Categories
เบเกอรี่

ขนม โดนัท สูตรเบเกอรี่ทำง่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ขนม โดนัท

ใครชอบทานเบเกอรี่ ห้ามพลาด! กับสูตรทำเมนู ขนม โดนัท เบเกอรี่ยอดนิยม ที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งประเทศไทย ไม่ว่าจะช่วงอายุ หรือเพศไหนๆก็ต่างต้องตกหลุมรักขนมหวานรูปทรงวงกลม มีรูตรงกลาง หน้าตาคล้ายห่วงมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะไปไหน เราก็มักจะพบเจอ โดนัท ขายอยู่บ่อยครั้ง ตามห้างสรรพสินค้า ตลาดน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยตกแต่งให้สวยงามมีความหลากหลายสีสัน หลากหลายรสชาติ ทั้งมีไส้ และไม่มีไส้ เลือกรับประทานได้อย่างไม่มีเบื่อเลยทีเดียว

ทำความรู้จัก ขนม โดนัท เบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ

ในบทความนี้เราก็มีสาระดีๆเกี่ยวกับ ขนมโดนัท (DOUGHNUT,DONUT) เบเกอรี่แป้งทอด หรืออบ แสนอร่อย มาบอกต่อเรื่องราวน่าสนใจให้ทุกคนได้รู้จักกับ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้ให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามีรสชาติอร่อยถูกปาก หรือร้านเบเกอรี่ชื่อดังในประเทศไทยอย่าง โดนัท KRISPY KREME หรือ โดนัท มิสเตอร์โดนัท  เพียงเท่านั้น นอกจากนี้เรายังมีสูตรทำโดนัทง่ายๆมาให้ได้ทำตามกันอีกด้วย

ขนม โดนัท

ประวัติความเป็นมาของ โดนัท 

ประวัติ โดนัท นั้นมีมายาวนานหลายร้อยปี โดยนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ โดนัท ในประเทศอเมริกา จึงได้มีการสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองแมนแฮตเตน หรือนิวอัมสเตอร์ดัม ในช่วงปี ค.ศ.1800 ผู้ค้นพบสูตร ขนมโดนัท คือชาวดัตช์ที่อพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา ในสมัยล่าอาณานิคม เริ่มจากการนำแป้งเค้กไปทอด จนเวลาต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1847 “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” แม่ของกัปตันเรือนิวอิงแลนด์ ได้นำส่วนผสมต่างๆเช่น อบเชย เปลือกมะนาว ลูกจันทน์เทศ ฯลฯ มาให้ลูกชายใช้เป็นเสบียงในการเดินทาง ลูกชาย และลูกเรือของเขาจึงได้นำวอลนัทมาวางตรงกลางขนม และเรียกขนมชนิดนี้ว่า “โดนัท”

ทำไม โดนัท ถึงมีรูตรงกลาง?

รู้หรือไม่ว่าในอดีตนั้น ขนมโดนัท ไม่ได้มีรูตรงกลางเหมือนอย่างในปัจจุบัน แต่สาเหตุที่ก่อเกิด รูตรงกลางของโดนัท ขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องต่อจากเรื่อวของ “เอลิซาเบธ เกรกอรี่” คือ ลูกชายของเธอ “แฮนสัน เกรกอรี่” หรือกัปดตันเรือ ไม่ชอบ โดนัทโบราณ รูปวงกลมที่แม่ของเขาทำ เนื่องจากมันอมน้ำมันมากจนเกินไป เขาจึงได้ใช้ขวดพริกไทยเจาะรูตรงกลาง พบว่ามันอร่อยขึ้น เขาจึงได้นำมาบอกต่อให้กับแม่ของเขาได้รู้ และนี่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ โดนัท มีรู ที่เรารับประทานกันจนถึงทุกวันนี้

ขนม โดนัท

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ โดนัท สูตรไม่ต้องนวด

ขนมโดนัท มีวัตถุดิบสำคัญคือ แป้งสาลี ไข่ และไขมัน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งไขมันเนย , ไขมันจากพืช นอกจากนี้ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ วัตถุดิบที่นำมาปรุงแต่ง โดนัท กลม เพิ่มกลิ่น สีสัน และรสชาติของขนม ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนการทำ โดนัททอด เมนูนี้ก็แสนจะง่ายดาย ไม่ต้องเปลืองเวลานวดแป้งอีกต่อไป และยังสนุกไปกับการตกแต่งหน้าตาขนมให้เป็นไปดั่งใจหวังได้อีกด้วย

วัตถุดิบทำ ขนมโดนัท

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 195 กรัม 
  2. ยีสต์ 1 ช้อนชา
  3. นมสดรสจืดอุ่น 110 มิลลิลิตร
  4. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ 
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ไข่ไก่ เบอร์2 1ฟอง
  8. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  9. น้ำมันสำหรับทอดโดนัท 1 ขวด

วัตถุดิบทำ หน้าน้ำตาลไอซิ่ง

  1. น้ำตาลไอซิ่ง 240 กรัม 
  2. สารแต่งกลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
  3. นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  4. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม ตามชอบ
ขนมโดนัท

ขั้นตอนวิธีการทำ โดนัท แฟนซี

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมโดนัท เริ่มต้นจากการใส่นมอุ่น ยีสต์ และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในชามผสม คนให้ละลายเข้ากันแล้วพักไว้ให้ยีสต์ทำงานเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะมีฟองขึ้นมา (หากยีสต์ตายแล้วให้ทำใหม่นะคะ) 
  2. เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือ ไข่ไก่ (ตีให้พอแตกก่อนใส่นะคะ) น้ำมัน และสารแต่งกลิ่นวานิลลาใส่ลงไป ก่อนจะใช้ไม้พายคนผสมให้เข้ากันจนแป้งจับตัวเป็นก้อน ห่อหุ้มชามผสมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะฟูขึ้นเป็น 2 เท่า 
  3. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้เตรียมถาดรองอบ โรยด้วยแป้งสาลีอเนกประสงค์ให้ทั่ว และใส่ส่วนผสมของแป้งที่พักไว้วางลงไป โรยด้วยแป้งอเนกประสงค์อีกครั้ง ก่อนจะปั้นแป้งเป็นรูปวงรีรีดแป้งด้วยไม้นวดแป้งให้แบนแล้วใช้แก้วน้ำกดลงให้เป็นรูปทรงวงกลม จากนั้นแยกชิ้นวงกลมออกมา และใช้พิมพ์กดวงกลมที่เล็กกว่ากดลงไป เพื่อมีรูตรงกลางเป็นรูปทรงโดนัท
  4. เตรียมถาดรองอบ ทาด้วยน้ำมันบางๆให้ทั่ว ก่อนจะวางโดนัทที่เตรียมไว้ลงไป และห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 40 นาที หรือจนกระทั่งแป้งขึ้นฟู 
  5. ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนแล้วปรับไฟเป็นไฟอ่อนค่อนกลาง แล้วใช้ที่ตักแป้งตักโดนัทมาทอดลงในน้ำมันร้อนๆ เมื่อด้านล่างสุกแล้วให้ใช้ตะเกียบพลิกด้าน เพื่อให้สุกเหลืองทั่วกันทั้งสองรอบ เสร็จแล้วนำไปพักไว้บนตะแกรง เพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน
  6. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ ไอซิ่งสำหรับเคลือบหน้าโดนัท เริ่มจากการนำน้ำตาลไอซิ่ง นมสดรสจืด และกลิ่นวานิลลาใส่ลงไปในชามผสม ใช้ช้อนคนผสมให้ละลายเข้ากัน (หากใครต้องการเพิ่มสีสันให้สวยงามน่ารับประทาน สามารถเติมสีผสมอาหารลงไปได้ในขั้นตอนนี้นะคะ) 
  7. ใช้ที่คีบคีบโดนัทไปคว่ำหน้าเคลือบน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 6 เสร็จแล้ววางไว้บนตะแกรง ตกแต่งด่วยวัตถุดิบตกแต่งหน้าขนมได้ตามชอบ รอให้แห้งดี และรับประทานได้เลยค่ะ
ขนมโดนัท

สนับสนุนโดย : https://paperindustrymag.com

Categories
ขนมไทย

ขนม ไข่ปลา ขนมโบราณ หนึ่งในขนมหาทานยาก

ขนม ไข่ปลา

สวัสดีคนรักขนมไทยทุกๆคนค่ะ ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ขนมไทยพื้นบ้าน อีกหนึ่งชนิดที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด ซึ่งขนมไทยที่เรากำลังจะกล่าวถึงคือ ขนม ไข่ปลา สีเหลืองนวล ขนมรูปร่างเป็นเส้นไขว้พาดกัน คล้ายกับไข่ของปลาสลิด เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แถมยังเป็นขนมไทยที่หาทานได้ยากมาก มีเพียงบางเจ้าที่ ทำขนมไทยขาย เท่านั้นในปัจจุบัน หลายคนจึงไม่เคยได้พบเจอ หรือรู้จักกับขนมไทยชนิดนี้

