Categories
ขนมไทย

ขนม โคกะทิ หรือขนมหัวล้าน หนึ่งในขนมไทยโบราณ

ขนม โคกะทิ

เชื่อว่าหากใครไม่ใช่คนท้องถิ่นในภาคใต้แล้ว คงไม่เคยรับประทาน ขนม โคกะทิ หรือขนมหัวล้านมาก่อน เพราะในปัจจุบันนั้นถือเป็นขนมไทยโบราณหาทานยาก ที่มักจะพบเจอได้น้อยในภาคอื่นๆของประเทศไทย บางท้องถิ่นของภาคใต้มักจะเรียกชื่อขนมชนิดนี้แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ขนมโคน้ำ,ขนมโคน้ำกะทิ,ขนมหัวล้านทอด,ขนมมด ซึ่งก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามไปด้วย

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม โคกะทิ สอดไส้มะพร้าว

ขนม โคกะทิ หรือ ขนมหัวล้านกะทิ เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวเนื้อนุ่มนิ่ม ในสมัยก่อนจะเติมสีสันด้วยน้ำสมุนไพร สอดไส้ด้วยไส้หวานจากเนื้อมะพร้าวกับน้ำตาล และไส้เค็มจากถั่วเขียวกวนนั้นเอง นับเป็น ขนมโคกะทิสูตรโบราณ รับประทานคู่กับน้ำกะทิหวานมันที่เข้ากันเป็นอย่างดี

วัตถุดิบทำขนมโคกะทิ

  1. น้ำตาลมะพร้าวหั่นชิ้นเล็ก 100 กรัม
  2. กะทิ 250 มิลลิลิตร
  3. มะพร้าวอ่อนขูด 300 กรัม
  4. แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง
  5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  6. สีผสมอาหาร 
  7. งาขาวคั่ว ปริมาณตามชอบ
ขนม โคกะทิ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่น้ำตาลมะพร้าวและน้ำเปล่าเล็กน้อย ทำการผัดส่วนผสมหรือไส้ ขนม โคกะทิ ให้ละลายดีแล้วใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไปผัดต่อ ให้มีความแห้งและเหนียวจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ เสร็จแล้วพักไว้ให้พออุ่น
  2. เตรียมชามผสมสองชามแล้วใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปในปริมาณเท่ากัน ชามแรกใส่สีผสมอาหารลงไปนวดให้เข้ากัน จากนั้นทยอยใส่น้ำเปล่าลงไปในระหว่างนวด จนแป้งนุ่มเนียนจับตัวเป็นก้อน ไม่ติดมือ  ชามที่สองทำเหมือนชามที่หนึ่งแต่ไม่ใส่สีผสมอาหาร (ในกรณีที่ต้องการใช้สองสีนะคะ)
  3. แบ่งแป้งออกมาเป็นวงกลม คลึงให้มีลักษณะแบนแล้วใส่ไส้ที่เตรียมไว้ตรงกลาง แล้วทำการปั้นให้แป้งห่อหุ้มไส้ให้หมด ทำซ้ำจนกว่าแป้งและไส้จะหมด
  4. ตั้งเตาต้มน้ำเปล่าให้เดือดแล้วใส่ขนมลงไปต้ม เมื่อขนมเริ่มสุกจะลอยขึ้นมา ต้มต่ออีก 3 นาที เพื่อให้แป้งและไส้สุกดีเป็นสีใส จากนั้นใช้กระชอนตักขนมขึ้นมาแช่ในน้ำเย็นจัด
  5. ตั้งหม้อด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่กะทิและเกลือลงไปต้มให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน รอจนกะทิเดือดแล้วจัดใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ
ขนม โคกะทิ

สูตร ขนม โคกะทิ สูตรนี้สามารถทำได้ง่าย ทุกคนที่อยากรับประทาน ขนมไทยอร่อย ก็สามารถหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายทั่วไป ไม่ต้องไปหาซื้อไกลถึงภาคใต้ก็ได้ทาน ขนมไทยภาคใต้ ที่ทำด้วยตัวเองกันแล้ว ดังนั้น อย่าลืมนำสูตรนี้ไปปรับใช้แล้วลองทำกันให้ได้นะคะ และอย่าลืมติดตามสูตรขนมต่างๆที่เราได้นำมาฝากกันในบทความอื่นๆ สำหรับบทความนี้ต้องขอลากันไปก่อน สวัสดีค่ะ

ufaball.bet เว็บพนันออนไลน์ เว็บตรง ฝากถอนได้ไม่มีขั้นต่ำ

Categories
ขนมไทย

ขนม ฝักบัว หรือขนมดอกบัว ขนมพื้นเมือง

ขนม ฝักบัว

ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานหรือกักตัวอยู่ที่บ้าน เราขอเชิญชวนทุกคนมาทำขนมไทยง่ายๆด้วยตัวเอง โดยใช้สูตรการทำ ขนม ฝักบัว หรือ ขนมดอกบัว ของดีปักษ์ใต้ที่นิยมรับประทานกันทั่วประเทศ ซึ่งส่วนตัวต้องบอกเลยว่าชื่นชอบขนมไทยเมนูนี้มาก ด้วยความกรอบของขอบผสานความเหนียวนุ่มด้านใน และรสชาติหวานมันกลมกล่อม นอกจากนี้ยังเป็น ขนมไทยมงคล ที่มีความหมายดี สื่อถึงโชคลาภ ความก้าวหน้า และความเจริญรุ่งเรือง ในอดีตจึงมักใช้ในพิธีสำคัญอย่างงานแต่งงาน หรือแม้แต่พิธีมงคลอื่นๆเพื่อความเป็นสิริมงคล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม ฝักบัว ใบเตย ทำง่าย ไม่ต้องหมักแป้ง

