Categories
ขนมไทย

นำเสนอ ขนม ถ้วยฟู ก้อนกลมสุดน่ารัก เนื้อแป้งนุ่มฟู หวานหอมละมุน

ถ้วยฟู

เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่อยากแนะนำ ขนม ถ้วยฟู รสชาติหวานนุ่มลิ้น ที่มีความกับสีสันสดใส และเนื้อแป้งนุ่มๆ ชวนทาน เรียกเป็นขนมที่เคี้ยวหนึบหนับอร่อยจนต้องทานเพิ่มเลยทีเดียว สำหรับ ถ้วยฟูโบราณ เป็นขนมที่มีอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ถ้วยฟูโบราณสามารถหาทานได้ตามร้านขนมหวานไทยทั่วไป แถมราคาไม่แพงอีกด้วย เรียกว่าเป็นขนมขนมถ้วยฟูคุ้มค่า คุ้มราคาสุดๆ 

แชร์วิธีการทำ ถ้วยฟู แป้งนุ่ม เหนียวหนึบหนับ อร่อยทานได้ทั้งวัน

ถ้วยฟู

ถ้วย ฟู หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ขนมปุยฝ้าย ถือว่าเป็นขนมที่สามารถหาทานได้ง่าย และมีรสชาติหวานละมุ่นลิ้น ไม่หวานจัดจ้าน เหมือนขนมชนิดอื่น จึงทำให้ผู้คนนิยมทานขนมชนิดนี้เป็นอยากมาก และนอกจากขนมจะรสชาติอร่อย และสีสันน่าทานแล้วยังเป็นขนมไทยที่สามารถทำทานได้โดยมีวิธีการทำที่ง่ายๆ ไม่ต้องใช้วัตถุดิบเยอะก็สามาถทำขนมถ้วยฟูสูตรขนม โบราณได้แล้ว แถมรสชาติที่ได้ยังอร่อยเหมือนกับที่ซื้อทานที่ตลาดไม่มีผิดเพี้ยน และที่สำคัญยังเป็นขนมมงคลที่ทานอิ่มกายสบายใจเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และส่วนผสมของขนมที่ต้องเตรียม

ถ้วยฟู
  1. ข้าวหอมมะลินึ่งสุก 170 กรัม
  2. น้ำเปล่า 700 กรัม
  3. กลิ่นมะลิ 1 ช้อนชา
  4. น้ำตาลทราย 300 กรัม
  5. ยีสต์ 1 ช้อนชา
  6. ผงฟู 4 ช้อนชา
  7. สีผสมอาหาร (เลือกสีได้ตามใจชอบ)

ในการทำขนมไทย โบราณ อย่าง ขนมถ้วยฟูที่ทำด้วยตัวเองสามารถปรับความหวานได้ตามใจชอบ และไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย ในของวิธีการทำขนม หวาน ไทยมีดังต่อไปนี้

ถ้วยฟู
  1. นำข้าวหอมมะลินึ่งสุกใส่ลงในเครื่องปั่น จากนั้นเติมน้ำเล็กน้อย และปั่นให้ละเอียด นำมาพักไว้ก่อน หลังจากนั้นนำน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ผสมกับกลิ่นมะลิ ต่อมาในแป้งใส่ในอ่างผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย ผงฟู และยีสต์ คนส่วนผสมให้เข้ากัน เสร็จแล้วใส่น้ำดอกมะลิลงไปแล้วนวดแป้งให้เป็นเนื้อเดียวกัน 
  2. หลังจากที่ได้แป้ง นำมาแบ่งเป็นสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นใส่สีผสมอาหารลงไปในแป้งที่แบ่งไว้ ทำการนวดแป้งให้เข้ากันอีกครั้ง เสร็จแล้วนำพลาสติกแรปมาคลุมไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือจนกว่าแป้งจะฟูขึ้น ให้นำแป้งมานวดอีกครั้ง 
  3. นำหม้อนึ่งมาใส่น้ำนำมาตั้งเตาด้วยไฟปานกลาง ใส่ถ้วยตะไลลงไป หลังจากนั้นหยอดแป้งลงไปในถ้วย พอน้ำเดือดนำไปนึ่งด้วยไฟปานกลางประมาณ 20 นาที หลังจากที่ขนมสุกแล้วให้ยกหม้อออกจากเตา และเปิดไฟได้เลย รอให้ขนมเย็นตัวลง ค่อยนำขนมออกจากถ้วยตะไล 
ถ้วยฟู

สำหรับในขั้นตอนการทำ ขนมถ้วยฟู ให้อร่อย ในส่วนผสมของกลิ่นมะลิ หากอยากให้ขนมมีกลิ่นมะลิที่เป็นธรรมชาติ ให้นำดอกมะลิสดมาลอยน้ำ ใช้สำหรับนวดแป้งให้เป็นก้อน เพียงแค่นี้ก็จะได้ขนมที่มีกลิ่นหอมของดอกมะลิสดชื่นสุดๆ ดังนั้นจะเห็นว่า สูตรถ้วยฟู ขนม ไทย ทำ ง่ายมากๆ แถมวัตถุดิบก็น้อยมาก แต่ความอร่อยนั้นเทียบได้กับที่ขายตามร้านขนมดังๆ เลยทีเดียว 

ขนมถ้วยฟู ขนมมงคล ขนมตรุษจีน ความหมายดี ทานอร่อย อิ่มใจ 

ถ้วยฟู

ขนมถ้วยฟู นอกจากจะเป็นแสนอร่อยของไทยแล้ว ยังเป็นขนมมงคลที่มีความหมายดีมากๆ เพราะสื่อถึงความเฟื่องฟู ความเจริญรุ่งเรือง ทำให้กิจการค้าขายเฮง เฮง อีกทั้งขนมชนิดนี้ยังถูกนำมาเป็นขนมไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนอีกด้วย สำหรับใครที่อยากทำขนมถ้วยฟูสูตรขนมไทย ทำเองที่บ้านสามารถทำตามสูตร ขนม ไทยที่เรานำมาแชร์ได้เลย รับรองว่าทำแล้วอร่อยแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

แชร์ความอร่อย ตะโก้สาคู รสชาติหวาน หอมละมุนลิ้น เม็ดแป้งใส น่าทาน

ตะโก้สาคู

ใครที่ชอบทานขนมตะโก้มาทางนี้ เพราะวันเรามีเมนูขนมตะโก้มาแนะนำให้ลองทำตามง่ายๆ อย่าง ตะโก้สาคู มีความโดดเด่นของเม็ดสาคูสีเขียวใส เนื้อแป้งนุ่มนิ่มชวนทานสุด และที่สำคัญรสชาติหวาน หอมกลิ่นเผือกอร่อยจนลืมไปว่ากำลังลดน้ำหนักกันเลยทีเดียว สำหรับวิธีการทำขนมตะโก้สูตรสาคูก็ทำได้ไม่ยาก ถึงแม้จะไม่เคยทำขนมมาก่อนก็ตาม อีกทั้งตะโก้สาคู ส่วนผสมเพียงเล็กน้อย และหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป โดยขนมตะโก้ที่นิยมทานกันมากที่สุด ได้แก่ สูตรตะโก้สาคูอัญชัน สูตรสาคูตะโก้ข้าวโพด เป็นต้น 

ขั้นตอนการทำ ตะโก้สาคู สไตล์มือใหม่ ทำง่ายๆ อร่อยด้วย

ตะโก้สาคู

หากพูดถึงตะโก้สาคู คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะขนมตะโก้เป็นขนมที่หาทานง่ายที่สุด แถมเนื้อจนมมีความอร่อยไม่เหมือนขนมชนิดอื่น อีกทั้งเนื้อเผือกที่มีความหอม และหนึบหนับ ทำให้ขนมสาคูตะโก้ได้รับความนิยมอย่างมาก อีกทั้งขนมตะโก้เป็นอีหนึ่งเมนูขนมหวานที่มีสูตรทำง่ายมากๆ และวันนี้เราจะมาแชร์สูตร ตะโก้สาคูที่สามารถทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังสามารทำทานได้ทั้งครอบครัว เรียกได้ว่าทำขนมเพียงหม้อเดียวสามารถทานได้ทั้งบ้านเลยทีเดียว