ขนม ไข่ปลา ขนมพื้นบ้านของจังหวัด สุพรรณบุรี อ่างทอง

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า เมนูขนมหวาน ของเราในบทความนี้ ไม่ได้หาทานได้ง่ายๆเหมือนขนมไทยทั่วไป หากอยากรับประทาน ขนมไข่ปลา สูตรต้นตำรับ ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดสุพรรณบุรี หรือจังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่นิยมทำ ขนมไทยโบราณ เมนูนี้ เพราะเป็นจังหวัดที่มีการปลูกต้นตาลเยอะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการ ทำขนมไทย เมนูนี้ (แต่หากใครอยากทานก็สามารถใช้สูตรที่เรานำมาบอกต่อ ทำทานเองได้ง่ายๆ)

ขนม ไข่ปลา

ประวัติความเป็นมาของ ขนมไข่ปลา ขนมมงคลสีเหลืองนวล

ขนมไข่ปลา มีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนา ในอดีตมักจะทำ ขนมไทยมงคล เมนูนี้ประกอบในเทศกาลสำคัญ เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ และทำถวายวัดในงานบุญประเพณีต่างๆ จนเวลาต่อมาก็ได้มีการดัดแปลง สูตรขนมไทย เพื่อให้อร่อยเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น โดยยังคงใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และทำขึ้นเพื่อเลี้ยงแขกบ้านแขกเมือง

บอกต่อความอร่อยของ ขนมไข่ปลา 

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน ขนมไทยโบราณ แต่ ขนมไข่ปลา นั้นมีความพิเศษแปลกใหม่ ไม่แพ้ขนมไทยยอดนิยม เรียกได้ว่าเป็น ขนมโบราณ ที่ไม่โบราณสมชื่อ รสชาตินั้นอร่อยล้ำไปไกลมาก ในหนึ่งชิ้นประกอบด้วยรสชาติ หวาน มัน เค็ม เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มกำลังดี กรุบเนื้อมะพร้าวทึนทึก ผสานกลิ่นหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อตาล ใครได้ทานสักครั้งต่างต้องติดใจกันทุกๆราย

ขนม ไข่ปลา

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมไทยหาทานยาก

ขั้นตอนการทำ ขนมไข่ปลา นั้นนอกจากขั้นตอนกาเตรียมเนื้อตาลแล้ว สำหรับมือใหม่ หัดทำขนม สามารถใช้เนื้อตาลสุกสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปแทนการทำเองได้ เพื่อความง่าย และสะดวกในการทำมากยิ่งขึ้น และหากใครไม่ชอบทานเนื้อตาลก็สามารถปรับสูตร โดยการใช้ฟักทองสุกแทนได้ จึงนับได้ว่าไม่ได้มีความยาก หรือซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย ในขั้นตอนการทำที่เรานำมาแนะนำจึงใช้เวลา ทำขนม ไม่นาน เพียงต้องอาศัยเทคนิคทางศิลปะเล็กน้อย เพื่อปั้นขนมให้มีรูปร่างคล้ายไข่ปลา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญ 

วัตถุดิบทำ ตัวขนมไข่ปลา

  1. เนื้อตาลสุก 4 ช้อนโต๊ะ
  2. มะพร้าวทึนทึกขูดนึ่ง ปริมาณตามชอบ
  3. น้ำเปล่า

วัตถุดิบทำ น้ำเชื่อม

  1. น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร
  2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  3. ใบเตย 1 มัด
  4. เกลือ 1/2 – 1 ช้อนชา
ขนมไข่ปลา

ขั้นตอนวิธีการทำ ขนมไข่ปลา โรยหน้ามะพร้าวทึนทึก

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมไข่ปลา เริ่มจากการใส่แป้งทั้งสองชนิด คือ แป้งข้าวเหนียว และแป้งข้าวเจ้าลงไปในชามผสม ตามด้วยเนื้อตาลสุก จากนั้นนวดคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันจนสามารถปั้นได้ ระหว่างนวดให้ทยอยใส่น้ำลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมไม่แห้งจนเกินไป เสร็จแล้วห่อชามผสมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้เป็นเวลา 20 นาที เพื่อให้แป้งอิ่มน้ำ และนิ่มมากยิ่งขึ้น
  2. ระหว่างรอให้นำเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาห่อด้วยผ้าขาวบาง ก่อนจะนึ่งให้ร้อนเป็นเวลา 5 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้มะพร้าวเสียง่าย
  3. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้ปั้นขนมเป็นรูปไข่ปลา โดยปั้นให้เป็นเส้นแล้วบีบปลายเส้นเข้าหากันให้เป็นรูปเป็นร่าง ปั้นต่อจนกว่าส่วนผสมที่เตรียมไว้จะหมด
  4. ใส่น้ำเปล่า และน้ำตาลทรายลงไปในหม้อ ก่อนจะเปิดเตาด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่ใบเตยลงไปเคี่ยวด้วยกันจนกว่าส่วนผสมจะละลายทั้งหมด จากนั้นแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่ง (ประมาณ 3 ทัพพี) ใส่ชามผสม ผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เพื่อเก็บไว้แช่ขนมไข่ปลา เสร็จแล้วให้ปรุงรสน้ำเชื่อมในหม้อด้วยเกลือเล็กน้อย คนให้ละลายเข้ากัน
  5. ปรับไฟเป็นอ่อนแล้วนำตัว ขนมไข่ปลา ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปต้มในหม้อ เมื่อด้านที่โดนน้ำสุกแล้วให้กลับด้านขนม ทำการต้มต่อจนกว่าจะสุกดี และนำไปแช่ในน้ำเชื่อมที่แบ่งไว้เป็นเวลา 10 นาที เพื่อให้ตัวขนมเงางามขึ้น
  6. ตักตัวขนมไข่ปลาที่เตรียมไว้มาคลุกกับเนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ก่อนจะนำไปจัดใส่จานให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้น รับประทานได้เลยค่ะ
ขนมไข่ปลา

บทสรุป

สูตรขนมไข่ปลา ของเราในบทความนี้ คงทำให้หลายคนได้ทำความรู้จักกับ เมนูขนมไทย เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนู รวมถึงๆรู้ว่าการ ทำขนมไทย ที่มีสูตรส่งต่อความอร่อยกันมารุ่นสู่รุ่น ขั้นตอนต่างๆนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด แถมยังสามารถนำสูตรขนมเหล่านี้มาทำขายสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และโพสต์ขายในโลกออนไลน์ได้ทันที ยิ่งเป็นขนมที่หาทานได้ยากด้วยแล้ว รับรองว่าขายง่ายขายดีแน่นอนค่ะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/สมัครบาคาร่า888

Categories
ขนมไทย

ขนม ข้าว แต๋น ขนมไทยดั้งเดิมที่ใช้ข้าวเหนียว

ขนม ข้าว แต๋น

ขนม ข้าว แต๋น ขนมไทยโบราณ ของทางภาคเหนือ ตัวขนมเป็นรูปวงกลมทำมาจากข้าวเหนียวนึ่ง ซึ่งนิยมรับประทานกันทั้งประเทศไทย เราจึงมักจะพบเจอ ขนมไทยข้าวแต๋น ได้ในภาคอื่นๆด้วยเช่นกัน และสำหรับคนที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน ขอบอกเลยว่าต้องลองรับประทานกันดูสักครั้ง ด้วยรสชาติที่หวานหอมของน้ำตาลโรยหน้าที่แห้งสนิท แต่ยังคงความหนึบคล้ายคาราเมล ผสมผสานกับเนื้อสัมผัสของข้าวเหนียวที่ผ่านการทอดมาจนกรุบกรอบ นับว่าอร่อยทานเพลินจนหยุดทานไม่ได้เลยทีเดียว

แนะนำ ขนม ข้าว แต๋น ขนมของฝาก จากจังหวัดลำปาง

สำหรับ ขนมข้าวแต๋น นั้น นับว่าเป็น ขนมของฝาก ขึ้นชื่อของภาคเหนือ มักจะนิยมทำเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง นักท่องเที่ยว หรือผู้มาเยือนยังพื้นที่ และหากใครได้มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงงานทำบุญใหญ่ หรือที่เรียกกันว่างานบุญล้านนา ชาวบ้านในพื้นที่ก็มักจะทำประกอบในพิธีด้วย และด้วยความนิยมของขนมข้าวแต๋น จึงกลายเป็น ขนมทำขาย สร้างรายได้ให้กับชาวลำปาง และชาวบ้านภาคเหนือได้อย่างมหาศาล