แม้ว่าขนม ฝักบัว จะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน  แต่ในปัจจุบันนี้นับว่าเริ่มกลายเป็น ขนมไทยหาทานยาก หากไม่ใช่ตลาดแถวภาคใต้ก็จะพบเจอร้านที่ทำขายน้อยมากๆ (ในภาคใต้จะนิยมเรียกขนมไทยเมนูนี้ว่า จูจุ่น ) การ ทำขนมฝักบัว ทานด้วยตัวเอง จึงถือเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด โดยวัตถุดิบและขั้นตอนการทำนั้นก็แสนจะง่ายดาย แค่มีอุปกรณ์อย่างกระทะหลุมลึกติดครัวก็สามารถทำทานได้เองด้วยเวลาไม่นาน

วัตถุดิบ ทำขนมดอกบัว

  1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 ถ้วยตวง
  2. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
  3. หัวกะทิ 100 มิลลิลิตร
  4. น้ำใบเตยเข้มข้น 150 
  5. น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วยตวง
  6. น้ำตาลมะพร้าว 1/3 ถ้วยตวง
  7. เกลือ 1/2 ช้อนชา
ขนม ฝักบัว

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกนำหัวกะทิ และน้ำตาลมะพร้าวใส่ลงไปในหม้อ เปิดเตาด้วยไฟกลางค่อนอ่อนแล้วทำการคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เมื่อเริ่มเดือดแล้วให้ลดเป็นไฟอ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้กะทิแตกมัน จากนั้นพักไว้ให้พออุ่น
  2. เตรียมชามผสมใส่แป้งข้าวจ้าว แป้งสาลีอเนกประสงค์ น้ำตาลทรายขาย และเกลือ ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ตามด้วยส่วนผสมของน้ำตาลมะพร้าวในขั้นตอนที่ 1 ทำการคนส่วนผสมให้เข้ากันแล้วทยอยเทน้ำใบเตยลงไปในระหว่างคน เมื่อน้ำใบเตยหมดแล้วคนต่อจนส่วนผสมเริ่มข้นหนืด มีฟองอากาศเล็กน้อย 
  3. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำมันลงไปด้วยปริมาณเล็กน้อย (ประมาณก้นกระทะ) รอให้ร้อนจัดแล้วใส่แป้งลงไปตรงกลาง หากขนมเริ่มสุกพองถึงตรงกลางแล้วให้ตักน้ำมันราด เพื่อให้ขนม ฝักบัว สุกทั่วกันแล้วใช้กระชอนตักขึ้นมาพักไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน
ขนม ฝักบัว

ขนมไทยโบราณ อย่างขนม ฝักบัว ชื่อนี้มีความหมายถึงลักษณะของขนมที่คล้ายกับรูปทรงของดอกบัว อีกทั้งยังเป็นขนมไทยมงคลความหมายดีที่นิยมทำเพื่อไปทำบุญที่วัด หรืองานมงคลต่างๆ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมีหลักฐาน ประวัติความเป็นมาขนมฝักบัว จากหลายแหล่ง ทั้งหนังสือไตรภูมิพระร่วง และในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน

gclub เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ที่ผู้ใช้นิยมมากที่สุด

Categories
ขนมไทย

ขนมพระพาย ขนมสีหวานแสนน่ารัก

ขนมพระพาย

ขนมพระพาย นอกจากจะเป็นขนมที่มีรูปร่างหน้าตา และสีสันที่สวยงามน่ารับประทานแล้วยังเป็น ขนมไทยชาววัง ที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ กล่าวคือ ขุนพิทักษ์ราชกิจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระพิทักษ์ราชกิจ และได้จัดพิธีแต่งงานขึ้น ชาววิเสท (คนทำกับข้าวในวังหลวง) จึงได้คิดค้นขนมเพื่อใช้ในพิธีแต่งงาน ซึ่งนั้นก็คือ ขนม พระ พาย ที่ทำมาจากข้าวเหนียว สอดไส้ด้วยถั่วกวน โดยทั้งสองสิ่งนี้ก็มีความหมายที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมพระพาย ขนมมงคลความหมายดี

สำหรับชื่อของขนมพระพาย มีความหมายว่า ลม สื่อถึงความสงบร่มเย็น ชื่อนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อระลึกถึงงานแต่งงานของพระพิทักษ์ราชกิจ วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ทำเองก็มีความหมาย เช่น ข้าวเหนียว หมายถึง ความรักที่กลมเกลียวเหนียวแน่น , พระพายไส้ถั่วกวน รสชาติหวานเหมือนความรักที่หวานชื่น ฯลฯ ดังนั้น จึงกลายเป็น ขนมไทยมงคล ที่ชาววังนิยมใช้กันในงานแต่งงาน

วัตถุดิบ ทำขนม พระ พาย

  1. แป้งข้าวเหนียว 1 1/2 ถ้วยตวง
  2. สีผสมอาหาร หรือสีธรรมชาติตามชอบ
  3. น้ำเปล่า สำหรับต้มขนม
  4. ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก 1 ถ้วยตวง
  5. น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม
  6. น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม
  7. แป้งข้าวจ้าว 1 ช้อนโต๊ะ
  8. เกลือป่น
  9. กะทิ สำหรับใส่ไส้ขนม 100 มิลลิลิตร
  10. กะทิ สำหรับราดหน้าขนม 150 มิลลิลิตร
  11. กะทิ สำหรับใส่ตัวขนม 1 ช้อนโต๊ะ
ขนมพระพาย