วัตถุดิบ และส่วนผสมของขนมที่ต้องเตรียม

  1. แป้งสาคูเม็ด 1 ถ้วยตวง
  2. ใบเตย 3 ใบ
  3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  4. เม็ดข้าวโพด 1 ถ้วยตวง
  5. น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
ตะโก้สาคู

ส่วนผสมสำหรับหน้ากะทิ

  1. แป้งข้าวเจ้า ½ ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา

หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบ และส่วนผสมการทำขนมไทยอย่างตะโก้เรียบร้อยแล้ว ในลำดับต่อมาจะเป็นขั้นตอนการทำตะโก้ขนม โบราณ ใครที่เป็นมือใหม่ฝึกทำขนมไม่ต้องกังวลไป เพราะวิธีทำที่นำมาแชร์นั้นง่ายๆ ไม่ซับช้อน อีกทั้งยังสามารถอร่อยได้โดยไม่ต้องเป็นเรียนให้เสียเวลา

ตะโก้สาคู
  1. นำน้ำเปล่าใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นนำไปตั้งเตาใช้ไฟปานกลาง ตามด้วยใบเตย จากนั้นรอให้น้ำเดือดใส่เม็ดสาคูลงไป ลดไฟลง จากนั้นต้มไปประมาณ 15 นาที เม็ดสาคูจะเริ่มสุกให้นำใบเตยออก และใส่น้ำตาลลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันจนเม็ดสาคูสุก 
  2. เมื่อเม็ดสาคูสุกดีแล้ว ให้นำเม็ดข้าวโพดที่ต้มสุกแล้วใส่ลงไป คนส่วนผสมไปสักพัก จากนั้นยกหม้อออกจากเตา ปิดไฟ รอให้ขนมเย็น 
  3. ในขั้นตอนต่อมาเราจะมาทำ น้ำราดกะทิ โดยนำหัวกะทิเทไปในหม้อ จากนั้นใส่น้ำตาลทราย เกลือป่นลงไป คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมาพักไว้ก่อน
  4. ตักขนมใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยกะทิ ตามด้วยเม็ดข้าวโพดสุก เพียงแค่นี้ก็สามารถจัดเสิร์ฟได้เลย 
ตะโก้สาคู

ตะโก้ สาคู ที่เรานำมาแชร์นั้นจะเป็นสูตรปรับสูตรให้สามารถทำง่ายมากขึ้น แต่ถ้าบ้านไหนที่มีใบตองสามารถนำไปตองมาทำกระทงใส่ตะโก้สูตรขนมไทย โบราณได้เลย เพราะกระทงใบตองจะช่วยให้ขนมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มาพร้อมกับรสชาติหวานละมุนตามฉบับขนม หวาน ไทยโบราณ นอกจากนี้ยังเป็นขนม ไทย ทำ ง่ายด้วยตัวเองอีกด้วย

ข้อระวังในการทำ ตะโก้สาคู ให้รสชาติอร่อย ตามสูตรโบราณ 

ตะโก้สาคู

สำหรับการทำตะโก้สาคูให้รสชาติเหมือนกับสูตรโบราณนั้นไม่ยากอย่างที่คิด แต่ถึงแม้วิธีการทำขนม ไทย ง่ายๆ ตามแบบฉบับขนมไทย ทำเอง ดูไม่ยุ่งยาก แต่ต้องระวังการต้มสาคู เพราะสาคูเป็นแป้งเมื่อนำไปต้มต้องหมั่นคนให้สม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้น สาคูจะติดก้นหม้อ ทำให้สาคูไหม้ได้ นอกจากนี้ก่อนที่จะตักใส่ถ้วยควรรอให้ขนมเย็นก่อนจะทำให้ขนมมีรสชาติที่หวานอร่อยตามสูตร ขนม ไทยโบราณ แต่ถ้าอยากทานเย็นสามารถนำไปใส่ตู้เย็นก่อนนำมาทานจะได้ขนมที่หวานฉ่ำๆ 

สมัครเล่นเกมออนไลน์ Sagame และเพลิดเพลินกับประสบการณ์เล่นเกมที่น่าตื่นเต้นและมันส์ที่สุดกับเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสูงสุด

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

ขนม ตะโก้เผือก สูตรดั้งเดิม กะทิเข้มข้น เนื้อเผือกเน้นๆ อร่อยฟินทุกคำ

ตะโก้เผือก

เชื่อว่าหลายคนเคยลองทานขนมตะโก้มาบ้างแล้ว โดยวันนี้เราจะพาทุกคนมาลองทำขนมตะโก้ ตะโก้เผือก อย่างง่าย แบบขั้นตอนไม่ซับช้อน และไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย ซึ่งขนมตะโก้มีหลากหลายสูตรไม่ว่าจะเป็น สูตรตะโก้เผือกมะพร้าวอ่อน หรือจะเป็นตะโก้ข้าวโพด ตะโก้รวมมิตร เป็นต้น แต่ก่อนที่เราจะดูวิธีการทำขนมตะโก้ เรามาทำความรู้จัก ซึ่งตะโก้เผือก ประวัติมีมาอย่างยาวนาน โดยตะโก้มีส่วนผสมสองส่วน คือ แป้ง และกะทิ สำหรับเนื้อแป้งประกอบด้วย แป้ง และน้ำตาล ส่วนน้ำกะราดส่วนบนประกอบด้วย หัวกะทิ และเกลือ นั้นเอง 

วิธีทำขนม ตะโก้เผือก สูตรในตำนาน หวานละมุน เนื้อเผือกจัดเต็ม

ตะโก้เผือก

ตะโก้เผือกเป็นขนมหวานที่คนไทยทำทานมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มชาววัง เพราะความโดดเด่นของรสชาติที่หอมกลิ่นเผือกตัดกับความนิ่มนุ่มของเนื้อแป้งได้อย่างพอดี นอกจากนี้ยังเป็นที่ใช้วัตถุดิบในการทำเพียงน้อยนิด ที่สำคัญไม่ต้องใช้น้ำมัน และไม่ต้องใช้เตาอบอีกด้วย เรียกเป็นอีกหนึ่งเมนูตะโก้ที่สามารถลองทำได้ง่าย และวันนี้เราจะพามาทำตะโก้ สูตรตะโก้เผือกชาววัง ฉบับง่ายๆ มือใหม่ก็สามารถทำได้ แต่ก่อนที่จะทำขนมตะโก้ต้องมาเตรียมส่วนผสมก่อนดังนี้

  1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
  2. กะทิ 1 ถ้วยตวง
  3. เผือก 90 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. เกลือ ½ ช้อนชา
ตะโก้เผือก

ส่วนผสมของน้ำราดขนม

  1. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
  2. แป้งข้าวโพด ¼ ถ้วยตวง
  3. แป้งข้าวโพด 1 ถ้วยตวง
  4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  5. เกลือ 1 ช้อนชา

เมื่อได้ส่วนผสมของขนมตะโก้เผือกโบราณครบแล้วในขั้นตอนต่อมาจะเป็นวิธีการทำขนมไทยในฉบับง่ายๆ และไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ทำตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