ขนม ข้าว แต๋น

ประวัติความเป็นมาของ ข้าว แต๋น

ข้าวแต๋น ประวัติ ความเป็นมานั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด หรือใครเป็นผู้คิดค้น สูตรขนมไทย ขนมข้าวแต๋น ขึ้นมา จึงยังเป็นข้อสันนิษฐานมาจนถึงปัจจุบัน บ้างก็บอกว่าพบหลักฐานบางชิ้นที่บ่งบอกว่ามีแหล่งกำเนิดที่ประเทศจีน บ้างก็บอกว่าเกิดขึ้นในวัดที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือ ซึ่งบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยบังเอิญเก็บข้าวเหนียวเหลือจากการรับประทานมาตากแห้ง แล้วนำมาทอดเพื่อถนอมอาหารให้เก็บรับประทานได้เป็นเวลานาน และยังมีอีกแหล่งข้อมูลกล่าวถึงการทำข้าวเหนียวเพื่อพกติดตัวไปรับประทานประทังชีวิตในช่วงสงครามอีกด้วย

ขนมข้าวแต๋น กับขนมนางเล็ด แตกต่างกันอย่างไร?

หลายคนคงเคยสงสัยว่า ขนมข้าวแต๋น กับ ขนมนางเล็ด เป็นขนมไทยชนิดเดียวกันหรือไม่ และขนมทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเราขอตอบเลยว่าเป็นขนมชนิดเดียวกัน โดยชื่อ ข้าวแต๋น นั้นเป็นชื่อที่นิยมเรียกกันของคนภาคเหนือ ส่วนชื่อ นางเล็ด นั้นเป็นชื่อที่รู้จักกันดีของคนภาคอื่นๆ นั้นเอง

ขนม ข้าว แต๋น

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม ข้าวแต๋นน้ำแตงโม ให้อร่อยหวานดั่งใจ 

หากใครเคยรับประทาน ขนมข้าวแต๋น มาก่อนแล้วจะรู้ดีว่าความอร่อยของ ขนมไทยพื้นบ้าน เมนูนี้อยู่น้ำตาลโรยหน้า เรียกว่าใครชอบทาน ของหวาน แล้วมักจะหยิบชิ้นที่โรยหน้าด้วยน้ำตาลเยอะๆก่อนชิ้นอื่นๆ เราจึงได้นำ สูตรข้าวแต๋นน้ำแตงโม รสชาติหวานอร่อยทั้งส่วนของตัวขนม และที่สำคัญเมื่อทำรับประทานด้วยตัวเองก็สามารถโรยหน้าน้ำตาลได้เยอะตามความต้องการ โดยสูตรของเราก็มีดังนี้

วัตถุดิบทำ ข้าวแต๋น

  1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงูใหม่ (ล้างให้สะอาดแล้วแช่น้ำข้ามคืน) 500 กรัม 
  2. น้ำแตงโม (แตงโมหั่นชิ้นปั่นละเอียด) 200 มิลลิลิตร 
  3. หัวกะทิ 50 มิลลิลิตร
  4. น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 3 ช้อนโต๊ะ
  5. เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
  6. ใบเตยมัด 1 มัด
  7. น้ำมันปาล์มสำหรับทอด 1 ขวด

วัตถุดิบทำ น้ำตาลโรยหน้าข้าวแต๋น

  1. น้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลปี๊บ 450 กรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม
  3. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 40 มิลลิลิตร
ขนมข้าวแต๋น

ขั้นตอนวิธีการทำ ข้าวแต๋นน้ำแตงโม

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมข้าวแต๋น ตั้งหม้อนึ่งใส่น้ำและใบเตยมัดลงไปต้มให้เดือดด้วยไฟกลางค่อนแรง ก่อนจะใส่ข้าวเหนียวเขี้ยวงูคลุมด้วยผ้าขาวบางลงไปในซึ้ง และนึ่งต่อด้วยน้ำเดือดจัดเป็นเวลาประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าข้าวจะสุกดี
  2. ระหว่างรอให้มาปรุงรสน้ำแตงโมด้วยกะทิ น้ำตาลไม่ฟอกสี และเกลือป่น คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี เสร็จแล้วให้นำไปมูนกับข้าวเหนียวสุก โดยการเทข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่นึ่งเสร็จแล้วลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับน้ำแตงโม จากนั้นพักไว้เป็นเวลา 20 นาที เพื่อให้ข้าวเหนียวดูดซึมน้ำแตงโมเข้าไป
  3. เมื่อพักไว้จนครบเวลาแล้วให้เตรียมกระด้งทาด้วยน้ำมันพืชบางๆ (เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดกระด้ง) และใช้ช้อนจุ่มน้ำเล็กน้อยตักข้าวเหนียวใส่ลงไปในพิมพ์คุกกี้ หรือพิมพ์อื่นๆ จุ่มน้ำก่อนใช้ด้วยเช่นกัน (หากหาไม่ได้สามารถใช้ฝากะปิ หรือฝาขนมแทนได้นะคะ) ใช้ช้อนเกลี่ยข้าวเหนียวใส่พิมพ์พอให้เกาะกัน และคว่ำวางลงในกระด้งให้เป็นชิ้นวางให้มีระยะห่างกันเล็กน้อย นำไปตากแดดร้อนจัดเป็นเวลา 2 วัน หรือจนกว่าข้าวเหนียวจะแห้งสนิท
  4. ตั้งกระทะใส่น้ำปาล์มสำหรับทอดลงไป เปิดเตาด้วยไฟแรงจัดวอร์มให้น้ำมันร้อนแล้วปรับเป็นไฟกลาง จากนั้นนำข้าวลงไปทอดให้เหลืองกรอบ แล้วกลับด้านเพื่อให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน เมื่อสุกแล้วให้นำไปพักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน 
  5. ขั้นตอนต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ น้ำตาลโรยข้าวแต๋น เริ่มต้นจากการนำน้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทรายแดง เกลือ และน้ำเปล่าใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นเปิดเตาด้วยไฟกลาง เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดีแล้วปิดเตายกลงมาคนให้ข้นได้ที่ และใช้ช้อนตักส่วนผสมโรยหน้าขนมได้ตามชอบ รอให้น้ำตาลเซทตัวแล้วนำไปรับประทาน หรือแพ็คใส่ภาชนะได้ทันที
ขนม ข้าว แต๋น

บทสรุป

ปัจจุบันการทำ ขนมข้าวแต๋น นั้นถูกปรับสูตรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้เลือกทำเลือกซื้อกันอย่างจุใจ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวแต๋นหลากสี ข้าวแต๋นน้ำแตงโม ข้าวแต๋นหมูหยอง ข้าวแต๋นใบเตย ข้างแต๋นธัญพืช ข้าวแต๋นพริกเผา ฯลฯ และการทำข้าวแต๋น 1 ครั้ง ยังสามารถเก็บไว้ได้ 1–2 สัปดาห์เลยทีเดียว

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
เบเกอรี่

ช็อค บอล เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติเข้มข้น

ช็อค บอล

เนื้อเค้ก และเศษขนมปังที่เหลือ อย่าพึ่งทิ้งนะคะ! เพราะวัตถุดิบเหล่านี้สามารถนำมาแปรรูปให้เป็น ช็อค บอล แสนอร่อย ทำทาน หรือทำขายสร้างรายได้ให้กับเราอีกมากมาย แถมยังเป็นเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วหยิบทานง่าย รับประทานเป็นของว่างยามบ่าย หรือของหวานล้างปากหลังอาหารก็ดี รสชาติถูกปากถูกใจทุกเพศทุกวัย รับรองว่าใครทำขายก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว โดยวิธีทำนั้นก็แสนจะง่ายดาย ไม่ซับซ้อนเลยสักนิด เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำขนมหวานแบบสุดๆ

แนะนำ ช็อค บอล ทำทานเองได้ ทำขายไม่มีขาดทุน!!

