ ที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และน้ำตาลมะพร้าว ทำให้ตัวขนมนั้นมีสีแดงจากน้ำตาลมะพร้าวสมชื่อ ลักษณะของ ขนม ต้มแดง เป็นแป้งแผ่นกลมแบน โรยด้วยมะพร้าวทึนทึกเคี่ยวกับน้ำตาลรสชาติหวานฉ่ำ เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม ผสานความกรุบกรอบของเนื้อมะพร้าว พร้อมกลิ่นหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าอร่อยทานเพลินไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว

ขนม ต้ม แดง

ประวัติความเป็นมาของ ขนมต้มแดง ขนมที่เกิดขึ้นมาพร้อมศาสนา และตำนาน

หากจะให้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของ ขนมต้ม คงต้องย้อนกลับไปในสมัยสุโขทัยเลยทีเดียว เพราะเกิดขึ้นพร้อมๆกันกับศาสนาพราหมณ์ และลัทธิเกี่ยวกับเทพเจ้า ในอดีตนั้นมีความเชื่อกันว่าเป็น ขนมไทย ที่พระพิฆเนศทรงชื่นชอบ จนมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานว่า ครั้งหนึ่งพระพิฆเนศทรงเสวย ขนมต้มแดง จนเต็มท้อง เมื่อได้ขี่หนูกลับตำหนักแล้วหนูไปเจอเข้ากับงู เกิดความตกใจจึงหยุดลง พระพิฆเนศถึงกับต้องตกจากหลังหนูพุงแตก แต่กลับเสียดายขนม จนต้องหอบโกยเข้าไปเก็บไว้ในพุงดังเดิม และใช้งูตัวนั้นพันรอบพุงไว้นั่นเอง

ขนมที่ปรากฏในเพลง พิธีสู่ขอในสมัยโบราณ

ขนมต้มแดง เป็น ขนมไทยมงคล ที่มีบทบาทในพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น พิธีบวงสรวงเทวดา ยกเสาเอก ตั้งศาลพระภูมิ ถวายแด่องค์พระพิฆเนศเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงพิธีมงคลอย่างพิธีแห่ขันหมากสู่ขอด้วย จนถูกนำ ชื่อของขนมไทย เมนูนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในเพลงสู่ขอสมัยโบราณ ชื่อว่า “เพลงพวงมาลัย” โดยมีเนื้อความส่วนหนึ่งว่า  “โอ้ละเหยลอยมา ลอยมาแล้วก็ลอยไป พ่อแม่ท่านเลี้ยงมายาก จะกินขันหมากให้ได้ ไม่ได้กินหนมต้มอมน้ำตาล น้องไม่รับประทานของใคร พวงเจ้าเอ๋ยมาลัย ถอยกลับไปเถิดเอย” ซึ่งเนื้อความนี้กล่าวถึงขนมต้มอยู่สองชนิด คือ ขนมต้มแดง และขนมต้มขาว ขนมที่ขาดไม่ได้เลยในพิธีแห่ขันหมาก

ขนม ต้ม แดง

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมต้มแดง ขนมไทยโบราณ หาทานยาก

ขนมต้มแดง ในปัจจุบันหาทานได้แค่บางพื้นที่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะได้รับความนิยมน้อยกว่าสมัยก่อนอยู่มาก แต่ก็เป็น ขนมไทยทำง่าย ที่มีวัตถุดิบน้อย และขั้นตอนการทำเพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น คือ การผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปั้นแป้งข้าวเหนียวแล้วต้มให้สุก เคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวกับเนื้อมะพร้าวให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปจัดใส่จานเสิร์ฟแบบง่ายๆ ตามสไตล์ ขนมไทย พื้นบ้าน ที่ทำทานได้โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ไม่มากมายขั้นตอน ไม่ขอพูดพร่ำทำเพลง เราไปเตรียมวัตถุดิบ พร้อมดูสูตรขนมไทยของเรากันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำ ขนมต้มแดง

  1. แป้งข้าวเหนียว 1 ถต.
  2. น้ำเปล่าสำหรับนวดแป้ง ½ ถ้วยตวง
  3. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 150 กรัม
  4. น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
  5. เกลือ 1/3 ช้อนชา
  6. น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
ขนมต้มแดง

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมต้มแดง เริ่มจากการนำแป้งข้าวเหนียวใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำเปล่าสำหรับนวดแป้ง ทยอยใส่ลงไปในระหว่างนวดด้วยมือจนส่วนผสมละลายเข้ากัน จนมีเนื้อเนียน และจับตัวเป็นก้อน 
  2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดตามต้องการ จากนั้นแผ่ออกให้เป็นแผ่นกลมแบน วางลงไปบนภาชนะที่โรยด้วยแป้งนวล เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดภาชนะ หรือติดกันจนเกินไป
  3. เมื่อปั้นแป้งจนหมดแล้วให้ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่แป้งลงไปต้มให้สุก หากแป้งชิ้นไหนสุกแล้วจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ต้มต่ออีกสักครู่เพื่อให้สุกดี จากนั้นตักขึ้นมาน็อคในน้ำเย็น 
  4. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ หน้ากระฉีก เริ่มจากการใส่น้ำตาลมะพร้าวลงไปในกระทะเทฟล่อน ตามด้วยน้ำเปล่า จากนั้นเปิดเตาด้วยไฟอ่อนเคี่ยวน้ำตาลให้ละลาย และใส่เกลือลงไปเคี่ยวต่อให้เข้ากัน เมื่อน้ำตาลเริ่มงวดแล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอยลงไปผัดให้แห้ง ตามด้วยส่วนของขนม ข้าวต้มแดง ที่เตรียมไว้ลงไปผัดด้วยกันเป็นเวลา 3 นาที เสร็จแล้วตักใส่จาน เสิร์ฟรับประทานได้เลยค่ะ
ขนมต้มแดง