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกนำถั่วเขียวนึ่งสุกมาปั่นให้ละเอียด จากนั้นใส่ลงไปในกระทะเติมน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย กะทิสำหรับใส่ไส้ขนม และใส่เกลือเล็กน้อย เปิดเตาด้วยไฟอ่อนแล้วผัดให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ผัดตลอดเวลาจนกว่าไส้จะแห้งจับตัวกันเป็นก้อน เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็น
  2. เมื่อรอจนถั่วเขียวเย็นแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อน (ขนาดเท่าเหรียญสิบ) เพื่อเตรียมไส้ขนมพระพาย
  3. ต่อมาให้ใส่กะทิสำหรับทำราดหน้าขนมลงไปในหม้อ ตามด้วยแป้งข้าวจ้าว และเกลือป่นเล็กน้อย คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันก่อนจะเปิดเตาด้วยไฟอ่อน คนต่อจนกระทั่งน้ำกะทิเดือด และมีความข้น
  4. ใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปในชามผสม ใส่กะทิเล็กน้อยแล้วใช้มือนวดให้เข้ากัน ทยอยเติมน้ำเปล่าระหว่างนวดจนแป้งจับตัวก้อน 
  5. แบ่งแป้งออกเป็นส่วนๆใส่ชามผสมตามจำนวนสีที่ต้องการใช้ และใส่สีลงไปนวดให้เข้ากันกับแป้ง จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม แผ่ออกให้บางแล้วใส่ไส้ที่เตรียมไว้ลงไปตรงกลาง ก่อนจะปั้นเป็นรูปวงกลมห่อหุ้มไส้ ทำซ้ำจนกว่าส่วนผสมจะหมด
  6.  ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด แล้วใส่ขนมที่ปั้นไว้ลงไปในหม้อ เมื่อเริ่มสุกแล้วตัวขนมจะลอยขึ้นมา ให้ต้มต่ออีก 5 นาที เพื่อให้แป้งและไส้สุกทั่วกัน จากนั้นตักขนมขึ้นมาพักไว้ให้คลายความร้อนเล็กน้อย
  7. จัดขนมใส่ถ้วยตะไล หรือภาชนะตามต้องการ ราดหน้าขนมด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จสิ้นพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
ขนมพระพาย

หลังจากจบบทความนี้แล้ว เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะได้ทำความรู้จักขนมพระพาย กันมากขึ้น ทั้งประวัติความเป็นมาของ ขนมมงคลความหมายดี รวมถึง สูตรขนมพระพาย และวัตถุดิบในการทำขนม จนสามารถนำไปทำทานได้ด้วยตัวเอง ทำเพื่อมอบให้กับคนพิเศษ หรือจะทำเพื่อใช้ในพิธีแต่งงานเพื่อเพิ่มความหวาน ด้วยขนมหน้าตาน่ารัก และความหมายดี

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
ขนมไทย

ขนม ปั้นขลิบ หรือปั้นสิบ ขนมไทยโบราณ

ขนม ปั้นขลิบ

หากกล่าวถึง ขนม ปั้นขลิบ หรือปั้นสิบ หลายคนคงไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าตาของขนมแล้วคงคิดอีกว่าเป็นขนมกะกรี่ปั๊บชิ้นเล็ก ซึ่งขนมทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างที่รู้สึกได้เมื่อรับประทาน นั้นก็คือปั้นสิบมีความกรอบและแข็งมากกว่ากะหรี่ปั๊บ ทานเป็นขนมของว่างคู่ชากาแฟได้เข้ากันเป็นอย่างดี

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม ปั้นขลิบ ไส้ปลาทูน่า

ขนมปั้นขลิบ ถือเป็น ขนมไทยหาทานยาก มากในปัจจุบัน เพราะขั้นตอนวิธีการทำที่หลายขั้นตอน ประกอบด้วยขั้นตอนการทำแป้ง และไส้ของขนม ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยม ขนมปั้นสิบไส้ปลา แต่ก็สามารถรังสรรค์ได้หลายไส้ทั้งคาวหวาน ยกตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่ถั่วเขียว สับปะรดกวน ฯลฯ หากใครอยากลองทำรับประทานด้วยตัวเองต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตถุดิบเล็กน้อย และเทคนิคเล็กๆในการปั้นขนมให้เป็นรูปทรงน่ารับประทาน

วัตถุดิบทำไส้ปลาทูน่า

  1. เนื้อปลาทูน่าฉีก หรือปลาทูน่ากระป๋อง 125 กรัม 
  2. ถั่วลิสงค์คั่วบดละเอียด 150 กรัม                                           
  3. รากผักชีซอย 4 ราก
  4. พริกไทยขาวเม็ด 1/2 ช้อนชา
  5. หัวไชโป้หวานสับละเอียด 50 กรัม                                            
  6. หอมแดงซอย 160 กรัม
  7. น้ำตาลปี๊บ 90 กรัม                                               
  8. น้ำปลา 1 ช้อนชา                                              
  9. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา                                              
  10. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  11. น้ำมันหอมเจียว 1 + ½ ช้อนโต๊ะ

วัตถุดิบทำตัวแป้ง

  1. แป้งเอนกประสงค์ตราว่าว 300 กรัม                           
  2. น้ำมันพืชถั่วเหลือง 75 กรัม
  3. น้ำปูนใส 60 กรัม                         
  4. น้ำเปล่าเย็น 75 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 15 กรัม
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
ขนม ปั้นขลิบ

ขั้นตอนวิธีการทำไส้ทูน่าขนม ปั้นขลิบ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ไส้ขนมปั้นขลิบ นำรากผักชี และพริกไทยขาวมาโขลกรวมกันให้ละเอียด 
  2. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนรอให้ร้อนแล้วปรับเป็นไฟกลางค่อนอ่อน ใส่หอมแดงซอยลงไปเจียวจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอ่อน ให้ตักขึ้นมาพักไว้บนตะแกรงที่รองด้วยกระดาษทิชชู่เพื่อซับน้ำมัน
  3. เตรียมชามผสมใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำปลา และซีอิ๊วขาว ใช้ช้อนคนเครื่องปรุงให้ละลายเข้ากัน จากนั้นตั้งกระทะด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่น้ำมันหอมเจียวลงไป ตามด้วยส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ลงไปผัดให้หอมแล้วใส่หัวไชโป้สับลงไปผัดต่อจนสุก แล้วใส่เนื้อทูน่ากับเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงไปผัดต่อ
  4. เมื่อผัดส่วนผสมจนเข้ากันดีแล้วใส่ถั่วลิสงบด และหอมเจียวลงไปผัดให้เข้ากันด้วยไฟอ่อนจนไส้เริ่มแห้งติดกัน เสร็จแล้วปิดเตานำออกมาใส่จานพักไว้จนเย็นสนิท 
  5. นำไส้ทูน่าขนม ปั้นขลิบ มาปั้นเป็นก้อนกลมน้ำหนักประมาณ 5 กรัม พักไว้ในถาด

