Categories
เบเกอรี่

เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ใครที่ชื่นชอบการรับประทานขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศส ต้องห้ามพลาดกับเมนูเบเกอรี่ที่เรานำมาฝากให้ได้ทำความรู้จัก และลองทำตามกันง่าย ๆ นั้นก็คือ “เครมบรูเล่” CRÈME BRULEE หรือหากจะให้แปลเป็นภาษาไทยก็มีความหมายว่า “ครีมที่ถูกเผา” ซึ่งก็สื่อความหมายถึงตัวขนมได้เป็นอย่างดี โดยมีลักษณะเป็นเบเกอรี่ชิ้นเล็ก ชั้นแรกเป็นชั้นของคาราเมลกรอบที่ผ่านการเผาไหม้ของน้ำตาล ชั้นล่างเป็นคัสตาร์ดไข่เนื้อเนียนนุ่ม รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ อร่อยถูกปากทุกคนอย่างแน่นอน 

เครมบรูเล่ ขนมหวานที่หลาย ๆ คนหลงรัก

หากใครที่เคยลองทาน เครมบรูเล่ กันมาแล้ว รับรองว่าต้องติดใจขนมหวานชิ้นนี้จนลืมไม่ลงกันแน่ ๆ แต่หากจะให้ไปหาซื้อ เบเกอรี่ เครม บรู เล่ ตามร้านทั่วไปก็เห็นจะเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่จะมีขายตามร้านอาหาร หรือคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสเพียงเท่านั้น และที่สำคัญยังมีราคาแพงกว่าเบเกอรี่ทั่วไป ทั้ง ๆ ที่ใช้ส่วนผสมหลักเพียงไม่กี่อย่าง คือ ไข่ น้ำตาลทราย นม ครีม และวานิลลา เราจึงอยากจะเชิญชวนทุกคนมาลองทำรับประทานกันด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะไปลองทำนั้นอยากให้ทำความรู้จักเมนูนี้กันให้มากขึ้นก่อนนะคะ

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของ เครมบรูเล่ ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ใด หรือใครเป็นผู้คิดค้นกันแน่ แต่ก็มีประวัติที่เก่าแก่ และดูเหมือนจะชัดเจนที่สุด คือ ในตำราอาหารของเชฟชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า “FRANCOIS MASSIALOT” ถูกตีพิมพิมพ์ในปี ค.ศ. 1691 ในตอนนั้นใช้ชื่อของขนมว่า CRÈME BRULEE แต่เมื่อมีการตีพิมพ์ครั้งที่สอง กลับถูกเปลี่ยนชื่อเป็น CRÈME ANGLAISE หรือแครมอองเกลส

ข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อขนม

การที่ตำราอาหารถูกเปลี่ยนชื่อมีข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุว่า เชฟผู้เป็นเจ้าของตำราได้ทราบในภายหลังว่าในประเทศอังกฤษเองก็มี คัสตาร์ดพุดดิ้ง ที่เป็น เมนูขนมหวาน ที่คล้ายคลึงกัน อยู่ในเมนูของ TRINITY COLLEGE ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่ก็ไม่มีชื่อเรียกของเมนูที่ชัดเจน ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1879 คัสตาร์ดพุดดิ้งของฝรั่งเศส ถูกตั้งชื่อว่า TRINITY CREAM แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดจะมาจากที่ใดกันแน่ แต่ในประเทศไทยของเราก็ได้รู้จัก แฃะคุ้นเคยกับเบเกอรี่ที่มีชื่อว่า “เครมบรูเล่” มากกว่าชื่ออื่น ๆ

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

วิธีการจัดเสิร์ฟ และรับประทาน เบเกอรี่ชิ้นเล็ก

โดยปกติแล้วเมนูเบเกอรี่ เครมบรูเล่ จะถูกจัดเสิร์ฟมาในถ้วยเซรามิกขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่า RAMEKIN โดย 1 ชิ้น สำหรับ 1 คนรับประทาน หลังจาก อบขนม เสร็จจะมีการโรยหน้าคัสตาร์ดไข่ด้วยน้ำตาลทรายขาว ก่อนจะใช้อุปกรณ์บิวเทนทอร์ชพ่นไฟเผาให้ไหม้น้ำตาลให้กลายเป็นคาราเมล และมักจะนำไปแช่ให้เย็นก่อนจัดเสิร์ฟ เมื่อรับประทานแล้วจะสัมผัสได้ถึงหน้าขนมชั้นแรกเป็นชั้นคาราเมลบางกรอบ ชั้นต่อไปเป็นคัสตาร์ดเนียนนุ่ม ซึ่งทั้งสองชั้นเข้ากันเป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีการปรับให้เป็นหลายรสชาติ ผสานกับการใส่ผลไม้เพิ่มเข้าไปตัดรสหวาน ให้ได้รสเปรี้ยวอร่อยด้วย

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำเครมบรูเล่

เมื่อเราไปซื้อเบเกอรี่ เครมบรูเล่ รับประทานระหว่างวันคู่กับชา กาแฟ , ทานล้างปากหลังมื้ออาหาร , เป็นของว่างทานเล่น ก่อนมื้ออาหารหลัก ฯลฯ เรามักจะพบว่าเป็นขนมหวานที่มีราคาแพงกว่าเบเกอรี่ทั่วไป โดยหนึ่งชิ้นมีราคาเริ่มต้นที่ 60 บาทขึ้นไปเลยทีเดียว และด้วยสถานการณ์โควิด การออกไปรับประทานขนมหวานข้างนอกก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน จึงอยากแนะนำสูตรวิธีการทำ เบเกอรี่ทำง่าย ให้ได้ลองทำทานกันเองที่บ้าน โดยใช้วัตถุดิบน้อย และเวลาในการทำเพียงไม่นานก็ได้เบเกอรี่แสนอร่อยมารับประทานกันแล้ว