ตะโก้เผือก
  1. มาเตรียมตัวแป้งตะโก้กันก่อนเลย อันดับแรกนำแป้งข้าวเจ้ามาผสมกับน้ำตาล และกะทิ ใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ ทำการกวนส่วนผสมทั้งหมดไปเรื่อยๆ จนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะเริ่มเหนียว กวนไปเรื่อยๆ แต่ต้องระวังอย่าใช้ไฟแรงเกินไป เพราะอาจจะทำให้ขนมไหม้ และมีกลิ่นติดขนมได้ หลังจากที่ขนมเหนียว และเริ่มใสแล้วใส่เผือกลงไป คนส่วนผสมเข้ากันสักพักให้นำหม้อออกจากเตา แล้วนำไปใส่ในกระทงที่เตรียมไว้ 
  2. ในขั้นตอนต่อมา ทำการเตรียมกระทิราดหน้าตะโก้ โดยเริ่มจากแป้งข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า เกลือ และน้ำตาล ใส่ลงไปในกระทะ เสร็จแล้วนำไปตั้งไฟอ่อนๆ กวนส่วนผสมทั้งให้เข้ากัน และกวนต่อไปจนกว่าแป้งจะสุก และกะทิเหนียวข้นมากขึ้น เมื่อได้น้ำกะทิแล้วให้นำมาราดบนขนมตะโก้ ตามด้วยเผือกนึ่งหั่นเป็นชิ้นๆ โรยลงไปบนหน้าน้ำกะทิ 
ตะโก้เผือก

เมื่อทำขนมตะโก้เผือก สูตรขนม โบราณเรียบร้อยแล้ว จากนั้นรอให้เย็นก่อน แล้วนำไปเสิร์ฟได้เลย และถ้าอยากให้ขนมมีความอร่อยมากขึ้นสามารถนำไปแช่ในตู้เย็นจะทำให้เนื้อแป้งมีความน่มเด้ง และที่สำคัญรสชาติของขนมมีความหวานมากขึ้น นอกจากนี้ตะโก้ เป็น ขนม หวาน ไทยที่สามารถทำทานได้ทุกวัน หรือจะทำฝากเพื่อน หรือ ญาติพี่น้องก็ได้เช่นกัน แถมยังเป็นขนม ไทย ทำ ง่ายมากๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนให้เสียเวลาอีกด้วย 

เปิดเคล็ดลับ วิธีการทำ ตะโก้เผือก ให้อร่อย ตามสูตรดั้งเดิม

ตะโก้เผือก

สำหรับเคล็ดลับในการทำตะโก้เผือก ซึ่งเป็นเมนูขนม ไทย ง่ายๆ ให้อร่อยตามสูตรขนมหวานดั้งเดิมนั้นต้องเลือกวัตถุดิบที่ดี อย่างเผือกจะต้องเลือกหัวใหญ่ เพราะจะได้ปริมาณเนื้อที่เยอะขึ้น และอย่านึ่งเผือกนานเกินไปเพราะจะทำให้เนื้อเละไม่อร่อย ส่วนแป้งเข้าเจ้าอยากให้เนื้อแป้งมีความหอมมากขึ้นให้นำไปอบควันเทียน และอีกหนึ่งเคล็ดลับขนมไทย ทำเองที่บ้าน ในขั้นตอนสูตร ขนม ไทยชาววัง อย่างการกวนกะทิให้ใช้ไฟอ่อน และกวนไปเรื่อยๆ เพื่อให้กะทิมีเนื้อเนียนนุ่ม 

ทำความรู้จักกับเคล็ดลับในการเล่น ไฮโลไทยได้เงินจริง ที่นี่! เรามีเนื้อหาที่จะช่วยให้คุณเป็นนักเล่นไฮโลที่ประสบความสำเร็จ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ ทิปส์ และเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณทำเงินจริงจากเกมไฮโลไทยได้!

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

ขนมหวานโบราณ ตะโก้ รสชาติหวาน มัน เค็ม หอมกลิ่นกะทิสด

ตะโก้

ตะโก้ เป็นหนึ่งในขนมของโทยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเป็นขนมที่ทานง่าย และหาซื้อง่ายตามท้องตลาดทั่วไป อีกทั้งยังเป็นขนมที่มีขนาดเล็กสามารถพกพาไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วย อีกทั้งสูตรของขนมที่ทานกันเป็นสูตรแบบดั้งเดิมสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ สำหรับวิธีทำขนมทํา ตะโก้ กะทิสดแบบโบราณมีหลายคนคิดว่าทำยาก และขั้นตอนต้องซับช้อนแน่นอน แต่แท้จริงแล้ววิธีทำ และขั้นตอนไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แถมยังทำแล้วรสชาติอร่อยไม่แพ้ที่ที่ซื้อทานเลยทีเดียว

รวมขั้นตอนการทำ ตะโก้ สูตรโบราณ หวาน หนึบหนับ ละมุนลิ้นสุดๆ 

ตะโก้

สายขนมหวานต้องลองทานขนมตะโก้ ขนมที่เนื้อแป้งนุ่มหนึบหนับ หวานอร่อยกำลังดี แถมกลิ่นยังหอมชื่นใจ และที่สำคัญทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ทานได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ หรือถ้าอยากลองทำให้ครอบครัวทานก็สามารถทำได้ อีกทั้งยังมีให้เลือกทำหลายสูตร อาทิ ตะโก้เผือก หรือจะเป็นตะโก้สาคู และตะโก้รวมมิตร เป็นต้น แต่สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนมาลองทำขนมตะโก้ สาคู ข้าวโพด เผือก สูตรขนมหวานอย่างง่าย 

ตะโก้

วัตถุ และส่วนผสมที่ต้องเตรียม

  1. แป้งสาคูเม็ด ½ ถ้วยตวง
  2. เมล็ดข้าวโพดหวาน 1 ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  4. เผือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ถ้วยตวง
ตะโก้

วัตถุดิบ และส่วนผสมของน้ำกะทิ

  1. หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
  2. แป้งข้าวเจ้า ½ ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
  4. เกลือป่น 1 ช้อนชา

สำหรับส่วนที่กล่าวมาข้างต้นของขนมตะโก้ คือ ส่วนผสมหลักที่ใช้ทำขนม นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ได้ อย่างเช่น เผือก มันนึ่ง เป็นต้น 

ตะโก้
  1. ในขั้นตอนแรก เราต้องเตรียมหม้อนำไปตั้งเตาใช้ไฟปานกลาง เทน้ำเปล่าลงไป ตามด้วยข้าวโพด เผือก น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งเม็ดสาคู ทำการคนต่อไปเรื่อยๆ จนเนื้อแป้งเหนียวหนืด และคนต่อไปห้ามหยุดกวน เพราะจะทำให้แป้งไหม้ก้นหม้อได้ 
  2. เมื่อแป้งสุกเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อไปให้ตักใส่กระทงใบตอง หรือถ้าไม่มีใบตองสามารถพิมพ์ หรือภาชนะอื่นได้ตามใจชอบ จากนั้นพักไว้ให้เย็น 
  3. ต่อมาจะมาทำน้ำกะทิ โดยนำหัวกะทิเทใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ จากนั้นตามด้วยน้ำตาลทราย แป้งข้าวเจ้า เกลือป่น หมั่นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เมื่อแป้งสุกแล้วให้ทำการยกหม้อออกจากเตา นำไปราดบนขนมที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ โรยหน้าด้วยเม็ดข้าวโพด พร้อมเสิร์ฟได้ทันที 
ตะโก้

หากพูดถึง ตะ โก้ เป็นขนมไทยที่ในสมัยก่อนจะนิยมนำใบไม้ต่างๆ นำมาทำเป็นกระทงสำหรับใส่ขนม เพราะจะทำให้ขนม โบราณขนานแท้มีกลิ่นหอมตามใบไม้ที่เรานำมาทำเป็นกระทง ทำให้ขนมมีความหอมอร่อยมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญกระทงใบไม้ยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แต่ปัจจุบันใบไม้ตามธรรมชาติหายากมาก คนส่วนใหญ่จึงทำขนมไทย โบราณในภาชนะที่อื่นๆ แทน แถมรสชาติหวาน มัน เค็ม กลิ่นกะทิสดอร่อยกลมกล่อมเหมือนเดิม 