ขั้นตอนวิธีการทำแป้งขนม

  1. ขั้นตอนการทำ แป้งขนมปั้นขลิบ เริ่มจากการร่อนแป้งอเนกประสงค์ใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ใช้ไม้พายคนให้เข้ากันแล้วใส่น้ำปูนใส น้ำเปล่า และน้ำมันพืชลงไป ใช้ไม้พายคนเล็กน้อยแล้วใช้มือนวดให้ส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน และคลึงเป็นก้อนกลมห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 30 นาที
  2. ครบเวลาแล้วให้แบ่งตัดแป้งให้ได้ขนาดชิ้นละ 6 กรัม แล้วปั้นเป็นก้อนกลม คลุมด้วยแผ่นพลาสติกเพื่อไม่ให้แป้งแห้ง 
  3. นำแป้งมาแผ่เป็นแผ่นกลมบนฝ่ามือ วางไส้ที่เตรียมไว้ตรงกลางแผ่นแป้งแล้วห่อให้มิด ใช้นิ้วขลิบจีบให้สวยงามจนเป็นทรงคล้ายกระหรี่ปั๊บชิ้นเล็ก
  4. หลังจากที่ห่อแป้งเสร็จแล้วให้ตากลมไว้สักครู่เพื่อให้ผิวขนมแห้ง ก่อนจะนำไปทอด
  5. ตั้งน้ำมันให้พอร้อนด้วยไฟอ่อน เมื่อเริ่มร้อนแล้วให้ใส่ขนมลงไปทอดด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง เมื่อผิวขนมตึง และเปลี่ยนเป็นสีขาวด้านแล้วให้ตักออกมาพักไว้ให้พออุ่น 
  6. ตั้งน้ำมันด้วยไฟกลางค่อนอ่อน นำขนมลงไปทอดเป็นรอบที่สองจนขนมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เสร็จแล้วตักขึ้นไปพักไว้บนตะแกรงจนเย็น เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลย
ขนม ปั้นขลิบ

เคล็ดลับความอร่อยของขนม ปั้นขลิบ นั้นอยู่ที่ไส้ของขนม หากจะทำเป็นไส้เนื้อสัตว์ต้องคัดสรรเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ เพื่อลดกลิ่นเหม็นคาวของเนื้อสัตว์เมื่อนำมาทำ ขนมหวานไทย สำหรับใครที่อยากลองรับประทาน อย่าลืมนำสูตรนี้ไปปรับใช้กันนะคะ

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
เบเกอรี่

ขนมคีโต บราวนี่สูตรไร้แป้ง สำหรับรักสุขภาพ

ขนมคีโต

ขนมคีโต คือ ขนมที่ปราศจากแป้งและน้ำตาล โดยใช้สารให้ความหวานเข้ามาแทนที่น้ำตาล จึงกลายเป็นขนมที่คนทานคีโต และสายคลีนทานได้แบบหายห่วง ดังนั้น ใครกำลังมองหาขนมเพื่อสุขภาพที่แสนอร่อย ห้ามพลาดกับเมนูเบเกอรี่ที่เราได้นำมาแนะนำในบทความนี้ กับ สูตรบราวนี่คีโต ขนมหวานทำง่ายสำหรับคนที่กำลังดูแลสุขภาพ หรือกำลังลดน้ำหนัก 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมคีโต เมนู บราวนี่เพื่อสุขภาพ

อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าขนมคีโตgป็นขนมที่ต้องพิถีพิถันในการเลือกร้านที่จะซื้อ เพราะส่วนผสมทั้งหมดที่ใช้ทำ ขนมเพื่อสุขภาพ ต้องเป็นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าร้านขนมเหล่านี้ไม่ได้บอกวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นการใช้ สูตรบราวนี่คีโต ที่เราเลือกวัตถุดิบ และลงมือทำด้วยตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพ แต่อยากทานขนมหวาน

วัตถุดิบส่วนที่ 1 

  1. ดาร์กช็อกโกแลต สูตรไม่มีน้ำตาล 1/2 ถ้วยตวง
  2. เนยอุณหภูมิห้อง 1/2 ถ้วยตวง
  3. ผงโกโก้คีโต 3 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลหญ้าหวาน 1/2 ถ้วยตวง

วัตถุดิบส่วนที่ 2

  1. ไข่ไก่อุณหภูมิห้อง 4 ฟอง
  2. สารแต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือชมพู 1/4 ช้อนชา
  4. ผงอัลมอนด์ 1 ถ้วยตวง
  5. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  6. ถั่วพีแคน 1/4 ถ้วยตวง
  7. ดาร์กช็อกโกแลต สูตรไม่มีน้ำตาล ¼ ช้อนโต๊ะ
ขนมคีโต

ขั้นตอนวิธีการทำ บราวนี่คีโต 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำขนมคีโตเริ่มจากการใส่เนย ดาร์กช็อกโกแลต และผงโกโก้ลงไปในชามผสม จากนั้นนำไปเข้าไมโครเวฟ 1 นาที เพื่อให้ส่วนผสมละลายดีแล้วนำออกมาใส่น้ำตาลหญ้าหวาน ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน
  2. ใส่ไข่ไก่ลงไปในชามผสมอีกหนึ่งชาม ตามด้วยกลิ่นวานิลลา และเกลือชมพู ทำการตีส่วนผสมให้เข้ากันแล้วใส่ผงอัลมอนด์กับเบคกิ้งโซดาลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อเดียว
  3. นำส่วนผสมในส่วนที่ 1 มาคนผสมให้เข้ากันกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 เมื่อส่วนผสมเข้ากันแล้วใส่ถั่วพีแคน และดาร์กช็อกโกแลตลงไปคนให้เข้ากัน 
  4. เตรียมพิมพ์ขนมด้วยการทาเนยให้ทั่วพิมพ์ ก่อนจะใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้พายเกลี่ยหน้าบราวนี่ให้เสมอกัน เคาะฐานพิมพ์กับพื้นเบาๆเพื่อไล่ฟองอากาศ แล้วโรยตกแต่งหน้าด้วยช็อกโกแลต หรือถั่วต่างๆตามชอบ
  5. นำขนมเข้าเตาอบด้วยไฟ 180 องศา เป็นเวลา 35 นาที หรือจนกว่า ขนมบราวนี่ ของเราจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็นแล้วจัดเสิร์ฟได้เลย
ขนมคีโต