บทสรุป

ขนมต้มไทย ที่ได้รับความนิยมทำรับประทานในครัวเรือน มีอยู่สองชนิด คือชนิดแรก ขนมต้มแดง ที่มีลักษณะเป็นขนมแผ่นแป้งกลมบางผสมผสานกับเนื้อน้ำตาลมะพร้าวขูดฝอย คลุกกับน้ำตาลมะพร้าวจนมีสีแดงน่ารับประทาน และ ขนมต้มขาว ที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวเช่นกัน แต่จะมีลักษณะเป็นก้อนกลม มีไส้มะพร้าวเคี่ยวน้ำตาลรสหวานด้านใน ใช้วิธีการต้มจนสุกแล้วโรยด้วยมะพร้าวขูด มักจะนำมารับประทานคู่กันเพื่อตัดรส

สนับสนุนโดย : https://ufaball.bet/เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

Categories
เบเกอรี่

บราวนี่ แครกเกอร์ เอาใจคนรักบราวนี่

แครกเกอร์

หลังจากที่เห็นเมนูขนมอบกรอบอย่าง แครกเกอร์ บราวนี่ ได้รับความนิยมมากมายในโลกโซเชียล ทางเราก็อดใจไม่ไหวที่จะตามเทรนด์ หยิบยกเอาสูตรนี้มาบอกต่อให้ทุกคนได้ทำตามกันง่ายๆ ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือวัตถุดิบมากมาย เพียงแค่มีเตาอบอยู่ที่บ้านก็สามารถทำ เบเกอรี่ยอดนิยม ทานด้วยตัวเองได้แล้ว ใครอยากทานไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อในสภาวะอากาศร้อนๆ หรือสั่งออนไลน์รอนานอีกต่อไปแล้วค่ะ แต่ก่อนอื่นเราจะพาไปรู้จักประวัติความเป็นมา พร้อมเรื่องราวที่น่าสนใจของเมนูนี้กันก่อนที่จะไปลงมือทำ ไปเริ่มกันเลยค่ะ

แครกเกอร์ เมนูเบเกอรี่นี้มีที่มา และเรื่องราวที่น่าสนใจ

CRACKERS หรือแครกเกอร์ คือ ขนมปังชิ้นเล็กรูปทรงหลากหลาย เช่น สี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยม วงกลม ฯลฯ ทำมาจากแป้ง เกลือ และส่วนผสมอื่นๆ ทำให้มีรสชาติหวานผสานความเค็มเล็กน้อย เอกลักษณ์ของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้เห็นจะเป็นความบางกรอบพอดีคำ และด้วยความบางนี้ทำให้ขนมแตกหักง่าย จึงควรบรรจุใส่ภาชนะที่เป็นกล่อง และมีฝาปิด เพื่อไม่ให้ขนมแตกหักในระหว่างพกไปรับประทาน

แครกเกอร์

ประวัติความเป็นมาของ ขนม แครก เกอร์

ขนมขบเคี้ยว แครกเกอร์ชื่อนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นมาในปี ค.ศ.1801 หลังจากเมนู ขนมปังกรอบ นี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1792 โดยชายที่ชื่อว่า JOHN PEARSON เขาอาศัยอยู่ในเมือง NEWBURYPORT ในแมสซาซูเซตส์ และได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ และอเมริกา โดยมีการปรับเปลี่ยนสูตรเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ขนมแครกเกอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท 

แครกเกอร์สามารถแบ่งได้เป็นสมองประเภท คือ แครกเกอร์ที่ไม่ได้ปรุงแต่งรสชาติ ไม่มีรสชาติใดๆ นิยมนำมารับประทานพร้อมกับอาหารคาวหวานเมนูอื่นได้อย่างอร่อยกลมกล่อม เข้ากันเป็นอย่างดี  เช่น พิซซ่า อาหารรสจัด ทูน่า หรือแม้แต่อาหารไทยเมนูต่างๆ และประเภทที่ 2 คือ แครกเกอร์ที่ปรุงแต่งรสชาติแล้ว เช่น รสช็อกโกแลต สตอเบอรี่ เนยสด ฯลฯ แครกเกอร์ประเภทนี้จะได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถทานได้เลยทันที ไม่ต้องทานร่วมกับอาหารเมนูอื่นก็อร่อยได้

แครกเกอร์

ขนมทานเล่น พกติดตัวไว้คลายความหิว

นอกจากแครกเกอร์ จะเป็น ขนมขายดี ในประเทศไทยแล้ว รู้หรือไม่คะว่าเมนูนี้ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนถูกยกย่องว่าเป็น เมนูขายดี ที่สุดในโลก มาอย่างยาวนาน ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัดหยิบทานง่าย พกพาสะดวก นำไปทานได้ทุกที่ทุกเวลา ทานเป็นขนมรองท้องระหว่างทำงาน หรือใช้ทานคู่กับชา กาแฟ หรือนมได้เข้ากันเป็นอย่างดี แถมยังนำไปทานกับอาหารคาวหวานได้ เช่น ทูน่า หรือไข่ เรียกว่าแค่พก ขนมแครกเกอร์ ติดตัว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวระหว่างวันอีกต่อไป

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บราวนี่แครกเกอร์ 

สำหรับ สูตรแครกเกอร์ ของเราในบทความนี้ คือแครกเกอร์ ประเภทที่สอง หรือแครกเกอร์ที่ผ่านการปรุงแต่งมาเรียบร้อยแล้ว โดยเราจะรวมเอาเบเกอรี่ยอดนิยมอย่าง บราวนี่ มาผสมผสานเข้ากับแครกเกอร์ ทำให้ได้ความอร่อยที่เข้ากันมากๆ ด้วยความเข้มข้นของช็อกโกแลต และความกรอบเฉพาะตัวของแครกเกอร์ เชื่อว่าใครที่ชอบทานขนมทั้งสองชนิด หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องถูกอกถูกใจกันอย่างแน่นอน