มือใหม่ห้ามพลาดกับ เมนูเบเกอรี่ ทำง่าย ที่เราได้หยิบยกสูตรเด็ดอร่อยๆ ทำง่ายไม่ซับซ้อน มาแนะนำให้ได้ลองทำตามกันอีกเช่นเคย ซึ่งนั่นก็คือ ช็อคบอล สูตรขนม เมนูโปรดของใครหลายๆคน เป็นเบเกอรี่ที่สามารถนำขนมปัง เนื้อเค้กเหลือใช้จากการทำขนมต่างๆ เศษเค้กที่รับประทานไม่หมด หรือแม้แต่เนื้อเค้กที่อบผิดพลาดมาบดให้ละเอียดทำเป็นเมนูใหม่ได้ง่ายๆ ขายเพิ่มมูลค่าได้มากมาย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าขนมหวานแล้วละก็ หลังจากรู้จักกับเมนูนี้ ไม่มีขาดทุนแน่นอน

ช็อค บอล

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมช็อคบอล 

ช็อคบอล คือ เบเกอรี่ง่ายๆ ที่ลักษณะภายนอกเป็นก้อนกลม เคลือบด้วยช็อคโกแลตบางๆ ตกแต่งด้วยท็อปปิ้งหลากสีน่ารับประทาน เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสนุ่มนิ่มละมุนลิ้น รสชาติหวานผสานความเข้มข้นของ ขนมช็อคโกแลต อร่อยฟินหยิบทานเพลิน ชิ้นเดียวไม่เคยพอ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องซื้อทีละหลายๆชิ้น แต่หากได้เรียนรู้สูตรง่ายๆจากบทความนี้แล้ว คุณจะสามารถทำขนมทานด้วยตัวเอง และทานจนสะใจเลยค่ะ

ขนมหวานที่สามารถตกแต่งได้หลากหลาย 

นอกจากเมนู ช็อคบอล เบเกอรี่ยอดนิยม จะสามารถทำทานเองได้ง่ายๆแล้ว ยังเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เวลาในการทำไม่นาน และขั้นตอนการทำสนุกสนานไปกับการใช้จินตนาการในการรังสรรค์ ตกแต่งหน้าตาของ ขนมหวาน ชิ้นนี้ โดยทุกคนสามารถตกแต่งเบเกอรี่ชิ้นจิ๋วเหล่านี้ให้มีความสวยงาม โดดเด่น แตกต่าง และน่ารับประทาน เช่น การโรยหน้าขนมเม็ดน้ำตาล ตกแต่งด้วยซอสหลากรส ตกแต่งให้เป็นรูปตุ๊กตาต่างๆ ฯลฯ ยิ่งตกแต่งได้สวยงามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าของขนมให้สูงขึ้นมากเท่านั้น และแพคเกจจิ้งในการใส่ขนมยังเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของขนมด้วยนะคะ

ช็อค บอล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมช็อคบอล เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ 

ในที่สุดก็มาถึงส่วนที่ทุกคนรอคอยในบทความนี้ กับ สูตรเบเกอรี่ ช็อคบอล เมนูสำหรับมือใหม่ที่กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นการทำขนมเมนูแรกๆ แม้ว่าปัจจุบันความนิยมของ ขนมช็อคบอล จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีสูตรขนมเกิดขึ้นมากมาย แต่สูตรนี้เป็นสูตรที่เราคัดมาแล้วว่าทั้งทำง่าย ใช้วัตถุดิบน้อย และอร่อยถูกใจ โดยเราจะขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ดังนี้

วัตถุดิบทำ ตัวขนมช็อคบอล 

  1. ขนมปัง หรือเนื้อเค้ก 250 กรัม
  2. ผงโกโก้ 35 กรัม
  3. ดาร์คช็อคโกแลต 190 กรัม 
  4. นมข้นหวาน 190 กรัม

วัตถุดิบทำ ช็อคโกแลตเคลือบ และตกแต่งหน้าขนม

  1. ดาร์คช็อคโกแลต 200 กรัม
  2. ไวท์ช็อคโกแลต 150 กรัม
  3. วัตถุดิบตกแต่งหน้าขนม เช่น เกล็ดน้ำตาลเคลือบสี ตามชอบ
ช็อคบอล

ขั้นตอนวิธีการทำ ช็อคบอล เบเกอรี่ไม่ใช้เตาอบ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ช็อคบอล เริ่มต้นจากการนำ ขอบ  ขนมปัง หรือเนื้อเค้กแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงไปในโถปั่น ก่อนจะเปิดเครื่องปั่นให้ได้เนื้อละเอียด จากนั้นนำไปใส่ลงไปชามผสม ตามด้วยผงโกโก้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลยค่ะ
  2. นำดาร์กช็อคโกแลตไปละลายด้วยไมโครเวฟครั้งละประมาณ 30 วินาที แล้วนำออกมาคนให้ละลายดี จำนวนสองครั้ง เสร็จแล้วใส่นมข้มหวานลงไปคนผสมให้ละลายเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 ทยอยใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยมือกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 นวดจนกว่าขนมปังหรือเนื้อเค้กจะสามารถปั้นเป็นก้อนได้
  4. ปั้นขนมเป็นก้อนกลม ชั่งน้ำหนักให้ได้ลูกละ 25 กรัม หรือขนาดพอดีคำตามความชอบ เสร็จแล้วนำไปวางเรียงไว้ในถาดรองอบแล้วนำไปแช่ในตู้เย็นจนกว่าจะเซตตัว
  5. ระหว่างรอขนมเซตตัวให้นำดาร์กช็อคโกแลต และไวท์ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบขนมมาละลายด้วยไมโครเวฟ จากนั้นนำ ช็อคบอล ที่แช่เย็นเอาไว้ออกมา 
  6. เตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ ก่อนจะนำช็อคบอลลงไปเคลือบช็อกโกแลตให้ทั่ว โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลให้ทั่วก่อนที่ขนมจะเซตตัว หรือหากใครจะใช้ไวท์ช็อกโกแลตโรยตกแต่งให้เป็นลวดลายก่อนจะตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลก็สามารถทำได้ค่ะ เสร็จแล้วรอให้เซตตัว นำออกจากพิมพ์ใส่ถ้วยกระดาษ หรือภาชนะอื่นๆได้เลยค่ะ
ช็อคบอล

บทสรุป

ช็อคบอล ทำมาจากเศษเนื้อเค้ก หรือเศษขนมปัง ทำให้วัตถุดิบหลักนี้หลายคนมักจะมีติดบ้านอยู่แล้ว ขั้นตอนการทำแสนจะง่ายดาย ใช้วัตถุดิบอุปกรณ์น้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่ไม่เคย ทำขนม มาก่อนเลยก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

สนับสนุนโดย : https://gclubspecial168.com

Categories
เบเกอรี่

บรูคกี้ (BROOKIES) รวมความอร่อยในชิ้นเดียว

บรูคกี้

เห็นได้ชัดเจนว่าตลาดเบเกอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต เบเกอรี่ขนมหวาน ถูกรังสรรค์ดัดแปลงสูตรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในเบเกอรี่ยอดนิยมเลยก็คือ บราวนี่ และคุกกี้ เมนูเด็ดที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆคน แต่จะดีกว่าไหมหากเมนูแสนอร่อยทั้งสองถูกหลอมหลวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมนูใหม่อย่าง บรูคกี้ BROOKIES ที่น่ารับประทาน และน่าลองทำรับประทานด้วยตัวเองกันดูสักครั้ง

ทำความรู้จักกับ บรูคกี้ เบเกอรี่ยอดนิยมที่น่าสนใจ

เมนูเบเกอรี่ บรูคกี้ คือ เบเกอรี่อร่อยๆ ที่ได้นำเอาบราวนี่และคุกกี้ เบเกอรี่ยอดนิยม ทั้งสองเมนูมาผสมผสานสูตรเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมนูใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน ส่วนคำว่า BROOKIES ก็มาจากการนำเอาชื่อขนมหวานยอดฮิตอย่าง “BROWNIE” และ “COOKIE” มาผสมกันด้วยเช่นกัน และด้วยความที่เป็นเมนูน้องใหม่ ทำให้หลายคนยังไม่รู้จัก เราจึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเมนูนี้กันก่อน จะไปดูสูตรง่ายๆ และลงมือทำไปพร้อมๆกันค่ะ

บรูคกี้

ลักษณะ และรสชาติของ ขนมบรูคกี้ เบเกอรี่เมนูใหม่ 

ขนมหวานบรูคกี้ เป็นการนำ คุกกี้กรุบกรอบ และบราวนี่ช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้นมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้มีลักษณะเป็นรูปทรงคล้ายบราวนี่ และคุกกี้ตามไปด้วย คือ เบเกอรี่ที่ประกอบด้วยสองชั้น คือชั้นแรกเป็นบราวนี่เนื้อหนึบ ชั้นที่สองจะเป็นคุกกี้เนื้อกรอบ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงรสชาติของ ขนมยอดนิยม ทั้งสองชนิดภายในคำเดียว ขอบอกว่าอร่อยจนหยุดไม่อยู่เลยทีเดียวค่ะ

วัตถุดิบ และขั้นตอน วิธีทำ ขนม บ รู ค กี้

หากใครเคยทำ บราวนี่ หรือคุกกี้มาก่อนแล้ว รับรองได้เลยว่าจะสามารถทำ เมนูเบเกอรี่ บรูคกี้ เมนูนี้ได้โดยง่าย และหากใครเคยทำมาแล้วทั้งสองเมนูก็ยิ่งทำ สูตรบรูคกี้ ได้ง่ายกว่าใครๆ เพราะขั้นตอนวิธีทำนั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลยค่ะ ดังนั้น เราจึงขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน เพื่อให้เข้าใจ และทำตามได้ง่ายยิ่งขึ้น

วัตถุดิบทำ บราวนี่

  1. ดาร์กช็อกโกแลต 140 กรัม 
  2. เนยสด 50 กรัม 
  3. ไข่ไก่ 1 ฟอง 
  4. ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง 
  5. น้ำตาลทราย 30 กรัม 
  6. น้ำตาลทรายแดง 40 กรัม 
  7. สารแต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา 
  8. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม
  9. ผงโกโก้ 25 กรัม 
  10. เกลือป่น ¼ ช้อนชา

วัตถุดิบทำ คุกกี้ช็อกโกแลต

  1. บราวน์บัตเตอร์ 110 กรัม 
  2. น้ำตาลทราย 40 กรัม 
  3. น้ำตาลทรายแดง 45 กรัม 
  4. ไข่ไก่ 1 ฟอง 
  5. กลิ่นวานิลลา 3/4 ช้อนชา 
  6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 145 กรัม 
  7. เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา 
  8. เกลือป่น ¼ ช้อนชา 
  9. ช็อกโกแลตชิพ 120 กรัม
บรูคกี้

ขั้นตอนวิธีการทำ ขนมบรูคกี้

  1. ขั้นตอนแรกของเมนู บรูคกี้ เบเกอรี่แสนอร่อย เป็นขั้นตอนการ ทำบราวนี่ เริ่มต้นจากการใส่ดาร์กช็อกโกแลต และเนยสดลงไปในชามผสม เพื่อนำเข้าไมโครเวฟทำให้ละลายด้วยความร้อน 600 วัต เป็นเวลา 1 นาที
  2. เตรียมเครื่องผสมอาหาร ใส่ไข่ไก่ ไข่แดง น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดงลงไปในโถผสม จากนั้นเปิดเครื่องผสมอาหารสปีดกลางเป็นเวลา 5 นาที จนละลายเข้ากันดี มีเนื้อเนียน จากนั้นใส่ส่วนผสมในขั้นตอนแรกที่ละลายไว้ และกลิ่นวานิลลาลงไปเพิ่มกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน ตีให้ละลายเข้ากันด้วยตะกร้อมือ 
  3. ต่อมาใส่ส่วนผสมของแห้งอย่าง แป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น และผงโกโก้ ตามด้วยการตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดต่ำให้ละลายเข้ากัน ก่อนจะใช้ไม้พายตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เสร็จแล้วพักไว้ไปทำขั้นตอนต่อไปได้เลย
  4. เมื่อเตรียมบราวนี่เสร็จแล้วให้เตรียมชามผสม ใส่บราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดงใส่ลงไปในชามผสม ตีให้เข้ากันด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดกลางเป็นเวลา 3 นาที จนเนื้อนวลเนียนแล้วให้เติมไข่ไก่ และกลิ่นวานิลลาลงไปตีต่อให้เข้ากัน
  5. ร่อนส่วนผสมของแห้งลงไปในชามผสมชามเดียวกันกับส่วนผสมในขั้นตอนที่ 4 (แป้งสาลีเอนกประสงค์ เบคกิ้งโซดา ผงฟู เกลือป่น) ก่อนจะตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดต่ำให้พอเข้ากัน จากนั้นใส่ช็อกโกแลตชิพลงไป ตะล่อมด้วยไม้พายให้เข้ากัน
  6. เตรียมถาดอบสี่เหลี่ยมขนาด 8*8 นิ้ว รองด้วยกระดาษไข หรือกระดาษรองอบ เทส่วนผสมของบราวนี่ลงไปแล้วใช้ไม้พายเกลี่ยให้หน้าเสมอกัน จากนั้นตักส่วนผสมในส่วนของคุกกี้ใส่ลงไปเป็นชั้นที่สอง แล้วเกลี่ยให้หน้าเนียนอีกครั้ง
  7. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 25 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกดี เสร็จแล้วนำออกจากเตามาพักไว้ให้เย็น และนำไปแช่ตู้เย็นให้เชตตัวก่อนจะนำมาตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำ ขนมบรูคกี้ เบเกอรี่บราวนี่เข้มข้นผสานคุกกี้กรุบกรอบ
BROOKIES

ก่อนจะจากกันในบทความนี้ เราขอแนะนำสูตรวิธีการทำ บรูคกี้ ที่ได้รับความนิยมก็มีอยู่ด้วยกันหลายสูตร ไม่ใช่เพียงสูตรของเราที่ได้นำมาแนะนำเพียงเท่านี้ ยกตัวเช่น บรูคกี้PIMMY , บรูคกี้เชฟนุ่น หรือแม้แต่ บรู๊คกี้ครูปูน ที่อร่อยไม่แพ้กันเลยแม้แต่สูตรเดียว แต่หากใครอยากทำ เบเกอรี่ง่ายๆ ขาย แนะนำให้ดัดแปลงสูตรเพื่อให้มีจุดเด่นที่แตกต่างของตัวเองนะคะ

สนับสนุนโดย : https://sa-game.bet/สมัครบาคาร่า888

Categories
ขนมไทย

ขนม รังนก หรือ มันรังนก ขนมจากพืชไร่กรุบกรอบ

ขนม รังนก

เมนูขนมไทย หลากหลายเมนูถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อเพิ่มมูลค่าของ ผัก ผลไม้ หรือแม้แต่วัตถุดิบส่วนผสมที่หาได้ง่ายทั่วไปในประเทศไทย อีกทั้งวิธีการนี้ยังสามารถช่วยให้วัตถุดิบเหล่านี้สามารถเก็บไว้ได้นานมากยิ่งขึ้น และเมนู ขนม รังนก ที่เราได้นำสูตรมาแนะนำในบทความนี้ก็เป็นหนึ่งในขนมหาทานยาก ที่น้อยคนนักจะรู้จัก และน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ลองรับประทานแบบสดใหม่ ดังนั้น เราจึงขออนุรักษ์ ขนมไทยพื้นบ้าน ชนิดนี้ด้วยการบอกต่อสูตรขนมไทยทำง่าย และแนะนำประวัติความเป็นมา พร้อมสาระความรู้เกี่ยวกับขนมให้ได้รู้จักมากขึ้นค่ะ

ขนม รังนก จากพืชไร่ สู่ขนมไทยแปรรูป เพิ่มมูลค่า

ขนมรังนก หรือ มันรังนก คือ ขนมหวานที่ใช้มันเทศที่หาได้ง่ายเป็นส่วนผสมหลัก ถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดยภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยคิดค้นขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนให้มีรายได้มากขึ้น และเพื่อแปรรูปอาหารจากหัวมันเทศที่มีปลูกอยู่ทั่วไปนั่นเอง แม้ว่าจะเป็นขนมพื้นบ้าน ขนมมันรังนก กลับถูกจัดว่าเป็น ขนมไทยหาทานยาก จึงมักจะพบเห็นได้น้อยมากในปัจจุบัน พบเห็นได้เป็น ขนมของฝาก ในบางจังหวัดเพียงเท่านั้น เช่น จังหวัดสงขลา เป็นต้น

ลักษณะ และรสชาติของ ขนมมันรังนก ขนมรสชาติดี มีประโยชน์ 

ขนมรังนก มีลักษณะคล้ายรังของนกสมกับชื่อขนม คือ เป็นเส้นบางๆหลายเส้น จับตัวกันคล้ายรังนก รสชาติหวานมัน หอมเนย เนื้อสัมผัสกรุบกรอบรับประทานเพลิน และมันเทศที่นิยมนำมาทำเป็น ขนมรังนก เป็นพืชที่เป็นอาหารของทั้งคนและสัตว์ นำไปรังสรรค์อาหารได้หลากหลายเมนู นอกจากนี้ยังเป็น ขนมมีประโยชน์ ทานแล้วดีต่อร่างกาย เพราะมันเทศนั้นมีประโยชน์มากมายเหมาะกับคนรักสุขภาพ เช่น ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาโรคโลหิตจาง ความดันโลหิต บำรุงม้าม กระเพาะ และระบบย่อยอาหารได้ดี ฯลฯ 