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า หากเราทานขนมคีโตเมนูนี้แล้วจะทำให้น้ำหนักขึ้นหรือไม่ เราขอตอบเลยว่าหากรับประทาน บราวนี่คีโตง่ายๆ สูตรนี้ด้วยปริมาณที่พอเหมาะ จะไม่ทำให้น้ำหนักของเราไม่เพิ่มอย่างแน่นอน แถมวัตถุดิบต่างๆที่เลือกใช้ในเมนู บราวนี่ไม่อ้วน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ ให้พลังงานสูง

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
เบเกอรี่

บานอฟฟี่ การผสมผสานที่อร่อยลงตัว

บานอฟฟี่

บานอฟฟี่ (BANOFFEE) เมนูพายอังกฤษที่หลายๆคนชื่นชอบ ชื่อนี้มีที่มาจากการผสมผสานระหว่างคำว่า “BANANA” และ “TOFFEE” หมายถึงกล้วยกับคาราเมลซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก เมนูเบเกอรี่ชิ้นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในปี ค.ศ. 1972 ประเทศอังกฤษ โดยเจ้าของร้าน THE HUNGRY MONK RESTAURANT และเชฟฝีมือดี ที่มีชื่อว่า นิเกล แม็กเคนซี และเอียนดาวดิง ซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเมนู พายบลัมส์คอฟฟี่ทอฟฟีj

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บานอฟฟี่ เบเกอรี่ทำง่ายไม่ใช้เตาอบ

เมนูเบเกอรี่ บานอฟฟี่ ถือว่าเป็นเบเกอรี่ที่มีความหลากหลาย ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ ส่วนของฐานแครกเกอร์,กล้วย,ซอสคาราเมล,วิปปิ้งครีม เมื่อรับประทานไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงความกรอบ และความนุ่ม รวมถึงรสชาติที่หลากหลายพร้อมกันในคำเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กลายเป็น เบเกอรี่ยอดนิยม ที่ใครๆก็ต่างหลงรัก

วัตถุดิบทำแครกเกอร์บานอฟฟี่

  1. แครกเกอร์ 300 กรัม
  2. เนยสดเค็มละลาย 150 กรัม

วัตถุดิบทำซอสคาราเมล

  1. น้ำตาลทรายชนิดละเอียด 250 กรัม
  2. น้ำเปล่า 70 มิลลิลิตร
  3. วิปปิ้งครีมอุ่น 150 กรัม 
  4. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  5. เนยสดเค็ม อุณหภูมิห้อง 50 กรัม

วัตถุดิบทำวิปปิ้งครีม

  1. วิปปิ้งครีม 500 กรัม 
  2. กลิ่นวานิลลา 1/2 ชช.
  3. ผงโกโก้ สำหรับโรยหน้า
  4. กล้วยหอม 8 ลูก
บานอฟฟี่

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกทำฐานพายบานอฟฟี่ เริ่มจากการนำแครกเกอร์ไปบดหรือทุบให้ละเอียด นำมาใส่ไว้ในชามผสมพร้อมกับเนยละลาย ใช้ไม้พายคลุกเคล้าให้เข้ากันจนเนื้อร่วนแล้วนำไปตักใส่ภาชนะ ด้วยปริมาณประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ กดให้แน่นเล็กน้อยแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เป็นเวลา 30 นาที
  2. ต่อมาเป็นขั้นตอนของการทำซอสคาราเมล ใส่น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าลงไปในหม้อ เปิดเตาด้วยไฟกลางเคี่ยวให้น้ำตาลทรายละลายดี เมื่อได้สีน้ำตาลอ่อนแล้วปิดเตา ใส่วิปปิ้งครีมลงไปคนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากันดี ตามด้วยเนยเค็มและกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากันอีกครั้ง พักไว้ให้เย็นสนิท
  3. เตรียมชามผสม และหัวตีด้วยการนำไปแช่ช่องฟิตให้เย็น (ประมาณ 15 นาที เพื่อให้ขึ้นฟูไวขึ้น) จากนั้นนำวิปปิ้งครีมและกลิ่นวานิลลาลงไป ตีด้วยสปีดสูงสุดจนตั้งยอดกลางแล้วตักใส่ถุงบีบ แช่พักไว้ในตู้เย็น
  4. หั่นกล้วยหอมให้เป็นแว่นบาง นำไปจัดวางไว้ในภาชนะที่ใส่พายเอาไว้ ตามด้วยซอสคาราเมล และวิปปิ้งครีม ตกแต่งให้เป็นชั้นๆแล้วโรยหน้าด้วยผงโกโก้ให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้น หากใครอยากตกแต่งเพิ่มเติมก็จัดเต็มได้ตามชอบ
บานอฟฟี่

ก่อนจะจากกันในบทความสอนทำบานอฟฟี่ เราขอฝากทริคดีๆในการทำบานอฟฟี่คาราเมล คือ การคาราเมลนั้นระหว่างเคี่ยวไม่ควรคนนะคะ เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้น้ำตาลตกผลึก หากใครกลัวว่า ซอสคาราเมลมานอฟฟี่ ของเราจะไหม้ ให้ใช้วิธีการเขย่าหม้อเบาๆแทนนะคะ

สนับสนุนโดย: https://ufaball.bet/เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์/