สอนทำขนมตะโก้ รวมมิตร อย่างง่าย ใส่อะไรก็ได้ตามใจชอบ 

ตะโก้

ตะโก้สามารถทำได้หลายสูตร แต่ถ้าไม่รู้จะทำสูตรไหนดี ขอแนะนำขนส ตะโก้รวมมิตรไปเลย ซึ่งทอปปิ้งที่จะใช้ทำขนม หวาน ไทยจะเป็น ข้าวโพด เผือก แห้ว เป็นต้น โดยวิธีทำขนม ไทย ง่ายๆ เพียงแค่ทำตามสูตรขนมไทย ทำเองที่เรานำมาแชร์ได้เลย แต่เปลี่ยนจากสูตร ขนม ไทย ตะโก้สาคู เป็นตะโก้ธรรมดา โดยขั้นตอนแรกให้นำแป้งมาต้มให้เหนียวหนืด จากใส่ข้าวโพด เผือก และแห้ว ตามลงไป กวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี นำมาใส่ในกระทงที่เตรียมไว้ ราดด้วยกะทิสูตรเข้มข้น โรยด้วยเม็ดข้าวโพด เผือก และแห้วสุก พร้อมรับประทานได้เลย

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

เข้าครัวชวนทำ ขนม ดอกจอก สูตรโบราณ กรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน

ขนม ดอกจอก

ใครที่ชอบทานขนมหวานแบบไทยแท้ ต้องไม่พลาด ขนม ดอกจอก ที่มีแป้งกรุบกรอบ รสชาติหวานมัน หอมกลิ่นงามคั่ว อร่อย และเคี้ยวเพลินสุดๆ อีกทั้งสีสันของขนมยังชวนทานอีกด้วย สำหรับดอกจอก หนึ่งในขนมหวานของไทยสามารถหาทาได้ทุกที่ โดยเฉพาะตลาดจะมีให้ลองซื้อทานแบบไม่อั้น แต่ถ้าอยากลองทำทานเองที่บ้านในช่วงวันหยุด เรามีวิธีทำสูตรดอกจอก บางกรอบ แป้งไม่เหนียวมาให้ได้ลองทำตามกัน รับรองว่าจะได้ขนมที่รูปร่างสวยงาม และรสชาติอร่อยเหมือนซื้อทานแน่นอน

วิธีทำ ขนม ดอกจอก เนื้อแป้งบางกรอบ ไม่อมน้ำมัน รสชาติหอมอร่อย

ขนม ดอกจอก

ขนมดอกจอก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งขนมหวานโบราณที่มีรสชาติหวานกรอบอร่อย ใครทานเป็นต้องติดใจกับความอร่อยที่เป็เอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งขนมดอกจอกยังมีหลากสูตร ไม่ว่าจะเป็นดอกจอกอัญชัน ดอกจอกสูตงาดำ และดอกจอกสูตรแฟนซี เป็นต้น สำหรับขนมชนิดนี้ถือว่าหาทานได้ยากในสมัยนี้ เพราะขนมทอดค่อนข้างอมน้ำมันทำให้ไม่มีคนชอบทานมากนัก ดังนั้นวันนี้เราจะมาแชร์วิธี ทำขนมดอกจอก ไม่อมน้ำมัน เนื้อแป้งบางกรอบ หอมอร่อยตามฉบับโบราณ แต่ก่อนอื่นต้องไปหาเตรียมวัตถุดิบกันก่อนดังนี้

ขนม ดอกจอก
  1. แป้งข้าวเจ้า 200 กรัม
  2. แป้งมัน 70 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. เกลือ 1 ช้อนชา
  5. หัวกะทิ 200 กรัม
  6. น้ำปูนใส 100 กรัม
  7. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  8. งาดำ 1 ช้อนโต๊ะ

ในลำดับต่อมาจะเป็นวิธีทำขนมไทยดอกจอก สูตรขนม โบราณอย่างง่าย ตามฉบับมือใหม่ โดยมีขั้นต้อนการทำดังนี้

ขนม ดอกจอก
  1. นำแป้งข้าวเจ้า และแป้งมัน น้ำตาลทราย และเกลือป่น เทใส่ในภาชนะ จากนั้นใส่น้ำปูนใส หัวกะทิ และไข่ไก่ ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
  2. เมื่อผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้ว ในขั้นตอนต่อมาให้นำมากรอง แบ่งแป้งสำหรับใส่สีผสมได้ตามใจชอบ เสร็จแล้วใส่งาดำตามลงไปคนให้เข้ากัน 
  3. นำกระทะมาตั้งเตา ใส่น้ำมันลงไป รอให้น้ำมันเดือด นำพิมพ์จุ่มลงไปในแป้งขนมที่เตรียมไว้ จากนั้นนำมาจุ่มในน้ำมันเดือด รอให้แป้งสุกกรอบ ประมาณ 3 นาที แล้วค่อยๆ เขย่าพิมพ์ให้ขนมหลุดออกจากพิมพ์ หลังจากนั้นกลับด้านขนม เมื่อแป้งขนมสุกดีแล้ว นำขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำมัน และเมื่อขนมเย็นตัวแล้วสามารถรับประทานได้เลย
ขนม ดอกจอก

ขนมดอกจอก สูตรขนมไทย โบราณ ที่ทำเสร็จแล้ว จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับที่ทำขายในตลาด ส่วนรสชาติขนมที่ทำเสร็จใหม่ๆ จะมีความหวานหอมกลิ่นงาคั่ว เนื้อแป้งบางกรอบ ไม่เหนี่ยว แป้งไม่หนา และที่สำคัญขนมมีสีสันสวยงามน่าทานสุดๆ สำหรับดอกจอก ขึ้นชื่อว่าเป็นขนม หวาน ไทยที่สามารถทานได้ทุกเทศกาล อีกทั้งยังสามารถทำเป็นของฝากได้ด้วย หรือทำเก็บไว้ทานได้หลายวันเลยทีเดียว 

แชร์เคล็ด (ไม่) ลับ ขนมดอกจอก ทำง่ายๆ ขายได้กำไร 

ขนม ดอกจอก

ขนม ดอกจอกเป็นขนม ไทย ทำ ง่ายๆ และยังใช้ส่วนผสมไม่มากนัก แถมไม่ต้องใช้เตาอบ โดยวิธีทำขนม ไทย ง่ายๆ อย่างขนมดอกจอกสามารทำตามสูตรที่กล่าวมาข้างต้นได้เลย แต่เคล็ดลับการทำขนมให้อร่อยนั้น ในขั้นการทอดขนม ก่อนที่จะจุ่มพิมพ์ในแป้งต้องนำไปจุ่มน้ำมันเดือดๆ ก่อน จากนั้นค่อยนำมาจุ่มแป้งจะทำให้แป้งติดพิมพ์ได้ดีขึ้น จากนั้นเมื่อทอดขนมสุกแล้วให้นำมาวางพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน และอีกหนึ่งเคล็ดลับของการทำขนมให้สวย เมื่อได้ขนมดอกจอกแล้วให้นำมาวางบนก้นถ้วยจะช่วยจัดรูปทรงให้ขนมบานมากขึ้น จากนั้นพักให้เซตตัวประมาณ 5 นาที นำไปวางบนตะแกรงให้ขนมเย็นตัว เพียงเท่านี้ก็จะได้ขนมไทย ทำเองที่บ้านอย่างง่าย ตามสูตร ขนม ไทยดั้งเดิม รสชาติ หอมกรอบอร่อยฟินทุกคำ 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

ขนมเปียกปูน ใบเตยกะทิสด วิธีทำขนมไทยโบราณ ทำง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่

ขนมเปียกปูน

ใครชอบทำขนมไทยต้องห้ามพลาดกับสูตร ขนมเปียกปูน ขนมไทยโบราณ ที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน ด้วยการเลือกวัตถุดิบ รวมถึงขั้นตอนการทำขนมที่มีความละเอียด ประณีต พิถีพิถั น ส่งผลให้ ขนมไทย มีรสชาติหวานละมุน สีสันสวยงาม และรูปลักษณ์น่ารับประทาน เป็นที่ถูกใจทั้งคนไทย และคนต่างชาติที่ได้ลองรับประทาน

ขนมเปียกปูน ขนมไทยเมนูนี้มีหลายเรื่องราวน่าสนใจ

เมนูขนมไทย ถูกคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และส่งต่อ สูตรขนม กันมามาหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้มีขนมไทยมากมายให้คนสมัยใหม่อย่างเราๆ ได้รู้จัก โดยขนมไทยสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามขั้นตอนวิธีทำให้สุก เช่น นึ่ง ต้ม กวน ทอด ปิ้ง เป็นต้น 