วัตถุดิบ ทำแครกเกอร์บราวนี่

  1. ดาร์กช็อกโกแลต 185 กรัม
  2. เนยสดรสจืด 80 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. ผงโกโก้ 3 ช้อนโต๊ะ
  5. ไข่ขาว 2 ฟอง 
  6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม
  7. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  8. เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  9. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  10. เม็ดมะม่วงหิมพานต์บด หรือเม็ดช็อคชิพปริมาณตามชอบ
บราวนี่กรอบ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำแครกเกอร์ บราวนี่ เริ่มจากการละลายช็อกโกแลตกับเนยสดรสจืด โดยการนำไปเข้าไมโครเวฟจนละลายดี (นำออกมาคนทุก 30 วินาที เพื่อให้เนื้อเนียน) จากนั้นนำออกมาคนเช็คเนื้อว่าละลายดีหรือไม่ เสร็จแล้วพักไว้อุ่น
  2. ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลทรายลงไปในชามผสม ตีด้วยตะกร้อมือจนส่วนผสมละลายดี จากนั้นใส่ช็อกโกแลตที่ละลายไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปคนผสมให้เข้ากัน (ระหว่างนี้ให้วอร์มเตาอบรอด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่างเปิดพัดลมเป็นเวลา 20 นาที) ร่อนของแห้งลงไปในชามผสม (แป้งอเนกประสงค์ ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา และเกลือป่น) คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งจนละลายดี เมื่อไม่หลงเหลือเม็ดแป้งหรือส่วนผสมอื่นๆแล้วใส่สารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไปเพิ่มกลิ่นให้หอมมากยิ่งขึ้น
  3. เตรียมชามผสมรองด้วยกระดาษรองอบ หรือกระดาษไข เทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไปแล้วใช้ไพ่ หรือที่ปาดเกลี่ยด้วยความหนาตามชอบ (ต้องไม่หนาและไม่บางจนเกินไป เพราะหากหนาเกินไปจะทำให้ไม่กรอบ และเมื่อบางเกินไปจะทำให้เนื้อขนมหักไม่เป็นชิ้น) โรยหน้าขนมด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มความมัน กรุบกรอบ กดให้เข้ากับเนื้อขนมเล็กน้อย
  4. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศาไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 10-12 นาที จนกว่าขนมจะสุกดี ครบเวลาแล้วให้นำออกมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำในระหว่างร้อนๆ จะช่วยให้ตัดเป็นทรงสวยงามมากยิ่งขึ้น พักไว้ให้เย็นตัว ขนมแครกเกอร์ จะแข็งกรอบเป็นแผ่นพร้อมรับประทาน หรือจะเก็บใส่กล่องบรรจุไว้รับประทานก็ได้นะคะ
บราวนี่กรอบ

สนับสนุนโดย : https://ufaball.bet

Categories
เบเกอรี่

ขนม โดนัท สูตรเบเกอรี่ทำง่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ขนม โดนัท

ใครชอบทานเบเกอรี่ ห้ามพลาด! กับสูตรทำเมนู ขนม โดนัท เบเกอรี่ยอดนิยม ที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งประเทศไทย ไม่ว่าจะช่วงอายุ หรือเพศไหนๆก็ต่างต้องตกหลุมรักขนมหวานรูปทรงวงกลม มีรูตรงกลาง หน้าตาคล้ายห่วงมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะไปไหน เราก็มักจะพบเจอ โดนัท ขายอยู่บ่อยครั้ง ตามห้างสรรพสินค้า ตลาดน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยตกแต่งให้สวยงามมีความหลากหลายสีสัน หลากหลายรสชาติ ทั้งมีไส้ และไม่มีไส้ เลือกรับประทานได้อย่างไม่มีเบื่อเลยทีเดียว

ทำความรู้จัก ขนม โดนัท เบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ

ในบทความนี้เราก็มีสาระดีๆเกี่ยวกับ ขนมโดนัท (DOUGHNUT,DONUT) เบเกอรี่แป้งทอด หรืออบ แสนอร่อย มาบอกต่อเรื่องราวน่าสนใจให้ทุกคนได้รู้จักกับ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้ให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามีรสชาติอร่อยถูกปาก หรือร้านเบเกอรี่ชื่อดังในประเทศไทยอย่าง โดนัท KRISPY KREME หรือ โดนัท มิสเตอร์โดนัท  เพียงเท่านั้น นอกจากนี้เรายังมีสูตรทำโดนัทง่ายๆมาให้ได้ทำตามกันอีกด้วย

ขนม โดนัท

ประวัติความเป็นมาของ โดนัท 

ประวัติ โดนัท นั้นมีมายาวนานหลายร้อยปี โดยนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ โดนัท ในประเทศอเมริกา จึงได้มีการสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองแมนแฮตเตน หรือนิวอัมสเตอร์ดัม ในช่วงปี ค.ศ.1800 ผู้ค้นพบสูตร ขนมโดนัท คือชาวดัตช์ที่อพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา ในสมัยล่าอาณานิคม เริ่มจากการนำแป้งเค้กไปทอด จนเวลาต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1847 “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” แม่ของกัปตันเรือนิวอิงแลนด์ ได้นำส่วนผสมต่างๆเช่น อบเชย เปลือกมะนาว ลูกจันทน์เทศ ฯลฯ มาให้ลูกชายใช้เป็นเสบียงในการเดินทาง ลูกชาย และลูกเรือของเขาจึงได้นำวอลนัทมาวางตรงกลางขนม และเรียกขนมชนิดนี้ว่า “โดนัท”

ทำไม โดนัท ถึงมีรูตรงกลาง?