Categories
เบเกอรี่

เครปเค้กสายรุ้ง ขนมหวานสีสันสดใสที่ใคร ๆ ก็หลงรัก

เครปเค้กสายรุ้ง

เครปเค้กสายรุ้ง เบเกอรี่สัญชาติฝรั่งเศสที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนเคยเป็นกระแสในโซเชียลมาแล้ว ด้วยหน้าตาของเค้กที่สวยงามน่ารับประทาน เมนูเครปเค้ก สามารถนำไปรับประทานได้ทั้งคาว และหวาน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนำมารับประทานเป็น ของหวานทานเล่น เสียมากกว่า ในอดีตนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับเครปว่า หากไม่ทำเครปในวัน LA CHANDELEUR จะทำให้ต้นกล้าของข้าวสาลีนั้นเป็นโรค และตายลงไปในที่สุด

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ เครปเค้กสายรุ้ง เบเกอรี่ทำง่าย

ใครที่ชื่นชอบการรับประทาน เบเกอรี่ขนมหวาน และอยากลองลงมือทำขนมด้วยตัวเอง เราขอแนะนำสูตรการทำเครปเค้กสายรุ้ง ให้ได้ลองทำตามกัน ซึ่งเป็นสูตรที่เหมาะกับมือใหม่ที่ไม่มีเตาอบ เพราะมีเพียงกระทะใบเดียวก็สามารถรังสรรค์ เครปเค้กอร่อย ๆ ทานเองได้ง่าย ๆ โดยการใช้วัตถุดิบเพียงเล็กน้อย ดังนี้

วัตถุดิบทำเครปเค้ก

  1. ไข่ไก่ 7 ฟอง 
  2. น้ำตาลทราย  110 กรัม
  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  4. แป้งเค้ก 150 กรัม
  5. แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
  6. น้ำมันรำข้าว 120 มิลลิลิตร
  7. นมสดจืด 630 มิลลิลิตร
  8. สีผสมอาหารตามชอบ
  9. วิปปิ้งครีม  600 มิลลิลิตร
  10. น้ำตาลไอซิ่ง 40 กรัม
  11. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  12. เนย สำหรับทากระทะ
เครปเค้กสายรุ้ง

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือ และกลิ่นวานิลลา คนให้ส่วนผสมเข้ากันดีแล้วเติมนมสด และน้ำมันรำข้าวลงไปคนให้เข้ากันอีกครั้ง
  2. นำแป้งเค้ก และแป้งอเนกประสงค์มาร่อนลงไปในชามผสมเดียวกันกับขั้นตอนที่ 1 แล้วใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ก่อนจะนำมากรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในชามผสมอีกหนึ่งใบ แล้วห่อชามด้วยฟิล์มถนอมอาหาร นำไปแช่เย็นไว้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้นำแป้งออกมาคนเล็กน้อย และตักแบ่งใส่ภาชนะตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ด้วยปริมาณเท่า ๆ กัน และใส่สีผสมอาหารลงไปผสมในแต่ละถ้วย
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ทาเนยบาง ๆ ให้ทั่วกระทะ และเทแป้งลงไปให้ทั่วกระทะ เมื่อสุกแล้วใช้ไม้พายตักแผ่นแป้งกลับด้านเพื่อให้สุดทั่วกัน เสร็จแล้วนำไปพักไว้บนตะแกรง และทอดแผ่นอื่น ๆ ต่อได้เลย
  5. นำวิปปิ้งครีม น้ำตาลไอซิ่ง และกลิ่นวานิลลาใส่ลงไปในชามผสม ใช้เครื่องผสมอาหารตีจนขึ้นฟู 
  6. ขั้นตอนสุดท้าย วางแป้งแผ่นแรกลงไปในภาชนะ ทาด้วยวิปปิ้งครีมให้ทั่ว และทำซ้ำให้เป็นชั้นสวยงาม ในชั้นบนสุดสามารถตกแต่งหน้าเค้กได้ตามชอบ
เครปเค้กสายรุ้ง

เมนูเบเกอรี่ เครปเค้กสายรุ้ง เมื่อทำเสร็จแล้วสามารถนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น เก็บไว้รับประทานได้นาน ขั้นตอนวิธีทำเครปเค้ก มีความง่ายเหมาะกับมือใหม่ ใช้เวลาในการทำไม่นาน สามารถทำเป็น เค้กวันเกิด หรือมอบให้คนสำคัญในวันพิเศษได้ หรือหากใครจะนำเอาสูตรนี้ไปทำขายเพื่อสร้างรายได้เสริมก็สามารถทำได้เช่นกัน

สนุกกับการเล่น บาคาร่า ออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ได้ที่นี่กับ gclubspecial168.com

Categories
เบเกอรี่

เค้กนมสด เค้กวันเกิดทำเองได้ง่ายๆ อุปกรณ์น้อย

เค้กนมสด

ขนม เค้กนมสด เบเกอรี่ยอดนิยมที่หลายๆคน มักนำมาเป็นหนึ่งในของขวัญวันสำคัญ และหากทำเค้กด้วยตัวเพื่อมอบให้คนพิเศษ คงสร้างความประทับใจให้กับผู้ได้รับได้มากมาย เราจึงได้นำสูตร เค้กวันเกิด ที่ถูกถามถึงมากที่สุด มาแนะนำให้ทุกคนได้ทำตาม โดยเป็นสูตร เค้กง่ายๆ สำหรับมือใหม่ นำไปทำได้แม้ไม่มีเตาอบ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ เค้กนมสด สูตรไม่ใช้เตาอบ

เค้กนมสดทำเอง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แม้จะไม่มีเตาอบก็สามารถใช้หม้อนึ่งแทนได้ หากไม่มีเครื่องผสมอาหารให้ใช้ตะกร้อมือตี และหากอยากปาดเค้กให้เรียบสวยให้ใช้ ไพ่ปาดเค้ก แทนไม้พายได้ เพียงเท่านี้ทุกคนสามารถใช้ สูตรเค้กทำง่าย สูตรนี้โดยไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ให้วุ่นวายเลยค่ะ