ขนมเปียกปูน

ใครชื่นชอบการรับประทานขนมไทยโบราณ ต้องไม่พลาดกับเมนู ขนม เปียกปูน ใบเตยกะทิสด หนึ่งใน เมนูขนมไทยโบราณ ประเภทกวน เมนูนี้มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายรอคุณไปหาคำตอบ หากพร้อมแล้วไปเริ่มทำความรู้จัก ขนมเปียกปูนกะทิสด ก่อนจะไปเรียนรู้สูตรขั้นตอนวิธีทำง่ายๆ ที่เราเชื่อว่าทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน

ประวัติความเป็นมาของขนมเปียกปูน

ประวัติขนมเปียกปูน ไม่มีข้อมูลหลักฐานแน่ชัดว่าถูกคิดค้น สูตรขนมเปียกปูน ขึ้นเมื่อใด มีเพียงข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน ได้มีการดัดแปลงสูตรขนมจาก ขนมกวน หรือ กาละแม ให้กลายเป็นเมนูใหม่อย่างขนมเปียกปูน จึงมีวัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำคล้ายกัน แต่ไม่ใส่กะทิสดเป็นส่วนผสม 

ขนมเปียกปูน

หลายคนอาจสงสัยถึงสาเหตุที่ขนมไทยเมนูนี้ถูกเรียกว่า ขนม เปียกปูน นั้นก็เป็นเพราะว่า ใช้ “น้ำปูนใส” เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนม โดยน้ำปูนใสจะช่วยให้แป้งที่กวนสุกแล้วจับตัวเป็นก้อนแน่นขึ้นเมื่อเย็นลง 

ลักษณะ รสชาติ เนื้อสัมผัสของขนมเปียกปูน

ในสมัยก่อน ขนม เปียกปูน มีความแตกต่างจากปัจจุบัน คือ ขนมเปียกปูนโบราณ มีเนื้อแน่น ทำจากแป้งข้าวเจ้าเท่านั้น และมีสีดำจากกาบมะพร้าวเผา แต่ในปัจจุบันเห็นได้ว่า ขนมเปียกปูนสีเขียว ได้รับความนิยมมากกว่า เป็น สูตรขนมเปียกปูนใบเตย มักจะมีการผสมแป้งมัน หรือแป้งท้าวยายม่อมเข้าไปด้วย ทำให้มีเนื้อสัมผัสนุ่มหยุ่น หวานน้อย ส่วนสีเขียวได้มาจากน้ำใบเตยคั้นสด ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนรับประทาน

ขนมเปียกปูน

ลักษณะขนมเปียกปูน ในสมัยโบราณนิยมทำเป็นถาดทรงกลม เมื่อเนื้อขนมแห้งดีแล้วจึงนำมาตัดให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมพอดีคำ จนถูกเรียกกันอย่างติดปากว่า “สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน” เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม ผสานความกรอบของเนื้อมะพร้าวอ่อนขูดฝอยที่ใช้โรยหน้าขนม

ขนมเปียกปูน

รสชาติขนมเปียกปูน ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่ง ขนมไทยโบราณ ที่อร่อยไม่แพ้ขนมไทยเมนูอื่นๆเลย มีทั้งความหวานมันกลมกล่อม เข้ากันได้ดีกับรสเค็มของกะทิ และเกลือที่ใช้สะบัดน้ำลงไปในมะพร้าวขูดฝอย เรียกได้ว่าใครได้ทานก็ต้องติดใจอย่างแน่นอน

ขนม เปียกปูน ขนมไทยทำง่าย ทำขายดี

ขนมเปียกปูนนอกจากจะเป็น ขนมไทยทำง่าย แล้วยังเป็น ขนมไทยขายดี เนื่องจากเป็นขนมไทยที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน จนเรียกได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับขนมไทยอย่าง เปียกปูน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบเจอ ขนมเปียกปูนสีเขียว ได้บ่อยกว่าขนมเปียกปูนสีดำที่เป็นสูตรดั้งเดิม 

ขนมเปียกปูน

ไม่ว่าขนมเปียกปูนสูตรไหนก็นับได้ว่ามีความอร่อยที่ลงตัว จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่อยากแนะนำส่งต่อสูตรให้กับหลายๆคน ที่ต้องการทำขนมไทยขายสร้างรายได้ในยามว่างก็สร้างเม็ดเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว และยังช่วยให้ขนมไทยของเราไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาอีกด้วย แต่หากใครยังทำขนมเปียกปูนไม่เป็น ก็สามารถใช้สูตรที่เรานำมาแนะนำ ไปลองทำตามกันได้เลย

ขั้นตอนวิธีการทำ ขนมเปียกปูนกะทิสด ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน หวานมัน

สำหรับ สูตรขนมเปียกปูนกะทิสด สูตรนี้เป็น ขนมไทยประยุกต์ สูตรทำตามได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเลยสักนิด ใช้วัตถุดิบอุปกรณ์ในการทำน้อย มีการผสม แป้งท้าวยายม่อม หรือแป้งมันเข้าไปเพื่อช่วยให้ขนมเปียกปูนนั้นเงาสวยกว่าสูตร ขนมเปียกปูนโบราณ ที่สำคัญหากทำขนมด้วยตัวเองแล้วละก็ สามารถปรับเพิ่มลดวัตถุดิบได้ตามชอบ ใครใคร่หวานเพิ่มน้ำตาล แต่หากใครไม่ชอบก็สามารถลดปริมาณลงได้ตามใจชอบเลยนะคะ

ขนมเปียกปูน

วัตถุดิบทำ แป้งขนมเปียกปูน

  1. แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
  2. แป้งท้าวยายม่อม 50 กรัม
  3. น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  6. น้ำมะพร้าว 250 มิลลิลิตร
  7. น้ำปูนใส 250 มิลลิลิตร
  8. น้ำใบเตย 400 มิลลิลิตร
  9. กะทิถุงพาสเจอร์ไรส์ 200 มิลลิลิตร

วัตถุดิบทำ หน้ากะทิสด

  1. กะทิถุงพาสเจอร์ไรส์ 300 มิลลิลิตร
  2. แป้งข้าวเจ้า 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  4. เนื้อมะพร้าวอ่อน 100 กรัม
  5. งาคั่ว ปริมาณตามชอบ

ขั้นตอน วิธีทำ เปียกปูนกะทิสด

ขนมเปียกปูน
  1. ขั้นตอนแรกของการทำ ขนมเปียกปูนกะทิสด เริ่มจากเตรียมชามผสมแล้วเริ่มใส่ส่วนผสมแห้งอย่าง แป้งข้าวเจ้า แป้งท้าวยายม่อม น้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลมะพร้าว เกลือ ตามด้วยกะทิ จากนั้นนวดให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี จนไม่เหลือเม็ดแป้ง
  2. หลังจากนวดจนส่วนผสมได้ที่ดีแล้ว ให้ใส่ส่วนผสมของเหลวลงไป (น้ำมะพร้าว น้ำปูนใส น้ำใบเตย) ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี แล้วนำไปกรองด้วยกระชอนใส่ลงไปในกระทะทองเหลือง เพื่อแยกเศษของส่วนผสมที่ยังละลายไม่หมดออกไป
  3. ตั้งกระทะเปิดเตาด้วยไฟกลาง กวนเบาๆไปทางเดียวกันจนกระทั่งส่วนผสมสุกดี มีเนื้อข้นเหนียวจับตัวเป็นก้อน แล้วจึงกวนแรงขึ้นให้แป้งสุกทั่วกัน มีเนื้อเนียนใส และส่งกลิ่นหอมฟรุ้ง ปิดเตาได้ทันที
  4. ตักเนื้อขนมเปียกปูนใส่ถุงบีบแล้วบีบใส่ภาชนะสำหรับใส่ขนมเปียกปูน โดยแบ่งพื้นที่ด้านบนไว้สำหรับใส่หน้ากะทิ พักไว้ให้ขนมเซทตัวดี
  5. ต่อมาเป็นขั้นตอนการทำ หน้ากะทิขนมเปียกปูน ให้ใส่กะทิลงไปในหม้อ ตามด้วยแป้งข้าวเจ้า เกลือ ใช้ตะกร้อมือคนผสมให้เข้ากันดี ก่อนนำไปตั้งเตาด้วยไฟกลางแล้วคนต่อเรื่อยๆ จนกระทั่งหน้ากะทิเดือด และมีเนื้อข้นหนืด จากนั้นใส่เนื้อมะพร้าวลงไปคนต่อให้เข้ากัน และปิดเตาได้ทันที
  6. เมื่อเนื้อขนมเซทตัวดีแล้วตักหน้ากะทิใส่ลงไปเป็นชั้นที่สอง สุดท้ายโรยตกแต่งหน้าขนมด้วยงาขาวคั่ว