หนึ่งในขนมไทยมงคลความหมายดี

ขนมไทยในพิธีแต่งงาน หรือพิธีมงคลต่างๆ มักจะประกอบด้วยขนมที่ชื่อมีความหมายเป็นสิริมงคล ขนมรังนก เป็นขนมที่อร่อย สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย และดีต่อร่างกายแล้วยังเป็นหนึ่งใน ขนมมงคล ความหมายดี ซึ่งชื่อของขนมไทยชนิดนี้มีความหมายถึง การมีหลักแหล่งที่พักพิง เปรียบเสมือนรังที่นกใช้พักผ่อนเป็นที่อยู่อาศัย จึงเหมาะแก่การนำขนมไทยชนิดนี้ไปประกอบในพิธีมงคลเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตค่ะ

ขนม รังนก

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมมันรังนก ขนมไทยทำง่าย 

ใครที่กำลังเป็นมือใหม่หัด ทำขนม อย่าพลาดที่จะลองทำ ขนมรังนก ของว่างทานเล่น ในรูปแบบขนมไทยทอด ขนมไทยทำง่าย  ไม่มีความสลับซับซ้อน ใช้วัตถุดิบน้อยเพียง 4 อย่างเท่านั้น และวัตถุดิบเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่หาได้ง่ายทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ความประณีตมากมายหลากหลายขั้นตอนเหมือนดังขนมไทยชนิดอื่นๆ เพียงแต่ต้องระมัดระวังการใช้ไฟระหว่างทอด เพื่อไม่ให้ขนมของเราไหม้จนไม่น่ารับประทาน ดังนั้น เราไปเริ่มต้นเตรียมวัตถุดิบเพื่อเริ่มทำขนมไทยหาทานยาก สูตรขนมรังนก กันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำ ขนมรังนก ทอดกรอบ 

  1. มันเทศ 2 กิโลกรัม
  2. เนยเค็ม 1 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันสำหรับทอด 1+1/2 ขวด
ขนม รังนก

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมรังนก เริ่มต้นจากการนำมันเทศมาปลอกเปลือก แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ก่อนจะพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ และนำมาฝานเป็นชิ้นบางเท่ากันด้วยมีดสองคม หรือใช้ที่สไลด์แทนก็ได้นะคะ เมื่อฝานมันเทศจนหมดแล้วจึงนำมาซ้อนกันเป็นชั้นหั่นเป็นเส้นบางๆเท่ากัน (หรือหากใครมีที่ขูดเส้นก็สามารถนำมาขูดให้เป็นเส้นบางๆได้เลยนะคะ) เพื่อให้นำไปทอดแล้วสุกกรอบทั่วกันดี
  2. เมื่อหั่นมันเทศเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ใส่ลงไปในชามผสม จากนั้นให้ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอให้ร้อน ปรับไฟเป็นไฟกลางแล้วใส่มันเทศที่เตรียมไว้ลงไปทอดจนเริ่มกรอบ จากนั้นใส่เนยเค็ม และมันเทศลงไปทอดให้เข้ากัน ระหว่างนี้ให้หมั่นคนเพื่อให้ไม่ติดกันจนเกินไป โดยระยะเวลาทอดจะขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นมันเทศ จากนั้นใช้กระชอนช้อน มันรังนกทอด ขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นทำซ้ำกับส่วนผสมที่เหลือ
  3. หลังจาก ขนมไทยกรอบ สะเด็ดน้ำมันแล้วให้ตักใส่ถ้วยขนาดเล็ก ก่อนจะคว่ำวางลงในถาดรองเพื่อให้ได้ขนมรูปทรงคล้ายรังนก (ขั้นตอนนี้แนะนำให้ทำตอนขนมยังร้อนๆนะคะ เพื่อให้ขนมจับตัวเป็นก้อน) เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น ตัวขนมจะกรอบมากยิ่งขึ้น
ขนมรังนก

บทสรุป

หลังจากอ่านมาจนถึงตอนนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงได้ทำความรู้จักกับ ขนมรังนก กันมากขึ้น และสามารถทำได้เองแบบง่ายๆ เก็บไว้รับประทานได้นาน เป็น ขนมของว่าง รองท้องที่ดีต่อสุขภาพ หากทานมากไปก็ทำให้อิ่มท้องไปได้ทั้งมื้อด้วยเช่นกัน และสำหรับ สูตรขนมไทย ของเราในบทความนี้สามารถใช้มันม่วง หรือมันชนิดอื่นๆแทนได้ เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ และเพิ่มความอร่อยให้ถูกอกถูกใจคนรับประทานมากยิ่งขึ้น สุดท้ายก่อนจากกันไปในบทความนี้ ขอแนะนำให้รับประทานมันรังนกในขณะที่ยังอุ่นๆอยู่นะคะ รสชาติดีอย่าบอกใครเลยทีเดียว

gclub เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ที่ผู้ใช้นิยมมากที่สุด

Categories
เบเกอรี่

ขนม บัว หิมะ สูตร ขนมไหว้พระจันทร์

ขนม บัว หิมะ

เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ของทุกปีวนเวียนมาถึง นั่นหมายความว่าเทศกาลสำคัญแห่งการเฉลิมฉลองของชาวจีนได้มาถึงด้วยเช่นกัน นั้นก็คือ วันไหว้พระจันทร์ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ได้หยิบยกเอาหนึ่งใน ขนมไหว้พระจันทร์ อย่างเมนู ขนม บัว หิมะ มาบอกต่อสูตรให้ได้ทำตามกันง่ายๆ แต่ก่อนอื่น เราไปทำความรู้จักกับขนมหวานเมนูนี้ให้มากขึ้นกันก่อนนะคะ

ทำความรู้จักกับ ขนม บัว หิมะ ขนมหวานน่ารับประทาน

ขนมบัวหิมะ เป็น ขนมหวาน ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมักจะถูกนำมาใช้ประกอบพิธีไหว้พระจันทร์ในทุกๆปี และมักถูกเรียกด้วยอีกชื่อ คือ ขนมไหว้พระจันทร์แบบนิ่ม ซึ่งก็มาจากรูปร่างหน้าตาของขนมที่เหมือนกับ ขนม ไหว้พระจันทร์ มีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม ตกแต่งด้วยลวดลายสวยงามน่ารับประทาน ด้านในสอดไส้หลากหลายรสชาติหวานละมุนลิ้น

ขนม บัว หิมะ

ประวัติความเป็นมาของ ขนมบัวหิมะ ขนมที่ถูกดัดแปลงตามวัฒนธรรม

ขนมบัวหิมะ หรือ ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ มีต้นกำเนิดมาจากฮ่องกงเป็นที่แรก ก่อนจะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ และได้รับความนิยมมากในช่วง ค.ศ.1990 โดยถูกดัดแปลงมาจาก ขนมไหว้พระจันทร์ดั้งเดิม แต่จะมีความแตกต่างกันที่วิธีการทำ รสชาติที่หวานกว่า และลักษณะของขนมที่มีการผสมสีสันสวยงามเพิ่มเข้าไปในตัวแป้ง รวมถึงการนึ่งแป้งข้าวเหนียวทำให้ขนมนั้นมีความนุ่มเหนียวคล้ายขนมไดฟูกุ และในปัจจุบันก็ได้ถูกรังสรรดัดแปลงสูตร รวมถึงการเพิ่มไส้ขนมให้หลากหลาย จนกลายเป็นขนมที่ถูกใจคนรุ่นใหม่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนมบัวหิมะ ไส้ถั่วแดงกวน 

หากใครเคยลองทำ สูตรขนมไหว้พระจันทร์ มาก่อนแล้ว สูตรขนมทำง่าย ของเราในบทความนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆไปเลย เพราะ ขนมบัวหิมะ แม้จะถูกดัดแปลงให้มีความแตกต่าง แต่กลับทำง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับใครที่กำลังกังวลว่าหน้าตาขนมจะไม่สวย เราสามารถรังสรรค์หน้าตาของขนมได้ง่ายๆ โดยใช้พิมพ์สำหรับทำขนมบัวหิมะ เพียงแค่นำเนื้อขนมที่สอดไส้แล้วมาใส่พิมพ์กดลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้ยังใช้วัตถุดิบน้อยกว่าสูตรดั้งเดิม โดยในสูตรนี้เราจะพาทุกคนไปทำไส้ยอดฮิตอย่าง “ไส้ถั่วแดงกวน” ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยค่ะ

วัตถุดิบทำ แป้งขนมบัวหิมะ

  1. แป้งข้าวเหนียว 200 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. น้ำเปล่า 280 กรัม
  5. สารแต่งกลิ่นเพิ่มความหอม 2 หยด
  6. สีผสมอาหาร ปริมาณตามชอบ