วัตถุดิบ ทำเค้กนมสด

  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. นมผงเข้มข้น 30 กรัม
  3. ผงฟู 1 ช้อนชา
  4. ไข่ไก่เบอร์ 2 4 ฟอง 
  5. น้ำตาลทรายขาว 80 กรัม 
  6. กลิ่นวานิลลา 1 ฝา
  7. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  8. วัตถุดิบตกแต่งหน้าเค้กตามชอบ
เค้กนมสด

ขั้นตอนวิธีการทำเค้กนมสดด้วยหม้อนึ่ง เนื้อนุ่มฟู

  1. ขั้นตอนแรกร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และนมผงใส่ชามผสม 
  2. ใส่ไข่ไก่ และน้ำมะนาวลงไปในชามผสมอีกหนึ่งชาม ตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดสูงสุด ระหว่างนี้ให้ทยอยใส่น้ำตาลทรายขาว และสารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไปเพื่อลดกลิ่นไข่ เมื่อไข่เริ่มขึ้นฟูแล้วให้ปรับลดลงเป็นสปีดต่ำ ระหว่างนี้ให้ทยอยใส่ส่วนผสมของแป้งในขั้นตอนที่ 1 ลงไป (หากติดขอบชามผสมให้ปาดลงมาด้วยไม้พาย 
  3. เตรียมพิมพ์เค้กรองด้วยกระดาษไข ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นหรือไม้จิ้มฟันคนวนเบาๆเพื่อไล่ฟองอากาศ จากนั้นใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ก่อนจะนำไปนึ่งด้วยไฟแรงเป็นเวลา 30 นาที หรือจนกว่าขนมเค้กจะสุก (ห่อฝานึ่งด้วยผ้าขาวบาง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหยดใส่ตัวเค้ก)
  4. เมื่อเค้กสุกแล้วให้คว่ำออกจากพิมพ์บนกระดาษไข ดึงกระดาษไขที่ติดกับตัวเค้กออกแล้วพักไว้ให้เย็น
  5. ใส่วิปปิ้งครีมลงไปในชามผสม ตีด้วยสปีดสูงสุดจนหน้าวิปปิ้งครีมขึ้นริ้วฉี่แล้วให้ปิดเครื่องได้เลย
  6. ตัดแบ่งครึ่งเนื้อเค้กที่เตรียมไว้ ปาดวิปปิ้งครีมลงไปตรงกลางให้ทั่ว วางทับด้วยเนื้อเค้กอีกหนึ่งชิ้นให้เสมอกันแล้วปาดวิปปิ้งครีมให้ทั่ว เสร็จแล้วตกแต่งเค้กนมสด เพิ่มได้ตามชอบ
เค้กนมสด

เค้กนมสดนอกจากจะทำเพื่อมอบให้เป็น เค้กของขวัญ แทนใจแล้ว ยังสามารถทำทานในครอบครัวได้ในวันว่างๆ และยังนำสูตรนี้ไป ทำเค้กขาย เพิ่มรายได้เสริมให้กับตัวเองได้อีกด้วย เพราะใช้วัตถุดิบน้อยในราคาย่อมเยา ดังนั้น จึงเป็นเมนูเบเกอรี่ที่น่าสนใจมากทีเดียว

Categories
เบเกอรี่

ไดฟุกุ สตอเบอรี่ถั่วแดง ขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น

ไดฟุกุ

ไดฟุกุ DAIFUKU ขนมหวานญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับขนมโมจิ เนื่องจากถูกดัดแปลงมาจากขนมโมจิตั้งแต่สมัยเอโดะ วัตถุดิบในการทำจึงคล้ายคลึงกันตามไปด้วย ชื่อตามภาษาญี่ปุ่นมีความหมายถึงความยิ่งใหญ่ และความโชคดี มีความเชื่อกันว่าเป็นขนมแห่งความโชคดี ที่ควรค่าแก่การมอบให้กันในวันพิเศษ หรืองานมงคลต่างๆ เพื่อเป็นของขวัญอวยพรให้กันและกัน 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ไดฟุกุ ขนมหวานยอดนิยม

เมื่อได้รู้ความหมายดีๆของขนมไดฟุกุ กันมาแล้ว หลายคนคงอยากทำ ขนมหวานยอดนิยม สัญลักษณ์แห่งความโชคดี เพื่อมอบให้กับคนพิเศษในวันสำคัญ หรือทำเพื่อรับประทานเองแบบฟินๆ โดยเมนูนี้สามารถรังสรรค์สอดไส้ได้หลากหลาย เช่น ไดฟุกุสตอเบอรี่ ถั่วแดง,ช็อกโกแลต,อัลมอลด์ และผลไม้ต่างๆตามความชอบ จึงได้นำสูตรขนมไดฟุกุยอดนิยมมาบอกต่อ ให้ได้ทำตามกันง่ายๆ ดังนี้

วัตถุดิบทำไดฟุกุสตอเบอรี่

  1. แป้งข้าวเหนียว 200 กรัม
  2. แป้งมัน 25 กรัม
  3. แป้งมัน สำหรับทำแป้งนวล 100 กรัม 
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. น้ำเปล่า 330 กรัม
  6. สารแต่งกลิ่นตามชอบ 3 หยด
  7. สตรอเบอร์รี่ 16 ลูก 
  8. ถั่วแดงกวนสำเร็จรูป ปริมาณตามชอบ
ไดฟุกุ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกใส่ถุงมือแล้วปั้นไส้ถั่วแดงให้เป็นวงกลม แผ่ออกเพื่อห่อสตอเบอรี่ให้ทั่ว จากนั้นวางใส่กล่องมีฝาปิดเพื่อป้องกันไม่ให้แห้งจนเกินไป และนำไปแช่พักไว้ในตู้เย็น
  2. ผัดแป้งมันสำหรับทำแป้งนวลไดฟุกุ ด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 15 นาที (วิธีการนี้จะทำให้แป้งฟู เนื้อละเอียด ไม่ติดมือ) เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นสนิท
  3. ใส่แป้งข้าวเหนียว แป้งมัน และน้ำตาลทรายลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน จากนั้นทยอยใส่น้ำเปล่าและสารแต่งกลิ่นลงไปในระหว่างคน เพื่อไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน เมื่อละลายเข้ากันแล้วให้นำไปกวนด้วยไฟอ่อนจนแป้งสุกใส
  4. เทแป้งไดฟุกุใส่ถาดที่โรยด้วยแป้ง คลุกแป้งนวลให้ทั่วตัวขนมแล้วตัดแบ่งออกให้เป็นชิ้น ตามจำนวนสตอเบอรี่ที่เตรียมไว้ พักไว้ให้คลายความร้อนแล้วนำมาห่อสตอเบอรี่ให้มิด ปั้นให้เนื้อเนียนเสมอกัน เสร็จแล้วค่ะ สำหรับเมนูเบเกอรี่ยอดนิยมของเราในบทความนี้
ไดฟุกุ

แม้ว่าไดฟุกุ จะถูกดัดแปลงสูตรมาจาก ขนมโมจินกกระทา และใช้แป้งในแบบเดียวกัน คือแป้งข้าวเหนียว หรือแป้งโมจิ แต่ก็นับว่าเป็น เบเกอรี่ทำง่าย ที่มีความอร่อยแตกต่างกัน และสำหรับทริคในการทำขนมในบทความนี้ขอบอกเลยว่า หากใส่แป้งบางจนเกินไปจะทำให้ขนมของเรานั้นแข็ง หากใส่ถั่วแดงเยอะจนเกินไปก็จะทำให้หวานจนเลี่ยน เพราะฉะนั้น แนะนำให้ใส่แต่พอดีนะคะ

Categories
ขนมไทย

ขนม อาลัว กรอบนอกนุ่มใน หนึ่งในสูตรขนมไทยขายดี

ขนม อาลัว

ขนม อาลัว มีชื่อที่คล้ายคลึงกับ ขนมของต่างประเทศ นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็น ขนมไทย อีกหนึ่งอย่างที่ท้าวทองกีบม้าเป็นคนรังสรรค์ขึ้นมา โดยต้นกำเนิดที่แท้จริงของขนมอยู่ที่ประเทศโปรตุเกส นำมาตั้งชื่อที่มีความหมายถึงขนมที่ยั่วยวนชวนให้รับประทาน  มีลักษณะเป็นขนมชิ้นเล็กสีหวาน เนื้อสัมผัสด้านนอกจะกรอบ แต่ด้านในนั้นกลับนุ่มลิ้นหวานละมุน หยิบทานเพลินอย่าบอกใครเลยละ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม อาลัว ขนมไทยทำง่าย

ในปัจจุบันนั้นขนมอาลัว ถือเป็น ขนมไทยยอดนิยม อีกหนึ่งอย่างที่คนไทยให้ความสนใจกันมาก ด้วยรสชาติที่อร่อยจนใครๆต่างหลงใหล ทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นาน นำใส่กล่องพกพาไปรับประทานได้สะดวก หลายคนจึงชื่นชอบ ขนมไทยโบราณ ชนิดนี้กันมาก แถมยังเป็นขนมที่ใช้วัตถุดิบในการทำน้อย แต่ขั้นตอนการทำนั้นต้องใช้ระยะเวลาสักนิด แต่เราจะพาทุกคนไปทำขนมอาลัวลดเวลา โดยใช้เตาอบแทนการนำขนมไปตากแดดกันค่ะ

วัตถุดิบทำขนมอาลัว

  1. แป้งเค้กหรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม 
  2. น้ำตาลทราย 150 กรัม
  3. กะทิ 250 มิลลิลิตร
  4. น้ำเปล่า 60 มิลลิลิตร
  5. สารแต่งกลิ่นมะลิ ½ ช้อนชา
  6. สีผสมอาหารตามชอบ
ขนม อาลัว

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำขนมอาลัว ให้ใส่กะทิ และแป้งเค้กหรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน และนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในกระทะเทฟล่อน หรือกระทะทองเหลือง
  2. ใช้ไม้พายคนส่วนผสมในกระทะให้เข้ากัน เติมน้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลายเข้ากันอีกครั้ง จากนั้นเติมสารแต่งกลิ่นมะลิลงไปคนให้เข้ากันก่อนทำขั้นตอนถัดไป
  3. เปิดไฟตั้งกระทะด้วยไฟกลางค่อนไฟแรง ใช้ไม้พายคนส่วนผสมตลอดเวลาจนกว่าส่วนผสมจะข้น แล้วปรับไฟลงเป็นไฟกลางค่อนอ่อน คนต่อให้ส่วนผสมร่อนจากกระทะ มีเนื้อเนียนเริ่มจับตัวเป็นก้อน ปิดเตาได้เลย
  4. นำแป้งออกมาแบ่งใส่ชามผสมตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ ใส่สีผสมอาหารลงไปผสมให้เข้ากัน 
  5. ใส่แป้งอาลัวลงไปในถุงบีบ พร้อมใส่หัวบีบอาลัว จากนั้นเตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ บีบขนมลงไปให้ทั่วโดยห่างกันเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติดกัน 
  6. อบขนมด้วยเตาอบที่อุณหภูมิ 50 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าขนมจะแห้งดี จากนั้นนำออกมาพลิกด้านขนมแล้วนำไปอบอีกครั้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เป็นอันเสร็จสิ้นพักไว้ให้เย็นแล้วรับประทานได้เลยค่ะ
ขนม อาลัว

หลังจากจบบทความการทำ สูตรขนมอาลัวไม่ตากแดด เชื่อว่าหลายคนคงจะสามารถทำ ขนมอาลัว รับประทานกันได้เองที่บ้านแล้ว แต่หากใครจะทำขายก็นับว่าเป็น ขนมไทยขายดี ที่สามารถสร้างรายได้เสริมได้เป็นกอบเป็นกำ โดยขนมอาลัวนี้จริงๆแล้วมีอยู่สองชนิด คือ อาลัวชาววัง และอาลัวจิ๋ว ซึ่งสูตรที่เราเห็นได้บ่อยครั้งก็เห็นจะเป็นเจ้าอาลัวจิ๋วนี่แหละ