วัตถุดิบ

  1. ไข่แดง 5 ฟอง
  2. นมสดรสจืด 300 มิลลิลิตร
  3. วิปปิ้งครีม 200 กรัม
  4. น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
  5. สารแต่งกลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่นมสดรสจืดลงไปในหม้อแล้วนำไปต้มด้วยไฟอ่อน พอเริ่มเดือดที่ขอบหม้อแล้วให้เติมวิปปิ้งครีมลงไป คนให้เข้ากันแล้วปิดเตาพักไว้สักครู่
  2. นำไข่แดงใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน ทยอยใส่ครีมที่พักไว้ลงไปในระหว่างคนจนกว่าครีมจะหมด (ในขั้นตอนนี้ต้องหมั่นคนเรื่อย ๆ นะคะ เนื่องจากครีมค่อนข้างร้อน หากหยุดคนอาจทำให้ไข่แดงของเราสุกได้) จากนั้นใส่สารแต่งกลิ่นวนิลาลงไปคนให้เข้ากัน และนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในชามผสม
  3. ตักส่วนผสมที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในภาชนะสำหรับอบ จากนั้นนำภาชานะไปวางในถาดรองอบ ใส่น้ำเปล่าลงไปในถาดเล็กน้อยแล้วนำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 40 นาที ครบเวลาแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น
  4. โรยน้ำตาลทรายให้ทั่วหน้าขนมที่อบเสร็จแล้ว ใช้หัวพ่นไฟเผาน้ำตาลให้หน้าไหม้กลายเป็นคาราเมล เป็นอันเสร็จสิ้น รับประทานได้เลยค่ะ
เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเมนู เครมบรูเล่ เบเกอรี่อร่อย ๆ ที่เราได้นำสูตรทำขนมมาฝากให้ได้ลองทำตามกันในบทความนี้ หากใครไม่มีเตาอบก็สามารถใช้ไมโครเวฟทำแทนได้กลายเป็น เบเกอรี่โฮมเมด โดยใช้ไฟสูงประมาณ 4 -5 นาที และนำไปแช่ตู้เย็นก่อนรับประทาน และหากใครไม่มีบิวเทนทอร์ชสำหรับพ่นไฟ ก็สามารถโรยน้ำตาลทรายให้ทั่ว แล้วนำช้อนที่เราใช้ทานข้าวนี่แหละค่ะ ไปลนกับไฟให้ร้อน ก่อนจะวางนาบลงบนผิวหน้าน้ำตาล เพื่อให้น้ำตาลเกิดการ CARAMELIZED หรือการเผาไหม้ของน้ำตาลจนกลายเป็นคาราเมล

Categories
ขนมไทย

ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

ขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับขนมไทยตระกูลทองที่ถูกตั้งชื่อที่เป็นมงคล ใช้ประกอบพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น พิธีมงคลสมรส พิธีเลื่อนขั้น หรือแม้แต่พิธีขึ้นบ้านใหม่ หนึ่งในขนมไทยตระกูลทองยังมีขนมที่หลายคนยังไม่รู้จัก นั่นก็คือ “ขนมทองพลุ” ซึ่งเป็นขนมที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมของต่างประเทศ เป็นได้ทั้งของหวาน และของว่างทานเล่น นำไปรับประทานกับอะไรก็อร่อย ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำจิ้มรสหวาน ในปัจจุบันนิยมนำมาสอดไส้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน

ทำความรู้จัก ขนมทองพลุ ขนมไทยหาทานยาก

ขนมทองพลุ คือ ขนมไทยที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับขนมเอแคลร์ของประเทศฝรั่งเศส หลายคนอาจเห็นเจ้าขนมก้อนกลมนี้แล้วเกิดความคิดว่าเป็นขนมชนิดเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ ก็คือขนมเอแคลร์ที่เปลี่ยนจากการอบแบบเบเกอรี่ มาเป็นการทอดด้วยน้ำมันในกระทะร้อน ๆ กลายเป็นหนึ่งในขนมไทยตระกูลทองที่ชื่อของขนมสื่อความหมายมงคลที่แตกต่างกัน โดยคำว่าทอง สื่อถึงของมีค่า ส่วนคำว่าพลุ สื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง ขนม ทองพลุ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง และการมีชื่อเสียงเปรียบเหมือนพลุที่ส่งเสียงดัง

ขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

ประวัติความเป็นมา

ตามตำนานเล่าสู่กันฟังว่า ขนมทองพลุ ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยพระนารายณ์มหาราช ในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา โดยท้าวทองกีบม้า หรือมาดาม กีมาร์ ราชินีขนมไทยที่รังสรรค์ปรับสูตรขนมจากต่างแดนมาเป็นขนมไทยโบราณหลายชนิด โดยขนม ทอง พลุถูกดัดแปลงมาจากสูตรขนมปาตาชูส์ หรือก็คือเอแคลร์ของประเทศฝรั่งเศส แตกต่างกันตรงที่เอแคลร์ใช้วิธีการอบ ส่วนขนมไทยชนิดนี้ใช้กรรมวิธีการทอดด้วยน้ำมันร้อน ๆ เมื่อทอดสุกแล้วจะขึ้นรูปเป็นทรงกลมสีทองอร่าม และวิธีการทำนี่เองที่ทำให้เกิดชื่อขนมขึ้นมา

พัฒนาการของขนมทองพลุ จากอดีตสู่ปัจจุบัน

ขนมทองพลุ มีลักษณะเป็นแป้งทอดก้อนกลมคล้ายหยดน้ำ สีเหลืองทอง ผิวเรียบเนียน เป็นโพรงกว้างด้านใน รสชาติหวาน และเค็มเล็กน้อย เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน สามารถนำไปรับประทานได้หลายแบบ ในอดีตถือเป็นขนมไทยหาทานยาก คนที่รับประทานได้จะมีเพียงข้าราชการชั้นสูง และผู้ที่มีฐานะร่ำรวยเพียงเท่านั้น ส่วนชาวบ้านธรรมดาจะหาทานได้ยากมาก จนกระทั่งในปัจจุบันได้มีการดัดแปลงสอดไส้ต่าง ๆ ลงไป เช่น ทองพลุไส้หวาน ไส้เค็ม ไส้ผลไม้ต่าง ๆ แต่ไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ไส้ไก่ หรือไส้เค็มนั้นเอง

ขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

วัตถุดิบ ขั้นตอนการทำขนม ทองพลุไส้ไก่

หากใครเคยทำขนมเอแคลร์มาแล้วจะสามารถทำขนมทองพลุได้อย่างง่ายดาย เพราะวิธีการทำไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ และหากคุณเป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ สามารถทำได้ง่ายด้วยเช่นกัน โดยสูตรทำขนมไทยของเราในบทความนี้ มีทั้งสูตรทำตัวขนม และสูตรทำไส้ไก่ หรือไส้เค็มแบบง่าย ๆ แต่รสชาติต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา และหาทานได้ยากมากในปัจจุบัน การทำรับประทานเองถือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด รู้แล้วอย่ารอช้า ไปเตรียมวัตถุดิบ และลงมือทำขนมไทยทำง่ายกันเลย

วัตถุดิบทำขนมทองพลุ

  1. น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร
  2. เนย 50 กรัม
  3. เกลือ ¼ ช้อนโต๊ะ
  4. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  5. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 60 กรัม
  6. น้ำมันพืช สำหรับทอดขนม

วัตถุดิบทำไส้ขนม (ไส้ไก่)

  1. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  2. หอมใหญ่หั่นชิ้น 20 กรัม
  3. แครอทหั่นชิ้น 20 กรัม
  4. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  5. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  8. พริกไทยขาว ¼ ช้อนโต๊ะ
  9. เนื้อไก่บด 150 กรัม
  10. พริกชี้ฟ้าซอย ปริมาณตามชอบ
  11. ผักชี ปริมาณตามชอบ
ขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

ขั้นตอนวิธีทำ

  1. ขั้นตอนแรกตั้งหม้อด้วยไฟอ่อนใส่น้ำสะอาด ตามด้วยเนย และเกลือ เมื่อส่วนผสมเริ่มเดือดแล้วให้ยกออกจากเตา ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ใส่ลงไป คนให้ละลายเข้ากันจนเป็นเนื้อแป้งสุกมีสีใส และเริ่มจับตัวเป็นก้อน พักไว้ให้อุ่น
  2. เมื่อแป้งอุ่นแล้วให้ใส่ไข่ไก่ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ก่อนจะตั้งหม้อด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่น้ำมันพืชประมาณ 1/3 ของหม้อ หรือกระทะ รอให้เดือดแล้วใช้ช้อนตักแตงโต หรือช้อนทรงกลมตักขนมใส่ลงไปในน้ำมัน เมื่อสุกเหลืองแล้วให้พลิกด้านทอดอีกด้านให้สุกเท่ากัน (ขั้นตอนนี้ขนมจะพองเป็นก้อนกลม เป็นทองพลุสมชื่อเลย) สุกแล้วให้นำออกมาพักไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน 
  3. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่น้ำมันพืช แครอท และหอมหัวใหญ่ คนจนส่วนผสมเริ่มสุกแล้วให้ใส่น้ำเปล่าลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาล และพริกไทยขาวลงไปคนให้เข้ากันแล้วใส่เนื้อไก่บดลงไปคนให้แตกตัว และแห้ง
  4. ใช้มีดผ่าตรงกลางขนมทองพลุ แล้วตักไส้ใส่ตรงกลาง ตกแต่งหน้าขนมด้วยพริกชี้ฟ้าซอย และผักชี เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำขนมง่าย ๆ ค่ะ
ขนมทองพลุ
ขนมทองพลุ ขนมไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากขนมต่างชาติ

เคล็ดลับในการทำขนม

นอกจากขั้นตอนวิธีทำ ขนมทองพลุ พร้อมไส้ไก่แสนอร่อยแล้ว เรายังมีเคล็ดไม่ลับมาบอกต่ออีกด้วย คือ ต้องร่อนแป้งก่อนแล้วจึงผสมลงไปในส่วนผสมของเนย และน้ำ จากนั้นกวนด้วยความรวดเร็ว ห้ามให้แป้งจับตัวเป็นเม็ด เสร็จแล้วให้รอให้ส่วนผสมเย็นก่อนค่อยใส่ไข่ลงไป และสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการทอดขนมในกระทะทอง เพราะเป็นกระทะที่นำความร้อนได้ดี กระทะจะร้อนไว และร้อนต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ เหมาะกับการทำขนมมาก ๆ ค่ะ

บทสรุป

เชื่อว่าหลังจากจบบทความนี้ ทุกคนคงได้รู้จักกับขนมทองพลุ ขนมไทยโบราณของเรากันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมา และเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับขนม พร้อมสูตรวิธีทำง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปรับสูตรใส่ไส้อื่น ๆ ได้ตามความต้องการ ตามแต่ความชอบของแต่ละคน หรือใครที่ไม่ชอบใส่ไส้ก็สามารถทำแค่ตัวขนมแล้วนำไปรับประทานควบคู่กับ ชา กาแฟ นมข้น หรือแม้แต่จิ้มกับแยมก็อร่อยด้วยเช่นกัน อย่าลืมนำสูตรขนมดี ๆ รสชาติอร่อย ไปลองทำตามกันดูสักครั้งนะคะ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Categories
เบเกอรี่

มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

หากจะให้จัดอันดับขนมหวานที่มีกระแสมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในปี 2022 คงต้องยกให้ “มาการอง” ติดท็อปอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนาทีนี้ในประเทศไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก เบเกอรี่ฝรังเศสที่มีลักษณะเป็นคุกกี้สีหวานสองชิ้นประกบกัน สอดไส้หลากรสด้านใน เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ทำให้เบเกอรี่ชิ้นนี้ดูมีเอกลักษณ์น่าหลงใหลกว่าเบเกอรี่ไหน ๆ นิยมทำขายตามร้านเบเกอรี่ และร้านกาแฟ คาเฟ่ต่าง ๆ ไม่ว่าเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ใครได้เห็นก็เป็นอันต้องซื้อติดกลับไปรับประทานที่บ้านกันแทบทุกราย 

มาการอง ขนมหวานกระแสแรงไม่มีตก

มาการอง คือ เบเกอรี่คุกกี้ขนาดเล็กที่มีความพิเศษกว่าชิ้นอื่น ๆ ตรงที่ตัวขนมหวานนี้ทำมาจากส่วนประกอบอัลมอนด์ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ผสานกับไข่ขาว และน้ำตาล เสริมความสวยงามด้วยการใส่สีสันสดใสสองชิ้นประกบกัน และสอดไส้ครีมตรงกลางหลากรส เช่น วานิลลา ช็อกโกแลต อัลมอนด์ หรือแม้แต่ผลไม้ตามฤดูกาล ในบางชิ้นจึงมีรสชาติที่แตกต่างกัน ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แบบอร่อยครบรสเลยทีเดียว นิยมนำมารับประทานคู่กับชา กาแฟ เข้ากันเป็นอย่างดีเลยค่ะ อย่าพลาดที่จะลองรับประทานด้วยตัวเองนะคะ

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ประวัติความเป็นมา

ขนมหวานทานเล่นอย่างมาการองมีต้นกำเนิดที่ประเทศฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งในช่วงนั้นต้องบอกเลยว่าเป็นยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่มาก จนถึงขั้นข้าวยากหมากแพงเลยก็ว่าได้ เวลาต่อมาได้มีมิชชันนารีชาวอิตาเลียนที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ได้นำของที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีราคาไม่แพงในสมัยนั้นมาประกอบอาหารแล้วอบในเตา หลังจากอบเสร็จก็ได้กลายเป็นเบเกอรี่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับจานบิน และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา

จุดเริ่มต้นความนิยมของคุกกี้สีหวาน 

สิ่งที่ทำให้เบเกอรี่ขนมหวาน MACARON นี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น คือ เจ้าพ่อขนมหวาน PIERRE HERME (ปิแอร์ เออร์เม่) ได้รังสรรค์ให้มีไส้อยู่ตรงกลาง โดยใช้ผลไม้จากทุกมุมโลกมาทำเป็นไส้ขนมได้อย่างเข้ากัน เกิดเป็นมาการองยุคใหม่ที่ถูกปรับปรุงสูตรเบเกอรี่ให้อร่อยกลมกล่อมมากขึ้น และด้วยรูปร่างหน้าตาของขนมที่น่ารับประทาน และรสชาติที่โดดเด่น ทำให้กลายเป็นขนมหวานยอดนิยมของคนทั่วโลก และกลายเป็นขนมในตำนานที่นักทำขนมอบหลาย ๆ ประเทศต่างคลั่งไคล้หลงใหลจนเป็นแฟชั่นในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ที่มาของชื่อขนม MACARON 

ในสมัยก่อนคนส่วนใหญ่จะสับสนระหว่างชื่อของขนมที่เรียกว่า มาการอง (MACARON) หรือ แมคารูน (MACAROON) เป็นคำถาษาอังกฤษที่แปลมาจากชื่อขนมฝรั่งเศส ที่มักจะสะกดกันผิดอยู่บ่อย ๆ จึงได้มีการเปลี่ยนจากภาษาฝรั่งเศสมาใช้ภาษาอังกฤษแทน เพื่อให้แตกต่างกัน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังสะกดชื่อผิดอยู่เหมือนเดิม ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสองชื่อก็ล้วนแต่มาสื่อถึงขนมชนิดเดียวกัน เพียงแค่การตีความหมายของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันเพียงเท่านั้น

ขนมหวานที่มีประโยชน์

มาการอง เป็นอีกหนึ่งขนมที่มีประโยชน์ เพราะมีส่วนผสมของแป้งอัลมอนด์ และไข่ขาวที่มีสารอาหารส่งผลดีต่อร่างกาย อุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยสร้างพลังงานที่ดี รวมถึงมีระดับคอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ นอกจากนั้นยังมีวิตามิน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และธาตุเหล็ก ดังนั้น การทานขนมหวานรสชาติอร่อยนี้ จึงถือเป็นสิ่งที่ดี และยังช่วยให้อารมณ์ดีจากความหวานของน้ำตาลอีกด้วย

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

การทานมาการองมากเกินไป ไม่ดีต่อสุขภาพ

แม้ว่ามาการองจะมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่หากทานมากเกินไปก็ยังส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้อีกด้วย ข้อแรกที่หลาย ๆ คนรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับการทานขนมหวาน คือ ในหนึ่งชิ้นมีแคลอรี่มากถึง 100 แคลอรี่ จึงไม่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก , ทำให้ฟันผุจากน้ำตาลในปริมาณมาก และน้ำตาลยังส่งผลเสียต่อตับที่ไม่สามารถดูดซับได้ทั้งหมด และที่สำคัญไม่เหมาะกับคนที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวาน จึงขอเตือนกันสักนิดว่า ควรทานในปริมาณที่พอดีนะคะ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ MACARON

ปัจจุบันเห็นได้ชัดเลยว่ามีการทำมาการองขายให้เห็นทั่วไปอยู่เยอะมาก ๆ ในราคาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ชิ้นละ 5 บาท จนสูงถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกัน ยิ่งมีการใส่ทองคำเปลวเพิ่มมูลค่าของขนม ยิ่งทำให้มีการตั้งราคาที่สูงขึ้น แต่การทำ MACARON นั้นสามารถทำเองได้ที่บ้าน ขั้นตอนการทำไม่ยาก และไม่ง่ายจนเกินไป อาศัยเทคนิคการทำขนมเล็กน้อย และใช้สูตรทำขนมที่เรานำมาฝาก เพียงเท่านั้นก็จะสามารถทำขนมทานเองได้ง่าย ๆ โดยใช้วัตถุดิบ และขั้นตอน ดังนี้

วัตถุดิบทำตัวขนม

  1. น้ำตาลไอซิ่ง 1 ถ้วย
  2. แป้งอัลมอนด์ 3/4 ถ้วย
  3. ไข่ขาวอุณหภูมิห้อง 2 ฟอง
  4. น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย
  5. สีผสมอาหาร 1-2 หยด
  6. สารแต่งกลิ่นตามชอบ 1 หยด

วัตถุดิบทำไส้ครีมชีส

  1. ครีมชีสอุณภูมิห้อง 8 ออนซ์
  2. เนยจืดอุณภูมิห้อง 1/2 ถ้วย
  3. น้ำตาลไอซิ่ง 3/4 ถ้วย
  4. สารแต่งกลิ่นตามชอบ 1 หยด
มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำตาลไอซิ่ง และแป้งอัลมอนด์ลงไปในเครื่องบดอาหารพร้อมกัน ทำการบดเพื่อให้ละเอียดมากขึ้น ทำให้ขนมมีความเนียนละมุนขึ้น เสร็จแล้วนำไปร่อนใส่ชามผสม
  2. ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลทรายไปตีด้วยเครื่องผสมอาหารจนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม ตามด้วยสีผสมอาหาร และสารแต่งกลิ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน 
  3. ผสมแป้งอัลมอนด์ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปในส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 และใช้ไม้พายคนตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากัน ไม่เป็นเศษผงแป้ง
  4. เตรียมพิมพ์สำหรับอบขนม รองด้วยแผ่นรองอบแล้วใส่แป้งลงไปในถุงบีบ บีบขนมลงไปเป็นรูปวงกลมขนาดเท่า ๆ กัน และเคาะถาดลงกับพื้นไล่ฟองอากาศ ช่วยให้หน้าขนมเนียนขึ้น (หากยังเห็นฟองอากาศอยู่ ให้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มไล่ฟองอากาศ)
  5. นำขนมเข้าอบด้วยความร้อน 135 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกดี ครบเวลาแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น
  6. ทำไส้มาการอง โดยเริ่มจากการใส่ครีมชีส และเนยลงไปในชามผสม ตีด้วยเครื่องผสมอาหารให้เนียนดี ตามด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และสารแต่งกลิ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน
  7. ใส่ไส้ลงไปในถุงบีบแล้วบีบใส่ไส้ ก่อนจะนำขนมสองชิ้นมาประกอบกันเป็นอันเสร็จสิ้น
มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

บทสรุป

จบไปแล้วกับประวัติความเป็นมา เรื่องน่ารู้ และสูตรวิธีทำมาการองแบบง่าย ๆ ที่เราเชื่อว่าหากมีความตั้งใจ ทุกคนต้องทำได้อย่างแน่นอน อย่าลืมลองทำตามกันดูสักครั้งนะคะ รับรองได้เลยว่ารสชาติของขนมที่ทำเองนี้ อร่อยกว่าขนมราคาแพงในหลาย ๆ ร้านที่ซื้อมารับประทานเองแน่นอน 

Categories
ขนมไทย

ขนมน้ำดอกไม้ หรือขนมชักหน้า ขนมไทยทำง่าย สีสันสดใส

ขนมน้ำดอกไม้

ในบทความนี้เราจะขอเอาใจมือใหม่หัดทำขนมด้วยขนมไทยทำง่ายอย่าง “ขนมน้ำดอกไม้” ซึ่งเป็นขนมไทยที่แอบคล้ายเบเกอรี่อยู่เหมือนกัน เนื่องจากมีหน้าตา และสีสันอ่อน ๆ สวยงาม แปลกตากว่าขนมไทยโบราณทั่วไปที่เคยได้รู้จัก หลังจากที่นึ่งเสร็จ ตัวขนมจะมีรอยบุ๋มตรงกลาง เปรียบได้กับกิริยาของคนที่มีอาการโกรธแล้วชักสีหน้า คนโบราณจึงเรียกขนมไทยนี้ด้วยอีกชื่อว่า “ขนมชักหน้า” หรือ “ขนมชัก” แม้ว่าชื่อแสดงถึงอาการโกรธ แต่ทานแล้วรับรองได้เลยว่าต้องอารมณ์ดีแน่นอนค่ะ 

ทำความรู้จักกับขนมน้ำดอกไม้ ขนมไทยสีสันมุ้งมิ้ง

ขนมน้ำดอกไม้ ขนมไทยโบราณที่หลายคนยังไม่รู้จัก เราจึงจะขอบอกเล่าถึงลักษณะของขนมให้ได้รู้กันก่อน คือ รูปร่างลักษณะของขนมชักหน้ามีรอยบุ๋มตรงกลางหน้า แป้งนุ่ม ขึ้นมันเงา มีขนาดชิ้นเล็กพอดีคำ และมีสีสันอ่อน ๆ สไตล์พาสเทล ดูน่ารักน่ารับประทาน ต่อมาเป็นเรื่องของรสชาติที่หวานกำลังดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เนื้อสัมผัสของขนมที่เหนียวนุ่มหนึบหนับ บวกกับกลิ่นหอมละมุนของน้ำลอยดอกมะลิที่ใส่ลงไปเป็นส่วนผสมแล้วทำให้ยิ่งทานยิ่งฟินจนชิ้นเดียวไม่พออย่างแน่นอน

ขนมน้ำดอกไม้

จุดเด่นของขนมไทยชนิดนี้

นอกจากหน้าตาของขนมที่มีรอยบุ๋มตรงกลาง และสีสันที่อ่อนสวยงาม เป็นจุดเด่นที่เราสามารถมองเห็น หรือสังเกตได้จากภายนอกแล้ว ขึ้นชื่อว่า ขนมน้ำดอกไม้ แน่นอนว่าจุดเด่นของขนมอีกหนึ่งอย่างก็ต้องเป็นกลิ่นหอม ๆ จากน้ำลอยดอกไม้ หรือน้ำลอยดอกมะลิที่ใส่ลงไปเป็นส่วนผสม โดยเคล็ดลับในการทำขนมไทยนี้ให้อร่อย ต้องเริ่มจากการเลือกดอกมะลิที่ใช้ทำน้ำลอย ควรใช้ดอกมะลิที่เก็บสดใหม่จากต้นที่ปลูกเอง มั่นใจได้ว่าไม่มียาฆ่าแมลง และควรเก็บในช่วงเวลาเย็น โดยเด็ดจากกลีบเลี้ยงก่อนค่ะ

ขนมไทยโบราณที่หาทานได้ยาก

แม้ว่าขนมน้ำดอกไม้จะเป็นขนมหวานที่น่ารับประทาน แต่ก็ถูกจัดอยู่ในขนมไทยโบราณหาทานได้ยาก ไม่มีวางขายให้เห็นได้ทั่วไปเหมือนอย่างขนมไทยยอดนิยมชนิดอื่น ๆ ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร ครั้งล่าสุดที่ได้รับประทานก็น่าจะเป็นในตอนเด็ก ๆ ที่นานจนจำแทบไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงรสชาติหวานหอมละมุนแล้ว ทำให้เกิดอยากรับประทานขึ้นมาทันทีเลย จึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองทำรับประทานด้วยตัวเอง เพื่ออนุรักษ์ขนมไทยของเรา ผ่านสูตรวิธีการทำง่าย ๆ ที่เราได้นำมาแนะนำให้ได้ทำตามนะคะ

ขนมน้ำดอกไม้

ขนมไทยที่เหมาะกับมือใหม่หัดทำขนม

ขนมไทยโบราณส่วนใหญ่จะเป็นขนมไทยแท้ที่ต้องอาศัยขั้นตอนมากมาย และความประณีตบรรจงในการรังสรรค์ขนมออกมาให้มีหน้าตาสวยงาม บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนทำ (ซึ่งบางชิ้นก็สวยงามจนไม่กล้ารับประทานเลยทีเดียว) แต่ขนมน้ำดอกไม้นั้นเป็นหนึ่งในขนมไทยโบราณเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทำได้ง่าย วัตถุดิบน้อย ขั้นตอนการทำไม่มากมาย จึงเป็นขนมไทยที่เหมาะกับมือใหม่ที่กำลังหัดทำขนมอร่อย ๆ ด้วยตัวเอง หากใครอยากรู้ว่าง่ายจริงหรือไม่ ไปอ่านต่อพร้อม ๆ กันเลย

ขั้นตอนวิธีการทำขนมน้ำดอกไม้

ขนมน้ำดอกไม้ หรือขนมชักหน้า ขนมไทยแท้ ๆ แบบดั้งเดิมที่ใช้วัตถุดิบหลักคือ แป้ง น้ำตาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในสมัยก่อน หากอยากได้สีสันที่สวยงามในสมัยนั้นจะใช้สีสันจากธรรมชาติแท้ ๆ เช่น สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเหลืองจากฟักทอง สีแดงจากกระเจี๊ยบ เป็นต้น และเนื่องจากเป็นขนมที่สามารถทำได้ง่าย จึงนิยมทำรับประทานกันเป็นของว่างทานเล่น โดยมีวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำขนมไทยง่าย ๆ ดังนี้

วัตถุดิบ

  1. แป้งข้าวเจ้า 70 กรัม
  2. แป้งท้าวยายม่อม หรือแป้งมัน 25 กรัม
  3. น้ำอุ่น 240 กรัม
  4. น้ำตาลทรายขาว 65 กรัม
  5. กลิ่นมะลิ 2-3 หยด
  6. สีผสมอาหารตามชอบ
ขนมน้ำดอกไม้

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกนำน้ำตาลทรายไปละลายกับน้ำอุ่น ใช้ช้อนคนให้ละลายดีแล้วพักไว้
  2. เตรียมชามผสม ใส่แป้งข้าวเจ้า และแป้งเท้ายายม่อมลงไปแล้วใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำเชื่อมที่ผสมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันดีแล้วใส่กลิ่นมะลิลงไปคนอีกครั้ง
  3. นำแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2 มาแบ่งใส่ภาชนะตามจำนวนสีที่จะใช้ เพื่อใส่สีผสมอาหารลงไปผสมเพิ่มสีสันให้สวยงาม (ในขั้นตอนนี้แนะนำให้ใส่สีผสมอาหารน้อย ๆ นะคะ เพราะขนมต้องมีสีอ่อนพาสเทล)
  4. เตรียมถ้วยตะไลไปนึ่งในน้ำเดือดจัดประมาณ 10 นาที (เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติดพิมพ์) เมื่อครบเวลาแล้วให้เปิดฝาหม้อนึ่งออกด้วยความรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ไอน้ำหยดลงไปในพิมพ์ขนม
  5. ปรับไฟให้เป็นไฟอ่อน แล้วคนแป้งที่พักไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้แห้งติดภาชนะ ก่อนจะตักหยอดลงไปในถ้วยตะไลจนเกือบเต็มถ้วย เมื่อหยอดเสร็จแล้วให้ปรับเป็นไฟแรงแล้วนึ่งต่อเป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นสนิทแล้วใช้ไม้แหลมแคะตัวขนมออกจากพิมพ์ จัดเสิร์ฟได้เลย

เทคนิคในการทำขนม

แม้ว่าจะเป็นขนมหวานที่ทำง่ายมาก แต่ก็ยังมีบางคนที่ประสบปัญหาทำขนมแล้วหน้าไม่บุ๋มอย่างที่หวัง วิธีแก้ไขก็คือการเลือกใช้แป้งเก่า และไม่นวดแป้ง ใช้วิธีการผสมแล้วคนให้เข้ากันเพียงเท่านั้น และก่อนจะเทแป้งลงในถ้วยตะไล ควรคนส่วนผสมก่อนทุกครั้ง และที่สำคัญหลังนึ่งขนมเสร็จหากใจร้อนจนเกินไป ไม่พักเอาไว้ให้เย็น รีบนำขนมออกจากพิมพ์ จะทำให้ขนมเละ แป้งขรุขระ ติดถ้วย ไม่สวยงามค่ะ หากทำตามเทคนิคเหล่านี้แล้ว รับรองว่าคุณจะได้ขนมที่สวยงามน่ารับประทานแน่นอน

ขนมน้ำดอกไม้

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเมนูขนมไทยง่าย ๆ สำหรับมือใหม่อย่างสูตรทำขนมน้ำดอกไม้ที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้ เชื่อว่าคงทำให้หลายคนได้รู้จักขนมโบราณนี้กันมากขึ้นจนสามารถทำรับประทานกันได้เองที่บ้าน หรือหากใครจะทำขายสร้างรายได้ก็สามารถทำได้นะคะ เพราะยังมีอีกหลายคนที่เคยทานแล้วอยากทานอีก แต่หาซื้อมารับประทานไม่ได้อยู่มากเลยทีเดียว 

Categories
เบเกอรี่

แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ประเทศไทยได้มีการนำเอาเบเกอรี่จากต่างประเทศมาทำในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2230 เป็นจดหมายเหตุที่บอกเล่าถึงการสั่งซื้อแป้งสาลีมาทำขนมปัง อาจจะเรียกว่าเป็นยุคบุกเบิกเบเกอรี่ในประเทศเลยก็ว่าได้ และปัจจุบันเห็นได้ชัดเลยว่าคนไทยนิยมรับประทานเบเกอรี่กันมากขึ้น หนึ่งในเบเกอรี่ยอดนิยมที่คนไทยรับประทานกันมากที่สุดคือ “แยมโรล” หรือเค้กม้วน ซึ่งเป็นเบเกอรี่ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หากอยากรู้จักขนมหวานจากต่างแดนนี้ให้มากขึ้น ต้องห้ามพลาดบทความนี้!! 

ทำความรู้จักแยมโรล เบเกอรี่ยอดนิยมของคนไทย

แยมโรล หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเค้กม้วน คือ เบเกอรี่ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเค้กฟองน้ำบาง ๆ ม้วนกลม ด้านในสอดไส้ด้วยแยมรสต่าง ๆ ซึ่งแยมที่นิยมใช้กันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นแยมผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวตัดกับรสหวานของเนื้อแป้งได้เป็นอย่างดี เวลารับประทานจะตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ นับว่าเป็นขนมหวานทานเล่นที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ เพราะอร่อยรับประทานง่าย สามารถพกไปรับประทานได้สะดวก แถมยังเข้ากันได้ดีกับชา และกาแฟ ทานแล้วอิ่มท้อง ทานแทนอาหารหลักในวันที่เร่งรีบได้เลย 

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ประวัติความเป็นมา

แท้จริงแล้วแยมโรลที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำนี้มาจากเบเกอรี่ฝรั่งที่มีชื่อว่า SWISS ROLL (สวิสโรล) และแม้ว่าชื่อนี้จะแอบคล้ายกับชื่อของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่ได้มีต้นกำเนิดในประเทศนี้แต่อย่างใด เพราะเค้กม้วนนี้ยังไม่มีหลักฐานต้นกำเนิดที่แน่ชัด แต่ได้รับความนิยมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยมีสูตรที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ประเทศฮ่องกงมี EGG ROLL หรือไข่ม้วน , ประเทศอเมริกามีเค้กม้วนที่เรียกกันว่า JELLY ROLL 

ความแตกต่างระหว่างแยมโรล และครีมโรล

ในประเทศไทยเองก็มีสูตรทำเค้กสวิสโรลที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน นั้นก็คือ แยมโรล และครีมโรล ซึ่งยังมีอีกหลายคนที่ยังแยกความแตกต่างของเบเกอรี่ทั้งสองแบบไม่ได้ โดยวิธีแยกความแตกต่างง่าย ๆ เลยคือแยมโรลนั้นจะเป็นเค้กม้วนที่สอดไส้ด้วยแยมตามชื่อของขนม ส่วนครีมโรลจะมีการสอดไส้ครีมลงไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันก็มีการดัดแปลงสูตรให้มีทั้งแยม และครีมพร้อม ๆ กันด้วย

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ

หากจะให้จัดอันดับความยากง่าย แยมโรลถูกจัดเป็นเบเกอรี่ทำง่ายที่ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนวุ่นวาย ใครที่เป็นมือใหม่ในการทำเบเกอรี่ ไม่ต้องกังวลเลยสักนิด ทุกคนสามารถทำทานเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง โดยเนื้อเค้กทำมาจากวัตถุดิบหลัก ๆ คือไข่ และแป้งเค้ก ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ เนย เพิ่มความหอมเย้ายวนด้วยกลิ่นด้วยวานิลลา และในบทความนี้เราก็แถมวิธีทำแยมแบบง่าย ๆ ให้ด้วย เผื่อใครไม่ชอบทานแยมสำเร็จรูป และอยากทำแยมรับประทานด้วยตนเอง 

วัตถุดิบทำแยมผลไม้

  1. สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 200 กรัม (สามารถใช้ผลไม้อื่น ๆ ได้)
  2. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  3. น้ำเปล่า 350 กรัม
  4. น้ำเปล่าสำหรับผสมแป้ง 50 กรัม
  5. แป้งข้าวโพด 10 กรัม

วัตถุดิบทำแยมโรล

  1. ไข่แดง 8 ฟอง
  2. ไข่ขาว 8 ฟอง
  3. แป้งเค้ก 200 กรัม
  4. น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
  5. นมข้นรสจืด 200 กรัม
  6. น้ำมัน 100 กรัม
  7. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  8. ผงฟู 2 ช้อนชา
  9. ครีมออฟทาร์ทาร์ หรือน้ำมะนาว 2 ช้อนชา
  10. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  11. แยมผลไม้ตามชอบ
แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ขั้นตอนวิธีการทำแยมผลไม้

  1. นำแป้งข้าวโพดมาคนผสมกับน้ำเปล่า พักไว้
  2. ตั้งหม้อต้มน้ำเปล่า และน้ำตาลทราย เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันแล้วให้ใส่สตรอว์เบอร์รี่แช่แข็งลงไปต้มต่อ ระหว่างนี้ให้คนเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเนื้อแยมแล้วทยอยใส่แป้งข้าวโพดที่เตรียมไว้ลงไประหว่างคน เมื่อเดือดได้ที่แล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนวิธีการทำเค้กม้วน

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่แดง และน้ำมันพืชลงไปในชามผสม ตีให้เข้ากันดีด้วยตะกร้อมือ ตามด้วยนม และกลิ่นวานิลลา ตีผสมให้เข้ากันก่อนจะร่อนแป้งเค้ก เกลือ และผงฟูลงไปผสมให้เข้ากันจนไม่มีเม็ดแป้ง เนียน และเหนียว พักไว้
  2. ใส่ไข่ขาวลงไปในชามผสมอีกใบ ตีด้วยเครื่องผสมอาหารให้ไข่ขาวขึ้นฟอง ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไปตีต่อด้วยสปีดสูงสุดแล้วทยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปตีต่อจนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีมเนียน
  3. นำส่วนผสมของไข่ขาวมาใส่ลงไปในส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 (แบ่งใส่สองรอบ) และใช้ไม้พายตะล่อมให้เข้ากันจนส่วนผสมของไข่ขาวหมด
  4. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ไฟบนล่าง และเตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข ใส่เนื้อเค้กที่เตรียมไว้ลงไปปาดให้ทั่วถาด เสร็จแล้วเคาะก้นถาดเบา ๆ ก่อนจะนำไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิมเป็นเวลา 10 นาที
  5. เมื่ออบเสร็จแล้วให้นำออกจากถาด พักไว้ให้เย็น เมื่อเย็นแล้วนำมาตัดแบ่งครึ่งเป็นสองชิ้น วางบนกระดาษไข และตัดขอบออกให้เท่า ๆ กัน 
  6. นำแยมมาปาดให้ทั่วเนื้อเค้ก และพับม้วนลงไปให้โดนเนื้อแยมจนติดกัน และค่อย ๆ ม้วนให้เป็นโรล ม้วนกระดาษไขทับลงไปในแยมโรล กดเล็กน้อยให้เนื้อแน่นดี และนำไปแช่ในตู้เย็นเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้เซทตัว เสร็จแล้วนำออกจากกระดาษไขมาตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ (ตัดชิ้นแรกแล้วให้หมั่นเช็ดมีดก่อนตัดชิ้นต่อไป เพื่อไม่ให้แยมที่ติดมีดเลอะจนขนมไม่สวยงาม
แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

บทสรุป

เชื่อว่าหลังจากจบบทความนี้ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านคงได้รู้จักกับความเป็นมาของเบเกอรี่ยอดนิยมนี้กันมากขึ้นกันแล้ว ทั้งในเรื่องประวัติที่น่าสนใจ สูตรทำเบเกอรี่แยมโรล และนำสูตรนี้ไปลองทำด้วยตนเอง ดัดแปลงให้ตรงกับความชอบมากที่สุด เพื่อให้ขนมที่ชอบกลายเป็นขนมที่ใช่ที่สุด อร่อยตามแบบฉบับของเราเอง และสูตรการทำแยมที่เราได้แนะนำกันไปในข้างต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้กับผลไม้ทุกชนิด ทำเก็บไว้รับประทานได้นาน