รู้หรือไม่ว่าในอดีตนั้น ขนมโดนัท ไม่ได้มีรูตรงกลางเหมือนอย่างในปัจจุบัน แต่สาเหตุที่ก่อเกิด รูตรงกลางของโดนัท ขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องต่อจากเรื่อวของ “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” คือ ลูกชายของเธอ “แฮนสัน เกรกอรี่” หรือกัปดตันเรือ ไม่ชอบ โดนัทโบราณ รูปวงกลมที่แม่ของเขาทำ เนื่องจากมันอมน้ำมันมากจนเกินไป เขาจึงได้ใช้ขวดพริกไทยเจาะรูตรงกลาง พบว่ามันอร่อยขึ้น เขาจึงได้นำมาบอกต่อให้กับแม่ของเขาได้รู้ และนี่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ โดนัท มีรู ที่เรารับประทานกันจนถึงทุกวันนี้

ขนม โดนัท

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ โดนัท สูตรไม่ต้องนวด

ขนมโดนัท มีวัตถุดิบสำคัญคือ แป้งสาลี ไข่ และไขมัน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งไขมันเนย , ไขมันจากพืช นอกจากนี้ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ วัตถุดิบที่นำมาปรุงแต่ง โดนัท กลม เพิ่มกลิ่น สีสัน และรสชาติของขนม ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนการทำ โดนัททอด เมนูนี้ก็แสนจะง่ายดาย ไม่ต้องเปลืองเวลานวดแป้งอีกต่อไป และยังสนุกไปกับการตกแต่งหน้าตาขนมให้เป็นไปดั่งใจหวังได้อีกด้วย

วัตถุดิบทำ ขนมโดนัท

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 195 กรัม 
  2. ยีสต์ 1 ช้อนชา
  3. นมสดรสจืดอุ่น 110 มิลลิลิตร
  4. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ 
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ไข่ไก่ เบอร์2 1ฟอง
  8. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  9. น้ำมันสำหรับทอดโดนัท 1 ขวด

วัตถุดิบทำ หน้าน้ำตาลไอซิ่ง

  1. น้ำตาลไอซิ่ง 240 กรัม 
  2. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  3. นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  4. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม ตามชอบ
ขนมโดนัท

ขั้นตอนวิธีการทำ โดนัท แฟนซี

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมโดนัท เริ่มต้นจากการใส่นมอุ่น ยีสต์ และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในชามผสม คนให้ละลายเข้ากันแล้วพักไว้ให้ยีสต์ทำงานเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะมีฟองขึ้นมา (หากยีสต์ตายแล้วให้ทำใหม่นะคะ) 
  2. เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือ ไข่ไก่ (ตีให้พอแตกก่อนใส่นะคะ) น้ำมัน และสารแต่งกลิ่นวานิลลาใส่ลงไป ก่อนจะใช้ไม้พายคนผสมให้เข้ากันจนแป้งจับตัวเป็นก้อน ห่อหุ้มชามผสมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะฟูขึ้นเป็น 2 เท่า 
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้เตรียมถาดรองอบ โรยด้วยแป้งสาลีอเนกประสงค์ให้ทั่ว และใส่ส่วนผสมของแป้งที่พักไว้วางลงไป โรยด้วยแป้งอเนกประสงค์อีกครั้ง ก่อนจะปั้นแป้งเป็นรูปวงรีรีดแป้งด้วยไม้นวดแป้งให้แบนแล้วใช้แก้วน้ำกดลงให้เป็นรูปทรงวงกลม จากนั้นแยกชิ้นวงกลมออกมา และใช้พิมพ์กดวงกลมที่เล็กกว่ากดลงไป เพื่อมีรูตรงกลางเป็นรูปทรงโดนัท
  4. เตรียมถาดรองอบ ทาด้วยน้ำมันบางๆให้ทั่ว ก่อนจะวางโดนัทที่เตรียมไว้ลงไป และห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 40 นาที หรือจนกระทั่งแป้งขึ้นฟู 
  5. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนแล้วปรับไฟเป็นไฟอ่อนค่อนกลาง แล้วใช้ที่ตักแป้งตักโดนัทมาทอดลงในน้ำมันร้อนๆ เมื่อด้านล่างสุกแล้วให้ใช้ตะเกียบพลิกด้าน เพื่อให้สุกเหลืองทั่วกันทั้งสองรอบ เสร็จแล้วนำไปพักไว้บนตะแกรง เพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน
  6. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ ไอซิ่งสำหรับเคลือบหน้าโดนัท เริ่มจากการนำน้ำตาลไอซิ่ง นมสดรสจืด และกลิ่นวานิลลาใส่ลงไปในชามผสม ใช้ช้อนคนผสมให้ละลายเข้ากัน (หากใครต้องการเพิ่มสีสันให้สวยงามน่ารับประทาน สามารถเติมสีผสมอาหารลงไปได้ในขั้นตอนนี้นะคะ) 
  7. ใช้ที่คีบคีบโดนัทไปคว่ำหน้าเคลือบน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 6 เสร็จแล้ววางไว้บนตะแกรง ตกแต่งด่วยวัตถุดิบตกแต่งหน้าขนมได้ตามชอบ รอให้แห้งดี และรับประทานได้เลยค่ะ
ขนมโดนัท

สนับสนุนโดย : https://paperindustrymag.com

Categories
ขนมไทย

ขนม ไข่ปลา ขนมโบราณ หนึ่งในขนมหาทานยาก

ขนม ไข่ปลา

สวัสดีคนรักขนมไทยทุกๆคนค่ะ ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ขนมไทยพื้นบ้าน อีกหนึ่งชนิดที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด ซึ่งขนมไทยที่เรากำลังจะกล่าวถึงคือ ขนม ไข่ปลา สีเหลืองนวล ขนมรูปร่างเป็นเส้นไขว้พาดกัน คล้ายกับไข่ของปลาสลิด เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แถมยังเป็นขนมไทยที่หาทานได้ยากมาก มีเพียงบางเจ้าที่ ทำขนมไทยขาย เท่านั้นในปัจจุบัน หลายคนจึงไม่เคยได้พบเจอ หรือรู้จักกับขนมไทยชนิดนี้