เคล็ดลับ ทำขนมเปียกปูน ให้อร่อย

ขนมเปียกปูนที่น่ารับประทานนั้นต้องมีรสหวานพอดี ไม่เลี่ยนจนเกินไป เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมของใบเตย ผสานกลิ่นน้ำกะทิ เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มสู้ฟัน ซึ่งปัจจัยในการทำให้ ขนมเปียกปูนอร่อย เหนียวนุ่มนั้นขึ้นอยู่กับการเป็นเนื้อเดียวกันของเม็ดแป้ง 

ขนมเปียกปูน

การกวน ส่วนผสมขนมเปียกปูน อย่างสม่ำเสมอบนไฟอ่อนๆ จะช่วยให้เม็ดแป้งเป็นเนื้อเดียวกันพองตัวอย่างสม่ำเสมอ แป้งขนมเปียกปูน เมื่อผ่านการกวนที่ดี แป้งจะเปลี่ยนจากสีขุ่นเป็นสีใส จากนั้นจึงค่อยๆข้นขึ้น และมันเงาน่ารับประทาน แต่หากใช้ไฟแรงเกินไป จะทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อน และสุกเฉพาะด้านนอกเท่านั้น 

บทสรุป

จบลงไปแล้วกับเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับขนมเปียกปูน พร้อมสูตรวิธีทำตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ราวกับจับมือทำ และเราเชื่อว่า ขนมไทยโบราณ แสนอร่อยที่เรานำมาบอกต่อให้ได้ลองทำตามกันในบทความนี้ จะมีประโยชน์กับทุกคนที่เข้ามาอ่าน และนำไปลองทำรับประทานกันดูสักครั้ง 

หากใครสนใจขนมไทยเมนูอื่นๆ ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้เพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของเรา รับรองว่าได้รู้ครบจบทุกเรื่องที่อยากรู้ แถมยังนำไปทำตามได้จริงแน่นอนค่ะ

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

สูตรการทำ สาคูไส้หมู อร่อย เหมือนครัวคุณต๋อยทำเอง

สาคูไส้หมู

สาคูไส้หมู ขนมทานเล่นแบบไทย ๆ หาทานยาก แต่วันนี้เรามีสุตรการทำง่ายๆและอร่อยจริง แบบฉบับสาคูไส้หมูเจ้าอร่อย ง่าย ๆ ที่ใครก็ทำกินเองได้ 

ส่วนผสมในการทำ สาคูไส้หมู

สาคูไส้หมู

สาคู ไส้หมู การเตรียมวัตถุดิบมีเพียงไม่กี่อย่าง เหมือนกับการทำสาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ สำหรับใครที่ชอบเข้าครัวทำกินเอง บอกเลยเมนูนี้จะเป็นอีกหนึ่งเมนูในดวงใจที่เมื่อไหร่ก็ตาม ทำออกมาแล้ว เด็กก็ดี หรือผู้ใหญ่ในทุกช่วงวัย สามารถรับประทานได้ ใครที่อยากเพิ่มรสชาติความเผ็ด ให้รับประทานคู่กับพริกสดได้เลย ด้วยรสชาติหวาน ๆ เค็ม ๆ มาผสมรวมกับความเผ็ดจะทำให้ขนมกินเล่นเมนูนี้ เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดสำหรับสมาชิกในครอบครัว

วัตถุดิบ สาคูไส้หมู

สาคูไส้หมูวัตถุดิบเน้นของสดใหม่ ซึ่งหาได้ไม่ยาก จะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง มาดูกัน

สาคูไส้หมู
  • เม็ดสาคู 250 กรัม
  • หมูสับ 270 กรัม
  • น้ำมันกระเทียมเจียว
  • น้ำมันสำหรับทา
  • พริกไทย 1 ช้อนชา
  • รากผักชี 2 ราก
  • กระเทียม 3 กลีบ
  • หอมแดงสับ 5 หัว
  • ซีอิ้วขาว 1 ชต.
  • น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม
  • ถั่วลิสงคั่วบด 55 กรัม
  • ซีอิ้วขาว 1 ชต.
  • หัวไชโป้ว 100 กรัม (ล้างน้ำ 2 ครั้ง)

วิธีทำ

สาคูไส้หมู

ขั้นตอนที่ 1 เคล็ดลับความอร่อย สาคูไส้หมู เริ่มต้นจากตำกระเทียม รากผักชี พริกไทยให้ละเอียด

ขั้นตอนที่ 2 ใส่นำมันลงในกะทะ ไม่ต้องใช้น้ำมันเยอะ เพราะจะทำให้การทำไส้มีโอกาสที่จะเละได้ ให้นำสามเกลอที่โขลกรวมกันในขั้นตอนที่ 1 มาผัดให้หอม ตามด้วยหอมแดงสับ ผัดต่ออีกครั้งจนกระทั่งส่งกลิ่นหอม ดังนั้น สูตรสาคูดังกล่าว หัวหอมถือว่าเป็น สาคูไส้หมูส่วนผสม ที่ขาดไม่ได้

ขั้นตอนที่ 3 ตามด้วยหมูสับ ผัดจนกระทั่งหมูสับสุก ใส่น้ำตาลปี๊บที่เตรียมไว้ คลุกให้เข้ากันแล้วปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ผัดให้เข้ากันอีกครั้งแล้วนำถั่วลิสงคั่วใส่ลงไปตามด้วยหัวไชโป้วรสเค็มที่ผ่านการล้างน้ำมาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อลดความเค็ม นำส่วนผสมทั้งหมดผัดและคลุกรวมกัน จากนั้นพักให้ไส้เย็นเตรียมปั้น รับรองเลยว่าอร่อยสู้ สูตรสาคูไส้หมูครัวคุณต๋อย

สาคูไส้หมู

ขั้นตอนที่ 4 นำเมล็กสาคูมาแช่ในน้ำประมาณครึ่งชั่วโมง น้ำที่ใช้เป็นน้ำแุณหภูมิห้องแบบปกติ กระทั่งได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ กรองน้ำทิ้ง นำเมล็ดสาคูที่แช่น้ำแล้วมาขยำ ให้ดูว่าเมล็ดพอติดกันหรือเปล่า ทว่า ไม่ต้องนวดเมล็ดสาคูแต่อย่างใด เพราะจะทำให้สาคูที่ปั้นออกมานั้นเหนียวจนเกินไป เหตุผลเพราะ สาคู ส่วนใหญ่แล้วทำมาจากแป้งมัน ถ้านวดนานไป ย่อมมีโอกาสที่เมล็ดสาคูจะเหนียวได้

ขั้นตอนที่ 5 นำไส้ที่เราเตรียมไว้ ปั้นเป็นก้อนกลใ ๆ แล้ววางลงตรงกลางของเม็ดสาคู ปั้นให้กลม พร้อมกับห่อไส้สาคูให้มิด จากนั้นนำมาเรียงเพื่อเตรียมนึ่งในลำดับถัดไป