วัตถุดิบทำ ไส้ถั่วแดงกวน

  1. ถั่วแดงต้มสุก 450 กรัม
  2. นมข้นจืด 250 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลทรายขาว 180 กรัม
ขนมบัวหิมะ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนของการทำ ไส้ขนมบัวหิมะ เริ่มต้นจากการนำถั่วแดงต้มสุกใส่ลงไปในเครื่องปั่น ตามด้วยนมข้นจืดใส่ลงไปเพิ่มความหอมมันเข้มข้น จากนั้นปิดฝาเริ่มปั่นให้ละเอียดได้เลย 
  2. นำส่วนผสมของไส้ถั่วแดงที่ปั่นเสร็จแล้วมาใส่ลงไปในกระทะ พร้อมกันกับน้ำตาลทรายขาว ใช้ทัพพีกวนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เสร็จแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง กวนส่วนผสมจนกว่าจะจับตัวเป็นก้อน และมีเนื้อร่อนออกจากกระทะ จากนั้นปิดเตานำออกมาพักไว้ให้เย็น
  3. ต่อมาเป็นขั้นตอนการ ทำแป้ง ขนมบัวหิมะ เริ่มจากการใส่ของแห้งอย่างแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า และน้ำตาลทรายลงไปในกระทะแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นทยอยใส่น้ำลงไประหว่างคนด้วยตะกร้อมือ เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันแล้วให้ใส่สารแต่งกลิ่นลงไป (ในบทความนี้ใช้กลิ่นมะลินะคะ) คนให้เข้ากันอีกครั้งแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง ใช้ไม้พายคนจนแป้งเปลี่ยนเป็นสีใส มีความข้นเหนียว จับตัวเป็นก้อน และร่อนออกจากกระทะ เสร็จแล้วปิดเตาพักไว้ให้พออุ่น
  4. นำส่วนผสมของในขั้นตอนที่ 3 มาตัดแบ่งให้เท่ากันตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ โรยด้วยแป้งนวลแล้วหยดสีผสมอาหารลงไปนวดให้เข้ากันกับแป้ง เพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ ทำซ้ำกับสีอื่นๆ 
  5. ตัดแบ่งแป้ง และไส้ถั่วแดงให้เป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 30 กรัม และเตรียม พิมพ์ขนมบัวหิมะ โรยด้วยแป้งนวลให้ทั่ว ต่อด้วยการโรยแป้งนวลให้ทั่วมือก่อนจะหยิบตัวแป้งมาแผ่ออก และนำมาห่อหุ้มไส้ถั่วแดงที่เตรียมไว้ให้มิด คลึงให้กลมแล้วโรยด้วยแป้งนวลอีกครั้ง นำไปใส่พิมพ์ขนมแล้วกดลงไปในถาดที่โรยด้วยแป้งนวล (เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดภาชนะ) ทำซ้ำกับส่วนผสมที่เหลือ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน นำมารับประทานได้เลยค่ะ
ขนม บัว หิมะ

บทสรุป

จบไปแล้วกับสูตรทำ ขนมบัวหิมะ แบบง่ายๆ ได้เนื้อสัมผัสขนมที่นุ่มเหนียวคล้าย ขนมไดฟูกุ แถมยังสามารถใช้สูตรนี้ไปดัดแปลงปรับลดเพิ่มวัตถุดิบ ตกแต่งหน้าตา ตกแต่งสีสัน สอดไส้อื่นๆได้ตามชอบ นอกจากจะเป็นขนมประกอบในวันสำคัญแล้วยังเป็น ขนมฟิวชั่น ที่สามารถนำมาดัดแปลงได้หลากหลาย ทำทานได้ทุกวันไม่มีเบื่อเลยจริงๆค่ะ อย่าพลาดที่จะนำสูตรขนมอร่อยๆทำง่ายของเราไปลองทำที่บ้านนะคะ

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com/hilo-thai/

Categories
เบเกอรี่

บลูเบอร์รี่ชีสพาย เบเกอรี่ทำง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่

บลูเบอร์รี่ชีสพาย

ใครชอบทานเบเกอรี่ยอดนิยม บลูเบอร์รี่ชีสพาย เชิญทางนี้เลยค่ะ เราจะชวนทุกคนมาทำเมนูเบเกอรี่โฮมเมดแบบง่ายๆด้วยตัวเอง มือใหม่ไม่เคยทำขนมมาก่อนเลยไม่ต้องกังวลนะคะ หากใช้สูตรนี้ทุกคนสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย แถมยังทำออกมาได้นน่ารับประทานเหมือนเชฟเบเกอรี่มาเองเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ บลูเบอร์รี่ชีสพาย

บลูเบอร์รี่ชีสพาย นอกจากจะเป็น เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติหวานซ่อนเปรี้ยว เนื้อสัมผัสกรุบกรอบผสานความนุ่ม ที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆคนแล้ว ยังเป็นหนึ่งใน ขนมหวาน มีประโยชน์ จากวัตถุดิบหลักอย่าง “บลูเบอร์รี่” ซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สีม่วงรสหวานฉ่ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินมากมายที่ดีต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเค แมงกานีส  สารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย

วัตถุดิบทำบลูเบอร์รี่ชีสพาย

  1. แครกเกอร์ 100 กรัม
  2. เนยเค็มละลาย 40 กรัม 
  3. ครีมชีส (นิ่ม) 180 กรัม
  4. นมข้นหวาน 40 กรัม
  5. วิปปิ้งครีม 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา 
  7. ซอสบลูเบอร์รี่กระป๋อง ปริมาณตามชอบ
  8. บลูเบอร์รี่สด ปริมาณตามชอบ
บลูเบอร์รี่ชีสพาย

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำ บลูเบอร์รี่ชีสพาย เริ่มจากการนำแครกเกอร์ไปบดหรือปั่นให้ละเอียด แล้วใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยเนยเค็มละลายลงไปคนให้เข้ากัน 
  2. นำฐานแครกเกอร์ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ กดให้แน่นแล้วนำไปแช่ตู้เย็นเป็นเวลา 30 นาที
  3. ใส่ครีมชีสลงไปในชามผสม ใช้ไม้พายกดลงไปจนครีมชีสนิ่มไม่เป็นก้อน จากนั้นใส่นมข้นหวาน น้ำมะนาว และวิปปิ้งครีมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปใส่ถุงบีบ
  4. บีบครีมชีสใส่ลงไปในพิมพ์ด้านบนของฐานแครกเกอร์ ใช้ช้อนเกลี่ยให้พอเรียบแล้วนำไปใส่ช่องฟิตเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และนำจากพิมพ์ด้วยการใช้มีดกรีดด้านรอบๆออก 
  5. ตักซอสบลูเบอร์รี่ตกแต่งหน้าขนมให้น่ารับประทาน เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ
บลูเบอร์รี่ชีสพาย

เมนูขนมทำง่าย บลูเบอร์รี่ชีสพาย ที่เราได้นำสูตรวิธีการทำง่ายๆ มาแชร์ให้ได้ทำตามกันในบทความนี้ เป็นหนึ่งใน ขนมสุดฮิต ที่พบเจอได้ทั่วไปตามร้านขายขนมหวาน และเบเกอรี่ ซึ่งในบางร้านก็นับว่าราคาสูงอยู่พอสมควร ดังนั้น การทำทานด้วยตัวเองจึงช่วยให้เราทานได้แบบจุใจเลยค่ะ และสำหรับใครที่อยากทำขายก็สามารถใช้สูตรนี้ได้เช่นกันนะคะ คุ้มค่าคุ้มกำไรแน่นอน

สนับสนุนโดย : https://hilospec.com

Categories
เบเกอรี่

MILLEFEUILLE ขนมหวานขึ้นชื่อ จากฝรั่งเศส

MILLEFEUILLE

MILLEFEUILLE คือ ขนมอบสัญชาติฝรั่งเศสแสนอร่อย เชื่อกันว่าเมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรราที่ 16 ตามหลักฐานที่ปรากฏสูตรในตำราอาหารมากมาย สำหรับรูปร่างหน้าตาของขนมมีลเฟยเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยแป้งพายบางกรอบหลายชั้น สลับกันกับไส้ครีมรสหวานละมุน ในบางสูตรมักจะใส่ผลไม้หลากชนิดเพิ่มเข้าไป ทำให้ได้รสหวานอมเปรี้ยวที่ถูกปากใครหลายคน

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ MILLEFEUILLE สตอเบอรี่ รสหวานอมเปรี้ยว

เสน่ห์ของ ขนมมีลเฟย เห็นจะเป็นความกรอบของพายพัฟ ผสานกับความนุ่มของครีม จนมีเรื่องราวเล่าต่อกันมาจนเป็นตำนานเกี่ยวกับ MILLEFEUILLE เรื่องราวเล่าว่า เป็นขนมหวานเมนูโปรดของผู้นำทัพในประเทศฝรั่งเศส มีชื่อว่า “นโปเลียน” ต้องรับประทานในตอนเช้าของทุกวัน และยังมีหลักฐานการบันทึกว่า หลังจากที่ได้นำทัพไปบุกรุกรัสเซียแล้วจะมีการ ทำขนมมีลเฟย เป็นรูปทรงหมวกของนโปเลียน เพื่อเฉลิมฉลองในสงคราม

วัตถุดิบทำ มีลเฟยสตอเบอรี่

  1. แป้งพัฟเพสทรี (แบบรีดมาแล้ว) 400 กรัม
  2. น้ำตาลไอซิง 
  3. นมข้นจืด 125 มิลลิลิตร
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. แป้งข้าวโพด 25 กรัม
  6. น้ำมะนาวเลมอน 2 ช้อนชา   
  7. เจลาติน (แช่น้ำเย็นจัดให้นุ่มก่อนใช้) 2 แผ่น
  8. วิปปิ้งครีม 150 มิลลิลิตร
  9. สตอเบอรี่แช่แข็ง 150 กรัม
  10. สตอเบอรี่สดสำหรับตกแต่ง
MILLEFEUILLE

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกในการทำMILLEFEUILLE เตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษไข ใส่แป้งพัฟเพสทรีวางลงไปแล้ววางทับด้วยกระดาษไข และถาดรองอบทับไว้อีกชั้น ก่อนจะนำเข้าไปอบด้วยอุณหภูมิ 200 องศา เปิดพัดลม เป็นเวลา 15 นาที นำออกมาเอากระดาษไข และถาดรองอบด้านบนออก และนำเข้าไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม เป็นเวลา 10 นาที ครบเวลาแล้วตัดแบ่งให้เป็นสามชิ้นขนาดเท่ากัน พักไว้ให้เย็น
  2. นำสตอเบอรี่แช่แข็ง น้ำมะนาวเลม่อน และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในหม้อแล้วเปิดเตาด้วยไฟกลาง เพื่อให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ระหว่างนี้ให้นำนมข้นจืดมาผสมกันกับแป้งข้าวโพด ใช้ตะกร้อมือตีให้ละลายเข้ากัน เมื่อส่วนผสมที่ตั้งไฟไว้ละลายดีแล้วให้ปิดเตา นำออกมากรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในส่วนผสมของนมข้นจืด นำกลับไปตั้งไฟสักครู่แล้วคนตลอดเวลา เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี มีความเหนียวข้น นำไปหล่อในชามน้ำเย็นให้เย็นตัวลง 
  3. ตีวิปปิ้งครีมด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดสูงสุดจนตั้งยอด จากนั้นนำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 ที่เย็นสนิทแล้วมาตีเพื่อให้คลายตัวแล้วไปผสมให้เข้ากันกับครีม ก่อนจะนำไปใส่ถุงบีบ 
  4. วางพัฟเพสทรีแผ่นแรกลงบนจาน หรือภาชนะอื่นๆ บีบวิปปิ้งครีมลงไปให้ทั่วแล้วตกแต่งด้วยผลสตอเบอรี่สด ทำซ้ำจนกว่าจะครบสามชั้น สุดท้ายโรยหน้าน้ำตาลไอซิงตกแต่งด้วยให้สวยงาม
MILLEFEUILLE

เมนูขนมหวานยอดฮิตMILLEFEUILLE มีอีกหนึ่งชื่อคือ NAPOLEON ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับจักรพรรดินโปเลียน ในบางพื้นที่จะเรียกกันว่า เค้กพันชั้น ซึ่งในปัจจุบันก็มีการรังสรรค์ดัดแปลงให้มีหลากหลายสูตร ตามความชื่นชอบของแต่ละคน หากใครอยากนำ สูตรขนมมีลเฟย สูตรนี้ไปดัดแปลงก็สามารถทำได้ตามชอบ

ufabet เว็บพนันออนไลน์อันดับ1 เล่นได้ตลอด 24 ชม. ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
ขนมไทย

ขนม โคกะทิ หรือขนมหัวล้าน หนึ่งในขนมไทยโบราณ

ขนม โคกะทิ

เชื่อว่าหากใครไม่ใช่คนท้องถิ่นในภาคใต้แล้ว คงไม่เคยรับประทาน ขนม โคกะทิ หรือขนมหัวล้านมาก่อน เพราะในปัจจุบันนั้นถือเป็นขนมไทยโบราณหาทานยาก ที่มักจะพบเจอได้น้อยในภาคอื่นๆของประเทศไทย บางท้องถิ่นของภาคใต้มักจะเรียกชื่อขนมชนิดนี้แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ขนมโคน้ำ,ขนมโคน้ำกะทิ,ขนมหัวล้านทอด,ขนมมด ซึ่งก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามไปด้วย

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ ขนม โคกะทิ สอดไส้มะพร้าว

ขนม โคกะทิ หรือ ขนมหัวล้านกะทิ เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวเนื้อนุ่มนิ่ม ในสมัยก่อนจะเติมสีสันด้วยน้ำสมุนไพร สอดไส้ด้วยไส้หวานจากเนื้อมะพร้าวกับน้ำตาล และไส้เค็มจากถั่วเขียวกวนนั้นเอง นับเป็น ขนมโคกะทิสูตรโบราณ รับประทานคู่กับน้ำกะทิหวานมันที่เข้ากันเป็นอย่างดี

วัตถุดิบทำขนมโคกะทิ

  1. น้ำตาลมะพร้าวหั่นชิ้นเล็ก 100 กรัม
  2. กะทิ 250 มิลลิลิตร
  3. มะพร้าวอ่อนขูด 300 กรัม
  4. แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง
  5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  6. สีผสมอาหาร 
  7. งาขาวคั่ว ปริมาณตามชอบ
ขนม โคกะทิ

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง ใส่น้ำตาลมะพร้าวและน้ำเปล่าเล็กน้อย ทำการผัดส่วนผสมหรือไส้ ขนม โคกะทิ ให้ละลายดีแล้วใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไปผัดต่อ ให้มีความแห้งและเหนียวจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ เสร็จแล้วพักไว้ให้พออุ่น
  2. เตรียมชามผสมสองชามแล้วใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปในปริมาณเท่ากัน ชามแรกใส่สีผสมอาหารลงไปนวดให้เข้ากัน จากนั้นทยอยใส่น้ำเปล่าลงไปในระหว่างนวด จนแป้งนุ่มเนียนจับตัวเป็นก้อน ไม่ติดมือ  ชามที่สองทำเหมือนชามที่หนึ่งแต่ไม่ใส่สีผสมอาหาร (ในกรณีที่ต้องการใช้สองสีนะคะ)
  3. แบ่งแป้งออกมาเป็นวงกลม คลึงให้มีลักษณะแบนแล้วใส่ไส้ที่เตรียมไว้ตรงกลาง แล้วทำการปั้นให้แป้งห่อหุ้มไส้ให้หมด ทำซ้ำจนกว่าแป้งและไส้จะหมด
  4. ตั้งเตาต้มน้ำเปล่าให้เดือดแล้วใส่ขนมลงไปต้ม เมื่อขนมเริ่มสุกจะลอยขึ้นมา ต้มต่ออีก 3 นาที เพื่อให้แป้งและไส้สุกดีเป็นสีใส จากนั้นใช้กระชอนตักขนมขึ้นมาแช่ในน้ำเย็นจัด
  5. ตั้งหม้อด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่กะทิและเกลือลงไปต้มให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน รอจนกะทิเดือดแล้วจัดใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ
ขนม โคกะทิ

สูตร ขนม โคกะทิ สูตรนี้สามารถทำได้ง่าย ทุกคนที่อยากรับประทาน ขนมไทยอร่อย ก็สามารถหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายทั่วไป ไม่ต้องไปหาซื้อไกลถึงภาคใต้ก็ได้ทาน ขนมไทยภาคใต้ ที่ทำด้วยตัวเองกันแล้ว ดังนั้น อย่าลืมนำสูตรนี้ไปปรับใช้แล้วลองทำกันให้ได้นะคะ และอย่าลืมติดตามสูตรขนมต่างๆที่เราได้นำมาฝากกันในบทความอื่นๆ สำหรับบทความนี้ต้องขอลากันไปก่อน สวัสดีค่ะ

ufaball.bet เว็บพนันออนไลน์ เว็บตรง ฝากถอนได้ไม่มีขั้นต่ำ