ขนม ไข่ปลา ขนมพื้นบ้านของจังหวัด สุพรรณบุรี อ่างทอง

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า เมนูขนมหวาน ของเราในบทความนี้ ไม่ได้หาทานได้ง่ายๆเหมือนขนมไทยทั่วไป หากอยากรับประทาน ขนมไข่ปลา สูตรต้นตำรับ ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดสุพรรณบุรี หรือจังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่นิยมทำ ขนมไทยโบราณ เมนูนี้ เพราะเป็นจังหวัดที่มีการปลูกต้นตาลเยอะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการ ทำขนมไทย เมนูนี้ (แต่หากใครอยากทานก็สามารถใช้สูตรที่เรานำมาบอกต่อ ทำทานเองได้ง่ายๆ)

ขนม ไข่ปลา

ประวัติความเป็นมาของ ขนมไข่ปลา ขนมมงคลสีเหลืองนวล

ขนมไข่ปลา มีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนา ในอดีตมักจะทำ ขนมไทยมงคล เมนูนี้ประกอบในเทศกาลสำคัญ เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ และทำถวายวัดในงานบุญประเพณีต่างๆ จนเวลาต่อมาก็ได้มีการดัดแปลง สูตรขนมไทย เพื่อให้อร่อยเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น โดยยังคงใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และทำขึ้นเพื่อเลี้ยงแขกบ้านแขกเมือง

บอกต่อความอร่อยของ ขนมไข่ปลา 

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน ขนมไทยโบราณ แต่ ขนมไข่ปลา นั้นมีความพิเศษแปลกใหม่ ไม่แพ้ขนมไทยยอดนิยม เรียกได้ว่าเป็น ขนมโบราณ ที่ไม่โบราณสมชื่อ รสชาตินั้นอร่อยล้ำไปไกลมาก ในหนึ่งชิ้นประกอบด้วยรสชาติ หวาน มัน เค็ม เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มกำลังดี กรุบเนื้อมะพร้าวทึนทึก ผสานกลิ่นหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อตาล ใครได้ทานสักครั้งต่างต้องติดใจกันทุกๆราย

ขนม ไข่ปลา

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมไทยหาทานยาก

ขั้นตอนการทำ ขนมไข่ปลา นั้นนอกจากขั้นตอนกาเตรียมเนื้อตาลแล้ว สำหรับมือใหม่ หัดทำขนม สามารถใช้เนื้อตาลสุกสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปแทนการทำเองได้ เพื่อความง่าย และสะดวกในการทำมากยิ่งขึ้น และหากใครไม่ชอบทานเนื้อตาลก็สามารถปรับสูตร โดยการใช้ฟักทองสุกแทนได้ จึงนับได้ว่าไม่ได้มีความยาก หรือซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย ในขั้นตอนการทำที่เรานำมาแนะนำจึงใช้เวลา ทำขนม ไม่นาน เพียงต้องอาศัยเทคนิคทางศิลปะเล็กน้อย เพื่อปั้นขนมให้มีรูปร่างคล้ายไข่ปลา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญ 

วัตถุดิบทำ ตัวขนมไข่ปลา

  1. เนื้อตาลสุก 4 ช้อนโต๊ะ
  2. มะพร้าวทึนทึกขูดนึ่ง ปริมาณตามชอบ
  3. น้ำเปล่า

วัตถุดิบทำ น้ำเชื่อม

  1. น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร
  2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  3. ใบเตย 1 มัด
  4. เกลือ 1/2 – 1 ช้อนชา
ขนมไข่ปลา

ขั้นตอนวิธีการทำ ขนมไข่ปลา โรยหน้ามะพร้าวทึนทึก

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมไข่ปลา เริ่มจากการใส่แป้งทั้งสองชนิด คือ แป้งข้าวเหนียว และแป้งข้าวเจ้าลงไปในชามผสม ตามด้วยเนื้อตาลสุก จากนั้นนวดคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันจนสามารถปั้นได้ ระหว่างนวดให้ทยอยใส่น้ำลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมไม่แห้งจนเกินไป เสร็จแล้วห่อชามผสมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 20 นาที เพื่อให้แป้งอิ่มน้ำ และนิ่มมากยิ่งขึ้น
  2. ระหว่างรอให้นำเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาห่อด้วยผ้าขาวบาง ก่อนจะนึ่งให้ร้อนเป็นเวลา 5 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้มะพร้าวเสียง่าย
  3. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้ปั้นขนมเป็นรูปไข่ปลา โดยปั้นให้เป็นเส้นแล้วบีบปลายเส้นเข้าหากันให้เป็นรูปเป็นร่าง ปั้นต่อจนกว่าส่วนผสมที่เตรียมไว้จะหมด
  4. ใส่น้ำเปล่า และน้ำตาลทรายลงไปในหม้อ ก่อนจะเปิดเตาด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่ใบเตยลงไปเคี่ยวด้วยกันจนกว่าส่วนผสมจะละลายทั้งหมด จากนั้นแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่ง (ประมาณ 3 ทัพพี) ใส่ชามผสม ผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เพื่อเก็บไว้แช่ขนมไข่ปลา เสร็จแล้วให้ปรุงรสน้ำเชื่อมในหม้อด้วยเกลือเล็กน้อย คนให้ละลายเข้ากัน
  5. ปรับไฟเป็นอ่อนแล้วนำตัว ขนมไข่ปลา ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปต้มในหม้อ เมื่อด้านที่โดนน้ำสุกแล้วให้กลับด้านขนม ทำการต้มต่อจนกว่าจะสุกดี และนำไปแช่ในน้ำเชื่อมที่แบ่งไว้เป็นเวลา 10 นาที เพื่อให้ตัวขนมเงางามขึ้น
  6. ตักตัวขนมไข่ปลาที่เตรียมไว้มาคลุกกับเนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ก่อนจะนำไปจัดใส่จานให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้น รับประทานได้เลยค่ะ
ขนมไข่ปลา

บทสรุป

สูตรขนมไข่ปลา ของเราในบทความนี้ คงทำให้หลายคนได้ทำความรู้จักกับ เมนูขนมไทย เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนู รวมถึงๆรู้ว่าการ ทำขนมไทย ที่มีสูตรส่งต่อความอร่อยกันมารุ่นสู่รุ่น ขั้นตอนต่างๆนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด แถมยังสามารถนำสูตรขนมเหล่านี้มาทำขายสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และโพสต์ขายในโลกออนไลน์ได้ทันที ยิ่งเป็นขนมที่หาทานได้ยากด้วยแล้ว รับรองว่าขายง่ายขายดีแน่นอนค่ะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/สมัครบาคาร่า888

Categories
ขนมไทย

ขนม ข้าว แต๋น ขนมไทยดั้งเดิมที่ใช้ข้าวเหนียว

ขนม ข้าว แต๋น

ขนม ข้าว แต๋น ขนมไทยโบราณ ของทางภาคเหนือ ตัวขนมเป็นรูปวงกลมทำมาจากข้าวเหนียวนึ่ง ซึ่งนิยมรับประทานกันทั้งประเทศไทย เราจึงมักจะพบเจอ ขนมไทยข้าวแต๋น ได้ในภาคอื่นๆด้วยเช่นกัน และสำหรับคนที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน ขอบอกเลยว่าต้องลองรับประทานกันดูสักครั้ง ด้วยรสชาติที่หวานหอมของน้ำตาลโรยหน้าที่แห้งสนิท แต่ยังคงความหนึบคล้ายคาราเมล ผสมผสานกับเนื้อสัมผัสของข้าวเหนียวที่ผ่านการทอดมาจนกรุบกรอบ นับว่าอร่อยทานเพลินจนหยุดทานไม่ได้เลยทีเดียว

แนะนำ ขนม ข้าว แต๋น ขนมของฝาก จากจังหวัดลำปาง

สำหรับ ขนมข้าวแต๋น นั้น นับว่าเป็น ขนมของฝาก ขึ้นชื่อของภาคเหนือ มักจะนิยมทำเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง นักท่องเที่ยว หรือผู้มาเยือนยังพื้นที่ และหากใครได้มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงงานทำบุญใหญ่ หรือที่เรียกกันว่างานบุญล้านนา ชาวบ้านในพื้นที่ก็มักจะทำประกอบในพิธีด้วย และด้วยความนิยมของขนมข้าวแต๋น จึงกลายเป็น ขนมทำขาย สร้างรายได้ให้กับชาวลำปาง และชาวบ้านภาคเหนือได้อย่างมหาศาล

ขนม ข้าว แต๋น

ประวัติความเป็นมาของ ข้าว แต๋น

ข้าวแต๋น ประวัติ ความเป็นมานั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด หรือใครเป็นผู้คิดค้น สูตรขนมไทย ขนมข้าวแต๋น ขึ้นมา จึงยังเป็นข้อสันนิษฐานมาจนถึงปัจจุบัน บ้างก็บอกว่าพบหลักฐานบางชิ้นที่บ่งบอกว่ามีแหล่งกำเนิดที่ประเทศจีน บ้างก็บอกว่าเกิดขึ้นในวัดที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือ ซึ่งบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยบังเอิญเก็บข้าวเหนียวเหลือจากการรับประทานมาตากแห้ง แล้วนำมาทอดเพื่อถนอมอาหารให้เก็บรับประทานได้เป็นเวลานาน และยังมีอีกแหล่งข้อมูลกล่าวถึงการทำข้าวเหนียวเพื่อพกติดตัวไปรับประทานประทังชีวิตในช่วงสงครามอีกด้วย

ขนมข้าวแต๋น กับขนมนางเล็ด แตกต่างกันอย่างไร?

หลายคนคงเคยสงสัยว่า ขนมข้าวแต๋น กับ ขนมนางเล็ด เป็นขนมไทยชนิดเดียวกันหรือไม่ และขนมทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเราขอตอบเลยว่าเป็นขนมชนิดเดียวกัน โดยชื่อ ข้าวแต๋น นั้นเป็นชื่อที่นิยมเรียกกันของคนภาคเหนือ ส่วนชื่อ นางเล็ด นั้นเป็นชื่อที่รู้จักกันดีของคนภาคอื่นๆ นั้นเอง

ขนม ข้าว แต๋น

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม ข้าวแต๋นน้ำแตงโม ให้อร่อยหวานดั่งใจ 

หากใครเคยรับประทาน ขนมข้าวแต๋น มาก่อนแล้วจะรู้ดีว่าความอร่อยของ ขนมไทยพื้นบ้าน เมนูนี้อยู่น้ำตาลโรยหน้า เรียกว่าใครชอบทาน ของหวาน แล้วมักจะหยิบชิ้นที่โรยหน้าด้วยน้ำตาลเยอะๆก่อนชิ้นอื่นๆ เราจึงได้นำ สูตรข้าวแต๋นน้ำแตงโม รสชาติหวานอร่อยทั้งส่วนของตัวขนม และที่สำคัญเมื่อทำรับประทานด้วยตัวเองก็สามารถโรยหน้าน้ำตาลได้เยอะตามความต้องการ โดยสูตรของเราก็มีดังนี้

วัตถุดิบทำ ข้าวแต๋น

  1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงูใหม่ (ล้างให้สะอาดแล้วแช่น้ำข้ามคืน) 500 กรัม 
  2. น้ำแตงโม (แตงโมหั่นชิ้นปั่นละเอียด) 200 มิลลิลิตร 
  3. หัวกะทิ 50 มิลลิลิตร
  4. น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 3 ช้อนโต๊ะ
  5. เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
  6. ใบเตยมัด 1 มัด
  7. น้ำมันปาล์มสำหรับทอด 1 ขวด

วัตถุดิบทำ น้ำตาลโรยหน้าข้าวแต๋น

  1. น้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลปี๊บ 450 กรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม
  3. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 40 มิลลิลิตร
ขนมข้าวแต๋น

ขั้นตอนวิธีการทำ ข้าวแต๋นน้ำแตงโม

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมข้าวแต๋น ตั้งหม้อนึ่งใส่น้ำและใบเตยมัดลงไปต้มให้เดือดด้วยไฟกลางค่อนแรง ก่อนจะใส่ข้าวเหนียวเขี้ยวงูคลุมด้วยผ้าขาวบางลงไปในซึ้ง และนึ่งต่อด้วยน้ำเดือดจัดเป็นเวลาประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าข้าวจะสุกดี
  2. ระหว่างรอให้มาปรุงรสน้ำแตงโมด้วยกะทิ น้ำตาลไม่ฟอกสี และเกลือป่น คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี เสร็จแล้วให้นำไปมูนกับข้าวเหนียวสุก โดยการเทข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่นึ่งเสร็จแล้วลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับน้ำแตงโม จากนั้นพักไว้เป็นเวลา 20 นาที เพื่อให้ข้าวเหนียวดูดซึมน้ำแตงโมเข้าไป
  3. เมื่อพักไว้จนครบเวลาแล้วให้เตรียมกระด้งทาด้วยน้ำมันพืชบางๆ (เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดกระด้ง) และใช้ช้อนจุ่มน้ำเล็กน้อยตักข้าวเหนียวใส่ลงไปในพิมพ์คุกกี้ หรือพิมพ์อื่นๆ จุ่มน้ำก่อนใช้ด้วยเช่นกัน (หากหาไม่ได้สามารถใช้ฝากะปิ หรือฝาขนมแทนได้นะคะ) ใช้ช้อนเกลี่ยข้าวเหนียวใส่พิมพ์พอให้เกาะกัน และคว่ำวางลงในกระด้งให้เป็นชิ้นวางให้มีระยะห่างกันเล็กน้อย นำไปตากแดดร้อนจัดเป็นเวลา 2 วัน หรือจนกว่าข้าวเหนียวจะแห้งสนิท
  4. ตั้งกระทะใส่น้ำปาล์มสำหรับทอดลงไป เปิดเตาด้วยไฟแรงจัดวอร์มให้น้ำมันร้อนแล้วปรับเป็นไฟกลาง จากนั้นนำข้าวลงไปทอดให้เหลืองกรอบ แล้วกลับด้านเพื่อให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน เมื่อสุกแล้วให้นำไปพักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน 
  5. ขั้นตอนต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ น้ำตาลโรยข้าวแต๋น เริ่มต้นจากการนำน้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทรายแดง เกลือ และน้ำเปล่าใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นเปิดเตาด้วยไฟกลาง เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดีแล้วปิดเตายกลงมาคนให้ข้นได้ที่ และใช้ช้อนตักส่วนผสมโรยหน้าขนมได้ตามชอบ รอให้น้ำตาลเซทตัวแล้วนำไปรับประทาน หรือแพ็คใส่ภาชนะได้ทันที
ขนม ข้าว แต๋น

บทสรุป

ปัจจุบันการทำ ขนมข้าวแต๋น นั้นถูกปรับสูตรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้เลือกทำเลือกซื้อกันอย่างจุใจ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวแต๋นหลากสี ข้าวแต๋นน้ำแตงโม ข้าวแต๋นหมูหยอง ข้าวแต๋นใบเตย ข้างแต๋นธัญพืช ข้าวแต๋นพริกเผา ฯลฯ และการทำข้าวแต๋น 1 ครั้ง ยังสามารถเก็บไว้ได้ 1–2 สัปดาห์เลยทีเดียว

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
เบเกอรี่

ช็อค บอล เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติเข้มข้น

ช็อค บอล

เนื้อเค้ก และเศษขนมปังที่เหลือ อย่าพึ่งทิ้งนะคะ! เพราะวัตถุดิบเหล่านี้สามารถนำมาแปรรูปให้เป็น ช็อค บอล แสนอร่อย ทำทาน หรือทำขายสร้างรายได้ให้กับเราอีกมากมาย แถมยังเป็นเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วหยิบทานง่าย รับประทานเป็นของว่างยามบ่าย หรือของหวานล้างปากหลังอาหารก็ดี รสชาติถูกปากถูกใจทุกเพศทุกวัย รับรองว่าใครทำขายก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว โดยวิธีทำนั้นก็แสนจะง่ายดาย ไม่ซับซ้อนเลยสักนิด เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำขนมหวานแบบสุดๆ

แนะนำ ช็อค บอล ทำทานเองได้ ทำขายไม่มีขาดทุน!!

มือใหม่ห้ามพลาดกับ เมนูเบเกอรี่ ทำง่าย ที่เราได้หยิบยกสูตรเด็ดอร่อยๆ ทำง่ายไม่ซับซ้อน มาแนะนำให้ได้ลองทำตามกันอีกเช่นเคย ซึ่งนั่นก็คือ ช็อคบอล สูตรขนม เมนูโปรดของใครหลายๆคน เป็นเบเกอรี่ที่สามารถนำขนมปัง เนื้อเค้กเหลือใช้จากการทำขนมต่างๆ เศษเค้กที่รับประทานไม่หมด หรือแม้แต่เนื้อเค้กที่อบผิดพลาดมาบดให้ละเอียดทำเป็นเมนูใหม่ได้ง่ายๆ ขายเพิ่มมูลค่าได้มากมาย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าขนมหวานแล้วละก็ หลังจากรู้จักกับเมนูนี้ ไม่มีขาดทุนแน่นอน

ช็อค บอล

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมช็อคบอล 

ช็อคบอล คือ เบเกอรี่ง่ายๆ ที่ลักษณะภายนอกเป็นก้อนกลม เคลือบด้วยช็อคโกแลตบางๆ ตกแต่งด้วยท็อปปิ้งหลากสีน่ารับประทาน เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสนุ่มนิ่มละมุนลิ้น รสชาติหวานผสานความเข้มข้นของ ขนมช็อคโกแลต อร่อยฟินหยิบทานเพลิน ชิ้นเดียวไม่เคยพอ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องซื้อทีละหลายๆชิ้น แต่หากได้เรียนรู้สูตรง่ายๆจากบทความนี้แล้ว คุณจะสามารถทำขนมทานด้วยตัวเอง และทานจนสะใจเลยค่ะ

ขนมหวานที่สามารถตกแต่งได้หลากหลาย 

นอกจากเมนู ช็อคบอล เบเกอรี่ยอดนิยม จะสามารถทำทานเองได้ง่ายๆแล้ว ยังเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เวลาในการทำไม่นาน และขั้นตอนการทำสนุกสนานไปกับการใช้จินตนาการในการรังสรรค์ ตกแต่งหน้าตาของ ขนมหวาน ชิ้นนี้ โดยทุกคนสามารถตกแต่งเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วเหล่านี้ให้มีความสวยงาม โดดเด่น แตกต่าง และน่ารับประทาน เช่น การโรยหน้าขนมเม็ดน้ำตาล ตกแต่งด้วยซอสหลากรส ตกแต่งให้เป็นรูปตุ๊กตาต่างๆ ฯลฯ ยิ่งตกแต่งได้สวยงามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าของขนมให้สูงขึ้นมากเท่านั้น และแพคเกจจิ้งในการใส่ขนมยังเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของขนมด้วยนะคะ

ช็อค บอล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมช็อคบอล เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ 

ในที่สุดก็มาถึงส่วนที่ทุกคนรอคอยในบทความนี้ กับ สูตรเบเกอรี่ ช็อคบอล เมนูสำหรับมือใหม่ที่กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นการทำขนมเมนูแรกๆ แม้ว่าปัจจุบันความนิยมของ ขนมช็อคบอล จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีสูตรขนมเกิดขึ้นมากมาย แต่สูตรนี้เป็นสูตรที่เราคัดมาแล้วว่าทั้งทำง่าย ใช้วัตถุดิบน้อย และอร่อยถูกใจ โดยเราจะขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ดังนี้

วัตถุดิบทำ ตัวขนมช็อคบอล 

  1. ขนมปัง หรือเนื้อเค้ก 250 กรัม
  2. ผงโกโก้ 35 กรัม
  3. ดาร์คช็อคโกแลต 190 กรัม 
  4. นมข้นหวาน 190 กรัม

วัตถุดิบทำ ช็อคโกแลตเคลือบ และตกแต่งหน้าขนม

  1. ดาร์คช็อคโกแลต 200 กรัม
  2. ไวท์ช็อคโกแลต 150 กรัม
  3. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม เช่น เกล็ดน้ำตาลเคลือบสี ตามชอบ
ช็อคบอล

ขั้นตอนวิธีการทำ ช็อคบอล เบเกอรี่ไม่ใช้เตาอบ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ช็อคบอล เริ่มต้นจากการนำ ขอบ  ขนมปัง หรือเนื้อเค้กแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงไปในโถปั่น ก่อนจะเปิดเครื่องปั่นให้ได้เนื้อละเอียด จากนั้นนำไปใส่ลงไปชามผสม ตามด้วยผงโกโก้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลยค่ะ
  2. นำดาร์กช็อคโกแลตไปละลายด้วยไมโครเวฟครั้งละประมาณ 30 วินาที แล้วนำออกมาคนให้ละลายดี จำนวนสองครั้ง เสร็จแล้วใส่นมข้มหวานลงไปคนผสมให้ละลายเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 ทยอยใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยมือกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 นวดจนกว่าขนมปังหรือเนื้อเค้กจะสามารถปั้นเป็นก้อนได้
  4. ปั้นขนมเป็นก้อนกลม ชั่งน้ำหนักให้ได้ลูกละ 25 กรัม หรือขนาดพอดีคำตามความชอบ เสร็จแล้วนำไปวางเรียงไว้ในถาดรองอบแล้วนำไปแช่ในตู้เย็นจนกว่าจะเซตตัว
  5. ระหว่างรอขนมเซตตัวให้นำดาร์กช็อคโกแลต และไวท์ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบขนมมาละลายด้วยไมโครเวฟ จากนั้นนำ ช็อคบอล ที่แช่เย็นเอาไว้ออกมา 
  6. เตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ ก่อนจะนำช็อคบอลลงไปเคลือบช็อกโกแลตให้ทั่ว โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลให้ทั่วก่อนที่ขนมจะเซตตัว หรือหากใครจะใช้ไวท์ช็อกโกแลตโรยตกแต่งให้เป็นลวดลายก่อนจะตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลก็สามารถทำได้ค่ะ เสร็จแล้วรอให้เซตตัว นำออกจากพิมพ์ใส่ถ้วยกระดาษ หรือภาชนะอื่นๆได้เลยค่ะ
ช็อคบอล

บทสรุป

ช็อคบอล ทำมาจากเศษเนื้อเค้ก หรือเศษขนมปัง ทำให้วัตถุดิบหลักนี้หลายคนมักจะมีติดบ้านอยู่แล้ว ขั้นตอนการทำแสนจะง่ายดาย ใช้วัตถุดิบอุปกรณ์น้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่ไม่เคย ทำขนม มาก่อนเลยก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

สนับสนุนโดย : https://gclubspecial168.com