ขั้นตอนที่ 6 ซึ้งสำหรับนึ่งสาคู ทาน้ำมันให้ทั่วแล้วมาวางบนลังถึงในขณะที่น้ำกำลังเดือด วางขนมสาคูที่เราเตรียมไว้ลงไป เพื่อไม่ให้ตัวขนมติดกัน จำเป็นต้องทาน้ำมันกระเทียมเจียว

ขั้นตอนที่ 7 นึ่งกระทั่งสาคูดูใส นำน้ำมันกระเทียมเจียวมาชโลมอีกครั้ง ก็ถือว่าเสร็จแล้ว เตรียมจัดขนมสาคูลงในจาน โรยกระเทียมเจียวอีกครั้ง ผักแนม ได้แก่ ผีกชี พริกขี้หนูสดและผักสลัด เตรียมรับประทานได้เลย

สาคูไส้หมู

สาคู ไส้หมู เมนูของกินเล่นแบบไทย ๆ ใครก็ทำได้ คิดจะหัดทำขนม ให้เริ่มจากขนมสาคูกันก่อน รับรอง ทำกินแล้วติดใจจนนึกจะทำขาย เพราะสูตรนี้การันตีความอร่อยและทำได้จริง

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

เปิดสูตรต้นตำรับ ขนม หม้อแกง รสชาติหวานจัดจ้าน เนื้อเนียนนุ่ม ละลายในปาก

ขนม หม้อแกง

ขนม หม้อแกง เป็นขนมจากห้องครัวของท้าวทองกีบม้าในสมัยอดีตได้รับความนิยมมากจากชนชั้นสูงในวังหลวง ต่อมาเมื่อคนในห้องครัวได้แต่งงานออกเรือนได้นำสูตร และวิธีการทำหม้อแกงขนมชาววังออกมาถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้รู้จักกับขนมหม้อแกง แต่ปัจจุบันขนมชนิดนี้เป็นขนมขึ้นชื่อเมืองเพชรบุรีไปเรียบร้อย

เปิดครัวชวนทำ ขนม หม้อแกง สูตรชาววัง อบอวลไปด้วยกลิ่นไข่ และกะทิละมุนสุดๆ 

ขนม หม้อแกง

ถึงเวลาเข้าครัวทำขนม หม้อแกง กันแล้ว หลังห่างหายจากการทำขนมมานาน สำหรับขนมหม้อแกงที่จะมาแชร์คือ สูตรหม้อแกงโบราณต้นรำรับท้าวทองกีม้า สำหรับบ้านไหนไม่มีเตาอบ ไม่ต้องเสียใจไป เพราะวันนี้จะพามาทำขนมตามแบบวิธีทำ หม้อแกง แบบ นึ่งง่ายๆ แบบไม่ง้อเตาอบ แถมรสชาติอร่อยตามสูตรต้นตำรับ

วัตถุดิบ และส่วนผสมที่ต้องเตรียม

ขนม หม้อแกง
  1. ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 300 กรัม
  2. กะทิ 400 กรัม
  3. ไข่เป็ด 5 ฟอง
  4. ใบเตย 2-3 ใบ
  5. น้ำตาลปิ๊บ 200 กรัม
  6. หอมแดงเจียว 20 กรัม

สำหรับขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบในการทำขนมหม้อแกง หากบ้านไหนไม่มีน้ำตาลปิ๊บสามารถน้ำตาลทรายแทนได้ หรือจะใช้น้ำตาลไม่พร้าวก็ได้เช่นกัน ส่วนวิธีทำขนมสามารถทำตามได้ดังนี้

ขนม หม้อแกง
  1. นำถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกมาแช่น้ำเปล่า 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ถั่วนุ่มขึ้น จากนั้นนำถั่วไปนึ่งในหม้อนึ่ง โดยใช้ไฟแรง รอให้ถั่วสุก และยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น
  2. เมื่อถั่วนึ่งเย็นแล้ว นำไปปั่นรวมกับน้ำน้ำกะทิ ปั่นจนกว่าถั่วจะมีเนื้อละเอียด
  3. นำไข่เป็ดตอกใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ตามด้วยน้ำตาลปื๊บ ใบเตย ใช้มือขยำให้ส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นใส่ถั่วที่ปั่นเรียบร้อยแล้วลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกรอบ 
  4. เมื่อเตรียมแป้งขนมแล้ว นำมาตักใส่พิมพ์ หรือถ้วยขนมเล็ก เสร็จแล้วนำไปนึ่งในหม้อนึ่ง โดยใช้ไฟปานกลาง รอจนกว่าแป้งขนมจะสุก หลังจากนั้นยกออกจากเตา นำไปพักไว้ให้เย็น โรยหน้าด้วยหอมเจียว
ขนม หม้อแกง

จบไปแล้วกับขนม หม้อแกง ซึ่งเป็นหม้อแกง ทำเองง่ายๆ ไม่มีเตาอบก็ทำได้ อีกทั้งยังมีรสชาติจักจ้านอีกด้วย เรียกได้เป็นขนมไทยที่สามารถทำได้ทั้งอบ และนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าบ้านไหนมีเตาอบสามารนำหม้อแกงขนม โบราณเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 องศเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที หรือจะทำแบบขนมไทย โบราณ โดยนำไปอบด้วยเตาถ่านจะทำให้รสชาติ และกลิ่นของขนม หวาน ไทยแบบสมัยในอดีต เรียกได้ว่าเป็นขนม ไทย ทำ ง่ายอีกหนึ่งชนิด และรสชาติไม่แตกต่างกันมาก สำหรับใครที่อยากลองทำขนม ไทย ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แนะนำให้ลองทำหม้อแกงขนมขนมไทย ทำเองที่บ้านตามสูตร ขนม ไทยที่เรานำมาแขร์ได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

แจกสูตร บัวลอย แก้ว แป้งใส น่าทาน กะทิสด หวานมัน 

บัวลอย แก้ว

มาถึงขนมบัวลอยสุดปัง อย่าง บัวลอย แก้ว ขนมหวานสีสวยงาม รสชาติหวานฉ่ำ ที่มาพร้อมกับเนื้อแป้งใสสวยงาม ราดหน้าด้วยกะทิสดเข้มข้น เรียกได้ว่าเป็นสูตรบัวลอยที่น่าทานมากเลยทีเดียว นอกจากขนมอร่อยสุดๆ วิธีทำก็ทำง่ายมาก ว่าแล้วไปดูกันเลย

ขอเสนอ บัวลอย แก้ว สูตรชาววัง อร่อยเหมือนทานที่ร้าน 

เชื่อว่าทุกคนจะคุ้นชินกับขนมบัวลอยอยู่ แต่จะอยู่หนึ่งสูตรที่อยากแนะนำ นั่นก็คือ บัวลอยแก้ว จะมีความแตกต่างจากขนมบัวลอยสูตรทั่วไปตรงที่เนื้อแป้งมีความใสกว่านั่นเอง ส่วนวิธี ทํา บัวลอย แก้ว กรอบ นั้นจะมีความกับวิธีการทำบัวลอยทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงวิธีการทำต้มเม็ดแป้ง สำหรับสูตรที่นำมาแชร์วันนี้คือบัวลอย แก้ว สามสี หรือเรียกว่าบัวลอยแก้วรวมมิตร โดยมีส่วนผสมดังนี้

บัวลอย แก้ว
  1. แป้งมัน 200 กรัม
  2. กะทิ 1 ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลทรายขาว 150 กรัม
  4. น้ำใบเตย 1 ถ้วยตวง
  5. น้ำดอกอัญชันสีฟ้า 1 ถ้วยตวง
  6. น้ำดอกอัญชันม่วง 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ บัวลอยแก้วกรอบ เมนูขนมหวานสุดฮิต หวานชื่นใจ

บัวลอยแก้ว เป็นขนมไทยวงวารของบัวลอย แต่จะมีจุดเด่นคือ เม็ดแป้งมีความใสสวยงาม เรียกได้ว่าเป็นขนม โบราณที่น่าทานสุดๆ ส่วนขั้นตอนมีดังนี้

บัวลอย แก้ว
  1. นำแป้งมันแบ่งออก 3 ส่วน จากนั้นนำ น้ำดอกอัญชันสีฟ้า น้ำใบเตย และน้ำอัญชันสีม่วง เทใส่ในแป้งที่เตรียมไว้ โดยผสม แป้ง 1 ถ้วย ต่อสีผสม 1 ชนิด จากนั้นนวดแป้งให้เป็นเนื้อเดียวกัน 
  2. นำแป้งที่นวดเสร็จ นำมาปั้นเป็นรูปกลมๆ เสร็จนำไปต้มในน้ำเดือด รอจนแป้งสุก นำแป้งมาน็อคด้วยน้ำเย็น เพื่อให้เม็ดแป้งมีความนุ่มเด้ง จากนั้นตักใส่ภาชนะพักไว้ 
  3. ต่อมาเป็นขั้นการทำน้ำกะทิ เริ่มจากนำกะทิใส่ในหม้อที่เตรียมไว้ จากนั้นเติมน้ำตาล และเกลือลงไป ผสมให้เข้ากันรอให้น้ำกะทิเดือด ยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น
  4. เมื่อแป้งบัวลอยเย็นได้ที่แล้ว ตักบัวลอยใส่ในถ้วยที่เตรียม จากนั้นราดด้วยน้ำกะทิเข้มข้น เพียงแค่ก็เสร็จแล้ว พร้อมทาน
บัวลอย แก้ว

ขนมบัวลอย แก้ว ที่ทำเสร็จแล้วจะมีแป้งที่มีสีสันสดใสกรุบกรอบ รสชาติหวาน มัน เค็ม ครบรส เรียกว่าเป็นไปตามขนมไทย โบราณดั้งเดิม และถ้าอยากให้ขนม หวาน ไทยอย่าง บัวลอยสูตรลอยแก้วมีความหวานหอมมากขึ้น แนะนำเพิ่มไข่หวาน หรือเผือกจะยิ่งทำให้อร่อยสุดๆ หลังจากที่ทำบัวลอยไปแล้วจะเห็นว่าขนม ไทย ทำ ง่ายมาก แถมมีส่วนผสมของขนม ไทย ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน สำหรับมือใหม่สามารถลองดูขั้นตอนขนมไทย ทำเองได้ง่ายๆ อีกทั้งบัวลอยแก้วเป็นสูตร ขนม ไทยโบราณที่คัดมาแล้วว่าทำง่ายที่สุด 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมไทย

สูตร บัวลอย มะพร้าว อ่อน กลิ่นหอม เนื้อมะพร้าวอ่อนจัดเต็ม ทำเองอร่อยทุกคำ

บัวลอย มะพร้าว อ่อน

มาต่อกันที่ขนมบัวลอยสูตรคลาสสิก บัวลอย มะพร้าว อ่อน แป้งเหนียวนุ่ม รสชาติหวานหอม โดดเด่ยด้วยกลิ่นกะทิสด อร่อยชื่นใจ ทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ อีกทั้งยังทำได้ง่ายๆ เพียงใช้วัตถุเพียงเล็กน้อย และสามารถซื้อได้ทั่วไปท้องตลาด ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงหม้อใบเดียวก็สามารถทได้เลย หากใครเป็นคนชอบทานบัวลอย ต้องไม่พลาดกับสูตรบัวลอยโบราณ จัดเต็มด้วยมะพร้าวอ่อนแบบจุใจ 

บัวลอย มะพร้าว อ่อน ขนมพื้นบ้าน แต่ไม่โบราณ รสชาติตามตำรับชาววัง

บัวลอย มะพร้าว อ่อน

หลายคนอาจจะทานขนมบัวลอยมาหลายสูตรแล้ว แต่วันนี้เราจะมาแนะนำบัวลอย มะพร้าว อ่อน แป้งเหนียวนุ่ม หวานมันละมุนลิ้น ส่วนสูตรบัวลอยมะพร้าวอ่อนที่นำมาแชร์เป็นสูตรชาววังดั้งเดิม โดยวิธี ทําบัวลอย สาม สี มะพร้าว อ่อนทำง่ายมาก มือใหม่ก็ทำได้ 

วัตถุดิบ และส่วนผสมที่ต้องเตรียม (เม็ดแป้งบัวลอย)

  1. แป้งมัน 50 กรัม
  2. แป้งข้าวเหนียว 250 กรัม
  3. น้ำใบเตย 1 ถ้วยตวง
  4. น้ำดอกอัญชัน 1 ถ้วยตวง
  5. ฟักทองนึ่งสุก 1 ถ้วยตวง
บัวลอย มะพร้าว อ่อน

วัตถุดิบ และส่วนผสมที่ต้องเตรียม (น้ำกะทิ)

  1. กะทิ 1 ถ้วยตวง
  2. ใบเตย 2-3 ใบ
  3. เกลือ ½ ช้อนชา
  4. น้ำตาลมะพร้าว 20 กรัม

สำหรับส่วนผสมที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้เป็นสีขนมแป้งบัวลอยมะพร้าวอ่อนสามารถใช้วัตถุดิบสีอื่นได้ตามใจชอบ ในส่วนต่อมาเราจะมาทำขนมบัวลอยมีรายละเอียดดังนี้ 

บัวลอย มะพร้าว อ่อน
  1. นำแป้งข้าวเหนียวผสมกับแป้งมัน จากนั้นมาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เท่าๆ กัน นำออกอัญชัน ฟักทองนึ่ง และน้ำใบเตย ใส่ในแป้งที่แบ่งไว้ โดย แป้ง 1 ถ้วย ต่อวัตถุดิบสีผสม 1 ชนิด จากนั้นใช้มือนวดส่วนผสมให้เข้ากัน
  2. จากนั้นนำแป้งมานวดอีกครั้ง ทำการปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆ นำไปต้มในน้ำเดือด รอให้เม็ดแป้งลอยขึ้นมาเหนือน้ำ จากนั้นตักออก 
  3. ระหว่างรอเม็ดแป้งบัวลอยเย็น มาเริ่มทำน้ำกะทิ โดยการเทกะทิใส่ในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลมะพร้าว ในเตยมัดให้เรียบร้อย และเกลือ นำหม้อไปตั้งเตาเปิดไฟปานกลางคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน และรอน้ำตาลละลาย นำออกจากเตา พักไวให้เย็น
  4. จากนั้นตักบัวลอยใส่ถ้วย ราดน้ำกะทิ โรยด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน จัดเสิร์ฟได้เลย
บัวลอย มะพร้าว อ่อน

สำหรับวิธีการทำ บัวลอย มะพร้าวอ่อน ให้อร่อย นอกจากจะต้มแป้งขนมไทยบัวลอยให้สุกแล้วต้องไปน็อคในน้ำเย็น เพื่อให้แป้งเหนียวนุ่ม เด้ง และยังทำให้เม็ดแป้งไม่เละเกินไปอีกด้วย เพียงเท่านี้ก็จะได้บัวลอยขนม โบราณที่มีรสชาติหวาน แป้งเหนียวนุ่ม อร่อยเต็มคำ

เพิ่มความอร่อย บัวลอย มะพร้าว อ่อน ขนมไทย โบราณชาววัง 

บัวลอย มะพร้าว อ่อน

บัวลอยมะพร้าวอ่อน เป็นเมนูขนม หวาน ไทยที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะรสชาติที่หวานกลมกล่อมกำลังดี และเม็ดแป้งที่นุ่มนิ่มชวนทานแบบไม่เบื่อ หากอยากเพิ่มความอร่อยของบัวลอยขนม ไทย ง่ายๆ โดยใส่ไข่หวานลงไปในบัวลอยจะทำให้ขนมไทย ทำเองมีรสชาติหวานหอมไข่ไก่สุดๆ ซึ่งบัวลอยมะพร้าวอ่อนใส่ไข่หวาน เป็นสูตร ขนม ไทยที่มีการปรับปรุงให้ขนมน่าทานมากยิ่งนั่นเอง

อ่านบทความอื่นๆ: