Categories
เบเกอรี่

เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ใครที่ชื่นชอบการรับประทานขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศส ต้องห้ามพลาดกับเมนูเบเกอรี่ที่เรานำมาฝากให้ได้ทำความรู้จัก และลองทำตามกันง่าย ๆ นั้นก็คือ “เครมบรูเล่” CRÈME BRULEE หรือหากจะให้แปลเป็นภาษาไทยก็มีความหมายว่า “ครีมที่ถูกเผา” ซึ่งก็สื่อความหมายถึงตัวขนมได้เป็นอย่างดี โดยมีลักษณะเป็นเบเกอรี่ชิ้นเล็ก ชั้นแรกเป็นชั้นของคาราเมลกรอบที่ผ่านการเผาไหม้ของน้ำตาล ชั้นล่างเป็นคัสตาร์ดไข่เนื้อเนียนนุ่ม รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ อร่อยถูกปากทุกคนอย่างแน่นอน 

เครมบรูเล่ ขนมหวานที่หลาย ๆ คนหลงรัก

หากใครที่เคยลองทาน เครมบรูเล่ กันมาแล้ว รับรองว่าต้องติดใจขนมหวานชิ้นนี้จนลืมไม่ลงกันแน่ ๆ แต่หากจะให้ไปหาซื้อ เบเกอรี่ เครม บรู เล่ ตามร้านทั่วไปก็เห็นจะเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่จะมีขายตามร้านอาหาร หรือคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสเพียงเท่านั้น และที่สำคัญยังมีราคาแพงกว่าเบเกอรี่ทั่วไป ทั้ง ๆ ที่ใช้ส่วนผสมหลักเพียงไม่กี่อย่าง คือ ไข่ น้ำตาลทราย นม ครีม และวานิลลา เราจึงอยากจะเชิญชวนทุกคนมาลองทำรับประทานกันด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะไปลองทำนั้นอยากให้ทำความรู้จักเมนูนี้กันให้มากขึ้นก่อนนะคะ

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมาของ เครมบรูเล่ ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเกิดขึ้นที่ใด หรือใครเป็นผู้คิดค้นกันแน่ แต่ก็มีประวัติที่เก่าแก่ และดูเหมือนจะชัดเจนที่สุด คือ ในตำราอาหารของเชฟชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า “FRANCOIS MASSIALOT” ถูกตีพิมพิมพ์ในปี ค.ศ. 1691 ในตอนนั้นใช้ชื่อของขนมว่า CRÈME BRULEE แต่เมื่อมีการตีพิมพ์ครั้งที่สอง กลับถูกเปลี่ยนชื่อเป็น CRÈME ANGLAISE หรือแครมอองเกลส

ข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อขนม

การที่ตำราอาหารถูกเปลี่ยนชื่อมีข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุว่า เชฟผู้เป็นเจ้าของตำราได้ทราบในภายหลังว่าในประเทศอังกฤษเองก็มี คัสตาร์ดพุดดิ้ง ที่เป็น เมนูขนมหวาน ที่คล้ายคลึงกัน อยู่ในเมนูของ TRINITY COLLEGE ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่ก็ไม่มีชื่อเรียกของเมนูที่ชัดเจน ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1879 คัสตาร์ดพุดดิ้งของฝรั่งเศส ถูกตั้งชื่อว่า TRINITY CREAM แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดจะมาจากที่ใดกันแน่ แต่ในประเทศไทยของเราก็ได้รู้จัก แฃะคุ้นเคยกับเบเกอรี่ที่มีชื่อว่า “เครมบรูเล่” มากกว่าชื่ออื่น ๆ

เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

วิธีการจัดเสิร์ฟ และรับประทาน เบเกอรี่ชิ้นเล็ก

โดยปกติแล้วเมนูเบเกอรี่ เครมบรูเล่ จะถูกจัดเสิร์ฟมาในถ้วยเซรามิกขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่า RAMEKIN โดย 1 ชิ้น สำหรับ 1 คนรับประทาน หลังจาก อบขนม เสร็จจะมีการโรยหน้าคัสตาร์ดไข่ด้วยน้ำตาลทรายขาว ก่อนจะใช้อุปกรณ์บิวเทนทอร์ชพ่นไฟเผาให้ไหม้น้ำตาลให้กลายเป็นคาราเมล และมักจะนำไปแช่ให้เย็นก่อนจัดเสิร์ฟ เมื่อรับประทานแล้วจะสัมผัสได้ถึงหน้าขนมชั้นแรกเป็นชั้นคาราเมลบางกรอบ ชั้นต่อไปเป็นคัสตาร์ดเนียนนุ่ม ซึ่งทั้งสองชั้นเข้ากันเป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีการปรับให้เป็นหลายรสชาติ ผสานกับการใส่ผลไม้เพิ่มเข้าไปตัดรสหวาน ให้ได้รสเปรี้ยวอร่อยด้วย

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำเครมบรูเล่

เมื่อเราไปซื้อเบเกอรี่ เครมบรูเล่ รับประทานระหว่างวันคู่กับชา กาแฟ , ทานล้างปากหลังมื้ออาหาร , เป็นของว่างทานเล่น ก่อนมื้ออาหารหลัก ฯลฯ เรามักจะพบว่าเป็นขนมหวานที่มีราคาแพงกว่าเบเกอรี่ทั่วไป โดยหนึ่งชิ้นมีราคาเริ่มต้นที่ 60 บาทขึ้นไปเลยทีเดียว และด้วยสถานการณ์โควิด การออกไปรับประทานขนมหวานข้างนอกก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน จึงอยากแนะนำสูตรวิธีการทำ เบเกอรี่ทำง่าย ให้ได้ลองทำทานกันเองที่บ้าน โดยใช้วัตถุดิบน้อย และเวลาในการทำเพียงไม่นานก็ได้เบเกอรี่แสนอร่อยมารับประทานกันแล้ว

วัตถุดิบ

  1. ไข่แดง 5 ฟอง
  2. นมสดรสจืด 300 มิลลิลิตร
  3. วิปปิ้งครีม 200 กรัม
  4. น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
  5. สารแต่งกลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่นมสดรสจืดลงไปในหม้อแล้วนำไปต้มด้วยไฟอ่อน พอเริ่มเดือดที่ขอบหม้อแล้วให้เติมวิปปิ้งครีมลงไป คนให้เข้ากันแล้วปิดเตาพักไว้สักครู่
  2. นำไข่แดงใส่ลงไปในชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน ทยอยใส่ครีมที่พักไว้ลงไปในระหว่างคนจนกว่าครีมจะหมด (ในขั้นตอนนี้ต้องหมั่นคนเรื่อย ๆ นะคะ เนื่องจากครีมค่อนข้างร้อน หากหยุดคนอาจทำให้ไข่แดงของเราสุกได้) จากนั้นใส่สารแต่งกลิ่นวนิลาลงไปคนให้เข้ากัน และนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ลงไปในชามผสม
  3. ตักส่วนผสมที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในภาชนะสำหรับอบ จากนั้นนำภาชานะไปวางในถาดรองอบ ใส่น้ำเปล่าลงไปในถาดเล็กน้อยแล้วนำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 40 นาที ครบเวลาแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น
  4. โรยน้ำตาลทรายให้ทั่วหน้าขนมที่อบเสร็จแล้ว ใช้หัวพ่นไฟเผาน้ำตาลให้หน้าไหม้กลายเป็นคาราเมล เป็นอันเสร็จสิ้น รับประทานได้เลยค่ะ
เครมบรูเล่
เครมบรูเล่ ขนมหวานแสนอร่อย การผสมผสานคัสตาร์ดคาราเมล

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเมนู เครมบรูเล่ เบเกอรี่อร่อย ๆ ที่เราได้นำสูตรทำขนมมาฝากให้ได้ลองทำตามกันในบทความนี้ หากใครไม่มีเตาอบก็สามารถใช้ไมโครเวฟทำแทนได้กลายเป็น เบเกอรี่โฮมเมด โดยใช้ไฟสูงประมาณ 4 -5 นาที และนำไปแช่ตู้เย็นก่อนรับประทาน และหากใครไม่มีบิวเทนทอร์ชสำหรับพ่นไฟ ก็สามารถโรยน้ำตาลทรายให้ทั่ว แล้วนำช้อนที่เราใช้ทานข้าวนี่แหละค่ะ ไปลนกับไฟให้ร้อน ก่อนจะวางนาบลงบนผิวหน้าน้ำตาล เพื่อให้น้ำตาลเกิดการ CARAMELIZED หรือการเผาไหม้ของน้ำตาลจนกลายเป็นคาราเมล

Categories
เบเกอรี่

มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

หากจะให้จัดอันดับขนมหวานที่มีกระแสมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในปี 2022 คงต้องยกให้ “มาการอง” ติดท็อปอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนาทีนี้ในประเทศไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก เบเกอรี่ฝรังเศสที่มีลักษณะเป็นคุกกี้สีหวานสองชิ้นประกบกัน สอดไส้หลากรสด้านใน เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ทำให้เบเกอรี่ชิ้นนี้ดูมีเอกลักษณ์น่าหลงใหลกว่าเบเกอรี่ไหน ๆ นิยมทำขายตามร้านเบเกอรี่ และร้านกาแฟ คาเฟ่ต่าง ๆ ไม่ว่าเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ใครได้เห็นก็เป็นอันต้องซื้อติดกลับไปรับประทานที่บ้านกันแทบทุกราย 

มาการอง ขนมหวานกระแสแรงไม่มีตก

มาการอง คือ เบเกอรี่คุกกี้ขนาดเล็กที่มีความพิเศษกว่าชิ้นอื่น ๆ ตรงที่ตัวขนมหวานนี้ทำมาจากส่วนประกอบอัลมอนด์ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ผสานกับไข่ขาว และน้ำตาล เสริมความสวยงามด้วยการใส่สีสันสดใสสองชิ้นประกบกัน และสอดไส้ครีมตรงกลางหลากรส เช่น วานิลลา ช็อกโกแลต อัลมอนด์ หรือแม้แต่ผลไม้ตามฤดูกาล ในบางชิ้นจึงมีรสชาติที่แตกต่างกัน ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แบบอร่อยครบรสเลยทีเดียว นิยมนำมารับประทานคู่กับชา กาแฟ เข้ากันเป็นอย่างดีเลยค่ะ อย่าพลาดที่จะลองรับประทานด้วยตัวเองนะคะ

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ประวัติความเป็นมา

ขนมหวานทานเล่นอย่างมาการองมีต้นกำเนิดที่ประเทศฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งในช่วงนั้นต้องบอกเลยว่าเป็นยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่มาก จนถึงขั้นข้าวยากหมากแพงเลยก็ว่าได้ เวลาต่อมาได้มีมิชชันนารีชาวอิตาเลียนที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ได้นำของที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีราคาไม่แพงในสมัยนั้นมาประกอบอาหารแล้วอบในเตา หลังจากอบเสร็จก็ได้กลายเป็นเบเกอรี่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับจานบิน และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา

จุดเริ่มต้นความนิยมของคุกกี้สีหวาน 

สิ่งที่ทำให้เบเกอรี่ขนมหวาน MACARON นี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น คือ เจ้าพ่อขนมหวาน PIERRE HERME (ปิแอร์ เออร์เม่) ได้รังสรรค์ให้มีไส้อยู่ตรงกลาง โดยใช้ผลไม้จากทุกมุมโลกมาทำเป็นไส้ขนมได้อย่างเข้ากัน เกิดเป็นมาการองยุคใหม่ที่ถูกปรับปรุงสูตรเบเกอรี่ให้อร่อยกลมกล่อมมากขึ้น และด้วยรูปร่างหน้าตาของขนมที่น่ารับประทาน และรสชาติที่โดดเด่น ทำให้กลายเป็นขนมหวานยอดนิยมของคนทั่วโลก และกลายเป็นขนมในตำนานที่นักทำขนมอบหลาย ๆ ประเทศต่างคลั่งไคล้หลงใหลจนเป็นแฟชั่นในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ที่มาของชื่อขนม MACARON 

ในสมัยก่อนคนส่วนใหญ่จะสับสนระหว่างชื่อของขนมที่เรียกว่า มาการอง (MACARON) หรือ แมคารูน (MACAROON) เป็นคำถาษาอังกฤษที่แปลมาจากชื่อขนมฝรั่งเศส ที่มักจะสะกดกันผิดอยู่บ่อย ๆ จึงได้มีการเปลี่ยนจากภาษาฝรั่งเศสมาใช้ภาษาอังกฤษแทน เพื่อให้แตกต่างกัน แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังสะกดชื่อผิดอยู่เหมือนเดิม ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสองชื่อก็ล้วนแต่มาสื่อถึงขนมชนิดเดียวกัน เพียงแค่การตีความหมายของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันเพียงเท่านั้น

ขนมหวานที่มีประโยชน์

มาการอง เป็นอีกหนึ่งขนมที่มีประโยชน์ เพราะมีส่วนผสมของแป้งอัลมอนด์ และไข่ขาวที่มีสารอาหารส่งผลดีต่อร่างกาย อุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยสร้างพลังงานที่ดี รวมถึงมีระดับคอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ นอกจากนั้นยังมีวิตามิน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และธาตุเหล็ก ดังนั้น การทานขนมหวานรสชาติอร่อยนี้ จึงถือเป็นสิ่งที่ดี และยังช่วยให้อารมณ์ดีจากความหวานของน้ำตาลอีกด้วย

มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

การทานมาการองมากเกินไป ไม่ดีต่อสุขภาพ

แม้ว่ามาการองจะมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่หากทานมากเกินไปก็ยังส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้อีกด้วย ข้อแรกที่หลาย ๆ คนรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับการทานขนมหวาน คือ ในหนึ่งชิ้นมีแคลอรี่มากถึง 100 แคลอรี่ จึงไม่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก , ทำให้ฟันผุจากน้ำตาลในปริมาณมาก และน้ำตาลยังส่งผลเสียต่อตับที่ไม่สามารถดูดซับได้ทั้งหมด และที่สำคัญไม่เหมาะกับคนที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวาน จึงขอเตือนกันสักนิดว่า ควรทานในปริมาณที่พอดีนะคะ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ MACARON

ปัจจุบันเห็นได้ชัดเลยว่ามีการทำมาการองขายให้เห็นทั่วไปอยู่เยอะมาก ๆ ในราคาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ชิ้นละ 5 บาท จนสูงถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกัน ยิ่งมีการใส่ทองคำเปลวเพิ่มมูลค่าของขนม ยิ่งทำให้มีการตั้งราคาที่สูงขึ้น แต่การทำ MACARON นั้นสามารถทำเองได้ที่บ้าน ขั้นตอนการทำไม่ยาก และไม่ง่ายจนเกินไป อาศัยเทคนิคการทำขนมเล็กน้อย และใช้สูตรทำขนมที่เรานำมาฝาก เพียงเท่านั้นก็จะสามารถทำขนมทานเองได้ง่าย ๆ โดยใช้วัตถุดิบ และขั้นตอน ดังนี้

วัตถุดิบทำตัวขนม

  1. น้ำตาลไอซิ่ง 1 ถ้วย
  2. แป้งอัลมอนด์ 3/4 ถ้วย
  3. ไข่ขาวอุณหภูมิห้อง 2 ฟอง
  4. น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย
  5. สีผสมอาหาร 1-2 หยด
  6. สารแต่งกลิ่นตามชอบ 1 หยด

วัตถุดิบทำไส้ครีมชีส

  1. ครีมชีสอุณภูมิห้อง 8 ออนซ์
  2. เนยจืดอุณภูมิห้อง 1/2 ถ้วย
  3. น้ำตาลไอซิ่ง 3/4 ถ้วย
  4. สารแต่งกลิ่นตามชอบ 1 หยด
มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำตาลไอซิ่ง และแป้งอัลมอนด์ลงไปในเครื่องบดอาหารพร้อมกัน ทำการบดเพื่อให้ละเอียดมากขึ้น ทำให้ขนมมีความเนียนละมุนขึ้น เสร็จแล้วนำไปร่อนใส่ชามผสม
  2. ใส่ไข่ขาว และน้ำตาลทรายไปตีด้วยเครื่องผสมอาหารจนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม ตามด้วยสีผสมอาหาร และสารแต่งกลิ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน 
  3. ผสมแป้งอัลมอนด์ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปในส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 และใช้ไม้พายคนตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากัน ไม่เป็นเศษผงแป้ง
  4. เตรียมพิมพ์สำหรับอบขนม รองด้วยแผ่นรองอบแล้วใส่แป้งลงไปในถุงบีบ บีบขนมลงไปเป็นรูปวงกลมขนาดเท่า ๆ กัน และเคาะถาดลงกับพื้นไล่ฟองอากาศ ช่วยให้หน้าขนมเนียนขึ้น (หากยังเห็นฟองอากาศอยู่ ให้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มไล่ฟองอากาศ)
  5. นำขนมเข้าอบด้วยความร้อน 135 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกดี ครบเวลาแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น
  6. ทำไส้มาการอง โดยเริ่มจากการใส่ครีมชีส และเนยลงไปในชามผสม ตีด้วยเครื่องผสมอาหารให้เนียนดี ตามด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และสารแต่งกลิ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน
  7. ใส่ไส้ลงไปในถุงบีบแล้วบีบใส่ไส้ ก่อนจะนำขนมสองชิ้นมาประกอบกันเป็นอันเสร็จสิ้น
มาการอง
มาการอง MACARON ขนมหวานยอดนิยมของคนไทย 2022 ที่ทำเองได้ง่าย ๆ

บทสรุป

จบไปแล้วกับประวัติความเป็นมา เรื่องน่ารู้ และสูตรวิธีทำมาการองแบบง่าย ๆ ที่เราเชื่อว่าหากมีความตั้งใจ ทุกคนต้องทำได้อย่างแน่นอน อย่าลืมลองทำตามกันดูสักครั้งนะคะ รับรองได้เลยว่ารสชาติของขนมที่ทำเองนี้ อร่อยกว่าขนมราคาแพงในหลาย ๆ ร้านที่ซื้อมารับประทานเองแน่นอน 

Categories
เบเกอรี่

แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ประเทศไทยได้มีการนำเอาเบเกอรี่จากต่างประเทศมาทำในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2230 เป็นจดหมายเหตุที่บอกเล่าถึงการสั่งซื้อแป้งสาลีมาทำขนมปัง อาจจะเรียกว่าเป็นยุคบุกเบิกเบเกอรี่ในประเทศเลยก็ว่าได้ และปัจจุบันเห็นได้ชัดเลยว่าคนไทยนิยมรับประทานเบเกอรี่กันมากขึ้น หนึ่งในเบเกอรี่ยอดนิยมที่คนไทยรับประทานกันมากที่สุดคือ “แยมโรล” หรือเค้กม้วน ซึ่งเป็นเบเกอรี่ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หากอยากรู้จักขนมหวานจากต่างแดนนี้ให้มากขึ้น ต้องห้ามพลาดบทความนี้!! 

ทำความรู้จักแยมโรล เบเกอรี่ยอดนิยมของคนไทย

แยมโรล หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเค้กม้วน คือ เบเกอรี่ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเค้กฟองน้ำบาง ๆ ม้วนกลม ด้านในสอดไส้ด้วยแยมรสต่าง ๆ ซึ่งแยมที่นิยมใช้กันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นแยมผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวตัดกับรสหวานของเนื้อแป้งได้เป็นอย่างดี เวลารับประทานจะตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ นับว่าเป็นขนมหวานทานเล่นที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ เพราะอร่อยรับประทานง่าย สามารถพกไปรับประทานได้สะดวก แถมยังเข้ากันได้ดีกับชา และกาแฟ ทานแล้วอิ่มท้อง ทานแทนอาหารหลักในวันที่เร่งรีบได้เลย 

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ประวัติความเป็นมา

แท้จริงแล้วแยมโรลที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำนี้มาจากเบเกอรี่ฝรั่งที่มีชื่อว่า SWISS ROLL (สวิสโรล) และแม้ว่าชื่อนี้จะแอบคล้ายกับชื่อของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่ได้มีต้นกำเนิดในประเทศนี้แต่อย่างใด เพราะเค้กม้วนนี้ยังไม่มีหลักฐานต้นกำเนิดที่แน่ชัด แต่ได้รับความนิยมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยมีสูตรที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ประเทศฮ่องกงมี EGG ROLL หรือไข่ม้วน , ประเทศอเมริกามีเค้กม้วนที่เรียกกันว่า JELLY ROLL 

ความแตกต่างระหว่างแยมโรล และครีมโรล

ในประเทศไทยเองก็มีสูตรทำเค้กสวิสโรลที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน นั้นก็คือ แยมโรล และครีมโรล ซึ่งยังมีอีกหลายคนที่ยังแยกความแตกต่างของเบเกอรี่ทั้งสองแบบไม่ได้ โดยวิธีแยกความแตกต่างง่าย ๆ เลยคือแยมโรลนั้นจะเป็นเค้กม้วนที่สอดไส้ด้วยแยมตามชื่อของขนม ส่วนครีมโรลจะมีการสอดไส้ครีมลงไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันก็มีการดัดแปลงสูตรให้มีทั้งแยม และครีมพร้อม ๆ กันด้วย

แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ

หากจะให้จัดอันดับความยากง่าย แยมโรลถูกจัดเป็นเบเกอรี่ทำง่ายที่ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนวุ่นวาย ใครที่เป็นมือใหม่ในการทำเบเกอรี่ ไม่ต้องกังวลเลยสักนิด ทุกคนสามารถทำทานเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง โดยเนื้อเค้กทำมาจากวัตถุดิบหลัก ๆ คือไข่ และแป้งเค้ก ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ เนย เพิ่มความหอมเย้ายวนด้วยกลิ่นด้วยวานิลลา และในบทความนี้เราก็แถมวิธีทำแยมแบบง่าย ๆ ให้ด้วย เผื่อใครไม่ชอบทานแยมสำเร็จรูป และอยากทำแยมรับประทานด้วยตนเอง 

วัตถุดิบทำแยมผลไม้

  1. สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 200 กรัม (สามารถใช้ผลไม้อื่น ๆ ได้)
  2. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  3. น้ำเปล่า 350 กรัม
  4. น้ำเปล่าสำหรับผสมแป้ง 50 กรัม
  5. แป้งข้าวโพด 10 กรัม

วัตถุดิบทำแยมโรล

  1. ไข่แดง 8 ฟอง
  2. ไข่ขาว 8 ฟอง
  3. แป้งเค้ก 200 กรัม
  4. น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
  5. นมข้นรสจืด 200 กรัม
  6. น้ำมัน 100 กรัม
  7. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  8. ผงฟู 2 ช้อนชา
  9. ครีมออฟทาร์ทาร์ หรือน้ำมะนาว 2 ช้อนชา
  10. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  11. แยมผลไม้ตามชอบ
แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

ขั้นตอนวิธีการทำแยมผลไม้

  1. นำแป้งข้าวโพดมาคนผสมกับน้ำเปล่า พักไว้
  2. ตั้งหม้อต้มน้ำเปล่า และน้ำตาลทราย เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันแล้วให้ใส่สตรอว์เบอร์รี่แช่แข็งลงไปต้มต่อ ระหว่างนี้ให้คนเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเนื้อแยมแล้วทยอยใส่แป้งข้าวโพดที่เตรียมไว้ลงไประหว่างคน เมื่อเดือดได้ที่แล้วปิดเตาพักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนวิธีการทำเค้กม้วน

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่แดง และน้ำมันพืชลงไปในชามผสม ตีให้เข้ากันดีด้วยตะกร้อมือ ตามด้วยนม และกลิ่นวานิลลา ตีผสมให้เข้ากันก่อนจะร่อนแป้งเค้ก เกลือ และผงฟูลงไปผสมให้เข้ากันจนไม่มีเม็ดแป้ง เนียน และเหนียว พักไว้
  2. ใส่ไข่ขาวลงไปในชามผสมอีกใบ ตีด้วยเครื่องผสมอาหารให้ไข่ขาวขึ้นฟอง ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไปตีต่อด้วยสปีดสูงสุดแล้วทยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปตีต่อจนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีมเนียน
  3. นำส่วนผสมของไข่ขาวมาใส่ลงไปในส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 (แบ่งใส่สองรอบ) และใช้ไม้พายตะล่อมให้เข้ากันจนส่วนผสมของไข่ขาวหมด
  4. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ไฟบนล่าง และเตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษไข ใส่เนื้อเค้กที่เตรียมไว้ลงไปปาดให้ทั่วถาด เสร็จแล้วเคาะก้นถาดเบา ๆ ก่อนจะนำไปอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิมเป็นเวลา 10 นาที
  5. เมื่ออบเสร็จแล้วให้นำออกจากถาด พักไว้ให้เย็น เมื่อเย็นแล้วนำมาตัดแบ่งครึ่งเป็นสองชิ้น วางบนกระดาษไข และตัดขอบออกให้เท่า ๆ กัน 
  6. นำแยมมาปาดให้ทั่วเนื้อเค้ก และพับม้วนลงไปให้โดนเนื้อแยมจนติดกัน และค่อย ๆ ม้วนให้เป็นโรล ม้วนกระดาษไขทับลงไปในแยมโรล กดเล็กน้อยให้เนื้อแน่นดี และนำไปแช่ในตู้เย็นเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้เซทตัว เสร็จแล้วนำออกจากกระดาษไขมาตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ (ตัดชิ้นแรกแล้วให้หมั่นเช็ดมีดก่อนตัดชิ้นต่อไป เพื่อไม่ให้แยมที่ติดมีดเลอะจนขนมไม่สวยงาม
แยมโรล
แยมโรล เบเกอรี่ทำง่าย พร้อมสูตรทำแยมด้วยตัวเอง

บทสรุป

เชื่อว่าหลังจากจบบทความนี้ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านคงได้รู้จักกับความเป็นมาของเบเกอรี่ยอดนิยมนี้กันมากขึ้นกันแล้ว ทั้งในเรื่องประวัติที่น่าสนใจ สูตรทำเบเกอรี่แยมโรล และนำสูตรนี้ไปลองทำด้วยตนเอง ดัดแปลงให้ตรงกับความชอบมากที่สุด เพื่อให้ขนมที่ชอบกลายเป็นขนมที่ใช่ที่สุด อร่อยตามแบบฉบับของเราเอง และสูตรการทำแยมที่เราได้แนะนำกันไปในข้างต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้กับผลไม้ทุกชนิด ทำเก็บไว้รับประทานได้นาน

Categories
เบเกอรี่

สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ใครที่ชอบทานเมนูสตาร์บัคแล้วละก็ต้องรู้จักขนมหวานทานเล่นคู่กับชา หรือกาแฟ ที่มีชื่อว่า สโคน หรือสคอน (SCONE ซึ่งก็คือเบเกอรี่ QUICK BREAD อังกฤษลักษณะเป็นขนมอบก้อนกลม ทำมาจากแป้งสาลี ไข่ น้ำตาล นมสด และเนย ในบางสูตรมีการใส่ผลไม้อบแห้ง หรือถั่วลงไปด้วย เนื้อสัมผัสกรอบนอก นุ่มใน รสชาติไม่หวานมาก จึงนิยมนำมาตัดแบ่งตรงกลางทาแยม และวิปปิ้งครีมเพื่อเพิ่มรสชาติ ทานคู่กับชา กาแฟแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี หรือใครจะทานเป็นอาหารเช้า หรือทานระหว่างวันก็อร่อยอิ่มท้องไม่แพ้อาหารหลักเลย

สโคน ประวัติความเป็นมา และเรื่องน่ารู้

ประวัติของสโคนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด หรือใครเป็นผู้คิดค้น แต่ก็มีหลักฐานที่กล่าวถึงเบเกอรี่ชิ้นนี้ว่าเกิดขึ้นที่ประเทศสก็อตแลนด์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยสูตรดั้งเดิมนั้นไม่ได้ใช้แป้งสาลีเป็นส่วนผสม แต่จะใช้ข้าวโอ๊ตในการทำ หน้าตาของขนมก็ไม่ได้เหมือนที่เราเห็นในปัจจุบัน คือ มีลักษณะเป็นก้อนกลมแบน และมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน จนเปรียบได้กับจานขนาดกลางเลย ในยุคนั้นจะอบในกระทะก้นแบนแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นสามเหลี่ยม ก่อนการเสิร์ฟให้ได้รับประทาน

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

จุดเริ่มต้นความนิยมของเมนูเบเกอรี่คู่น้ำชา

สิ่งที่ทำให้สโคนเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาวอังกฤษ เป็นตำนานที่เล่าต่อกันมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1840 ว่า เจ้าหญิงแอนดา มาเรีย (THE DUCHESS OF BEDFORD) ได้สั่งให้คนรับใช้จัดชุดชาพร้อมขนมปังให้ในตอนเย็น เพื่อบรรเทาอาการหิวระหว่างรออาหารเย็น ซึ่งหนึ่งในเมนูขนมปังนั้นก็มี SCONE อยู่ด้วย เมื่อได้ลองชิมเบเกอรี่ชิ้นนี้แล้วก็เกิดการติดใจ จนต้องจิบชาพร้อมขนมปัง และของว่างในทุก ๆ วัน และชวนเพื่อน ๆ มาด้วยเสมอ ต่อมามีผู้ทำตาม และกลายเป็นธรรมเนียมที่เกิด AFTERNOON TEA TIME ในช่วงเวลาประมาณ 4 โมง 

ขนมอบรสชาติดี มีหลายชื่อ

สโคนนั้นสามารถเรียกได้หลายชื่อในภาษาอังกฤษ บ้างก็เรียกว่า “STONE OF SCONE” หรือ “STONE OF DESTINY” ซึ่งเป็นขนมที่ใช้ในบรมราชาภิเษกสมรสของกษัตริย์ในประเทศสก็อตแลนด์ แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่ามาจากภาษาดัชต์ “SCHOONBROT” ที่แปลว่า BEAUTIFUL BREAD หรือขนมปังที่สวยงาม และก็มีการอ่านออกเสียงของชื่อขนมได้สองแบบ คือ สโคน , สคอน หรือสกอน ซึ่งสามารถเรียกได้ทุกแบบ เพราะในภาษาไทยเองก็ยังไม่สามารถแปลศัพท์ที่ถูกต้องได้อย่างเด็ดขาด 

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ประโยชน์ของการทานเบเกอรี่จากแป้งสาลี

วัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในการทำสโคนนั้นมีประโยชน์ จึงทำให้กลายเป็นขนมที่มีประโยชน์ สามารถรับประทานแทนมื้ออาหารหลักได้ ยกตัวอย่างเช่น แป้งสาลีที่ได้มาจากเมล็ดข้าวสาลีที่คุณค่าทางอาหาร คือ ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามินหลายชนิด ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชา และระบบประสาท บำรุงผิวหนัง และเส้นผม ป้องกันโรคปากนกกระจอก และโรคโลหิตจาง ฯลฯ 

วิธีการรับประทานสโคนให้อร่อย

หลายคนอาจเคยซื้อสโคน ขนมปังคลาสสิคที่มีรสชาติหวานน้อยมารับประทานแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกปาก หรือไม่อร่อยเหมือนเมนูเบเกอรี่ทั่วไปที่สามารถทานได้ทันที นั่นอาจเป็นเพราะการทานที่ผิดวิธี ซึ่งวิธีการทานที่ถูกต้องนั้นต้องเริ่มจากการนำมาอุ่นให้ร้อน ตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วทาคลอตครีม หรือวิปปิ้งครีม และแยมลงไป จากนั้นรับประทานทีละชิ้นช้า ๆ คู่กับน้ำชา หรือกาแฟ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทานได้อย่างอร่อย เข้าถึงรสชาติของขนมที่ดีที่สุด หรือใครจะนำมาจิ้มลงไปในครีม และแยม แล้วรับประทานเลยก็อร่อยเช่นกันค่ะ

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำสโคน

หากจะหาซื้อ สโคน ในร้านเบเกอรี่ หรือคาเฟ่แล้วมักจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง บางร้านนั้นตั้งราคาไว้ที่ชิ้นละ 40 บาทเลยทีเดียว เราจึงได้นำสูตรการทำเบเกอรี่ SCONE มาแนะนำให้ได้ลองทำตาม ซึ่งเป็นสูตรเบเกอรี่ทำง่ายที่ทุกคนสามารถหาซื้อวัตถุดิบ และลงมือทำตามกันได้เองที่บ้าน โดยไม่ต้องไปหาซื้อในราคาที่สูง จะทำทานเอง หรือทำให้คนพิเศษได้รับประทานระหว่างการทานชา กาแฟก็ได้ค่ะ ดังนั้น เราไปเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม และลงมือทำขนมโฮมเมดกันเลย

วัตถุดิบ

  1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 250 กรัม
  2. ผงฟู 14 กรัม
  3. เกลือ 1/8 ช้อนชา
  4. เนยจืด 47 กรัม
  5. น้ำตาล 43 กรัม
  6. ไข่ (เบอร์2) 1 ฟอง
  7. บัตเตอร์มิลค์ 70 มิลลิลิตร
สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่บัตเตอร์มิลค์ และไข่ลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีผสมให้เข้ากัน และพักไว้
  2. เตรียมชามผสมอีกหนึ่งชาม ใส่แป้งสาลี น้ำตาล ผงฟู และเกลือใส่ลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันแล้วใส่เนยจืดแช่เย็นลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับส่วนผสมแบบแห้ง จนไม่เหลือก้อนเนย และใส่บัตเตอร์มิลค์ที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้พายคนส่วนผสมให้เข้ากันดี 
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 มาเทใส่แผ่นรองนวด กด และพับให้เป็นก้อนเดียวกันให้หนาประมาณ 1 นิ้ว พับไปมาจนแป้งเนียน และแน่น ไม่แตกออกจากกัน ต่อด้วยการห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที
  4. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้ใช้ไม้นวดแป้งนวดให้หนาประมาณ 2.5 เซนติเมตร และนำพิมพ์คุกกี้ชุบแป้งนวล มากดแป้งให้เป็นชิ้น ๆ และนำออกมาวางบนถาดรองอบ รองถาดด้วยกระดาษไข และนำไปพักในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที
  5. วอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 200 องศา และทาไข่ลงบนตัวขนม ก่อนจะนำเข้าไปอบในอุณหภูมิเท่าเดิมเป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วพักไว้ให้พออุ่นก่อนจัดเสิร์ฟ 
สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเบเกอรี่อังกฤษ ที่สามารถนำไปทานคู่กับชา กาแฟแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี ใครชอบแยมรสชาติไหนก็สามารถนำมาทานร่วมกันได้เลย และหลังจากจบบทความนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกับ สโคน กันมากขึ้น รู้จักประวัติความเป็นมา วิธีการรับประทานให้อร่อย และวิธีการทำเบเกอรี่โฮมเมดด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคในช่วงนี้ ที่การรับประทานเบเกอรี่นอกบ้านเป็นเรื่องที่เสี่ยง การทำเบเกอรี่ทานด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ที่สุดนะคะ

Categories
เบเกอรี่

มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

เชื่อว่าสูตรเบเกอรี่ของเราในวันนี้ คงเป็นหนึ่งในเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน ยิ่งสายช็อกโกแลตด้วยแล้วรับรองว่าต้องถูกใจอย่างแน่นอน เพราะวัตถุดิบหลักของในเมนูนี้คือช็อกโกแลตเข้มข้มแบบจุก ๆ ที่แม้ว่าจะใส่ลงไปในถ้วยเล็ก ๆ แต่ความอร่อยนั้นรับรองได้เลยว่าคับจนล้นถ้วย “มัฟฟินช็อกโกแลต” เบเกอรี่ชิ้นเล็กจิ๋วที่สามารถพกพาไปรับประทานได้ทุกที่ และในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับมัฟฟิน พร้อมสูตรวิธีการทำมัฟฟินแบบง่าย ๆ ทำทานเองได้ ทำขายเป็นรายได้เสริมก็เรียกเม็ดเงินได้มากมาย

มัฟฟินช็อกโกแลต ความอร่อยที่มีเรื่องราวน่าสนใจ

มัฟฟิน คือ เบเกอรี่ที่บรรจุลงไปในถ้วยขนาดเล็ก มีความคล้ายคลึงกันกับคัพเค้ก คำว่า MUFFIN มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า MOUFFLET หมายถึงขนมปังเนื้อนุ่ม ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าเป็นขนมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ละประเทศก็จะมีการรังสรรค์ปรับปรุงสูตรให้แตกต่างกันไป โดยมัฟฟินช็อกโกแลตก็เป็นหนึ่งในสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยความที่มีการใส่ช็อกโกแลตเข้มข้น เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเนื้อแป้งนุ่มฟู รสชาติหวานนำ ขมตาม ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เบเกอรี่ชิ้นนี้ให้น่ารับประทาน และอร่อยเป็นพิเศษ

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

ประวัติความเป็นมา 

หากจะให้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของ เบเกอรี่มัฟฟิน ต้องบอกเลยว่ามีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 และ 11 ที่แคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ แต่เดิมนั้นเคยเป็นอาหารของทาสในสังคมอังกฤษมาก่อน เกิดจากการนำเอาเศษขนมปัง แป้งบิสกิต และมันฝรั่งบด มาผสมผสานกันนวดจนกลายเป็นแป้งแล้วนำมาปรุงให้สุกในกระทะก้นแบน มัฟฟินช็อกโกแลตที่เราเห็นบ่อย ๆ จะมีลักษณะแบนเหมือนขนมปังก้อนกลมขนาดเล็กเหมือนต้นฉบับ หรือเป็นก้อนกลมไปเลยอย่างในปัจจุบันนั้นเอง

จุดเริ่มต้นความนิยมของมัฟฟินในประเทศอังกฤษ

มัฟฟินกลายเป็นเบเกอรี่ยอดนิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 เพราะเป็นขนมหวานที่คนอังกฤษรับประทานคู่กับชาในทุกบ่าย จากความนิยมนี้ทำให้มีมัฟฟินแมน (ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไอริช หรือผู้ลี้ภัยเข้าเมือง) พวกเขาเดินสั่นกระดิ่งขายตามถนนไปทั่ว สร้างความรำคาญก่อกวนราษฏรจนรัฐบาลต้องออกกฏเพื่อควบคุมเสียงเหล่านี้ ต่อมามัฟฟินแมนก็ได้ถูกนำไปกล่าวถึงในเพลงกล่อมเด็กยอดนิยมของผู้ดีอังกฤษ และได้รับความนิยมมากที่สุดในอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้มีการเพิ่มสูตรมากมาย เช่น มัฟฟินช็อกโกแลต

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

การเผยแพร่ความอร่อยของมัฟฟินไปยังประเทศต่าง ๆ 

นอกจากต้นกำเนิดของมัฟฟินอย่างประเทศอังกฤษแล้ว ประเทศแรกที่ถูกนำไปเผยแพร่ยังประเทศอเมริกา และได้รับการพัฒนาสูตรที่เรียกกันว่า “โดนัทรูปแบบที่แตกต่าง” หรือมัฟฟินอเมริกัน ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยมีการสอดไส้ต่าง ๆ เช่น มัฟฟินช็อกโกแลต แยม ผลไม้ ฯลฯ ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และได้แทนที่กระทะก้นแบนเป็นนอนสติกแพน มัฟฟินจึงมีลักษณะกลมแตกต่างจากต้นฉบับ และยังถูกยกให้เป็นขนมหวานประจำรัฐในอเมริกา ซึ่งใช้สูตรที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ

ความแตกต่างระหว่างมัฟฟิน กับคัพเค้ก

หลายคนเมื่อเห็นคัพเค้กกับมัฟฟินแล้วมักจะแยกไม่ออกว่าแตกต่างกันอย่างไร เราจึงได้นำข้อแตกต่างมาบอกต่อให้ได้สังเกตกัน คือ มัฟฟินช็อกโกแลต หรือรสอื่น ๆ จะมีการแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น , รสชาติของมัฟฟินจะมีความหวานคาวรับประทานเป็นอาหารว่าง ส่วนคัพเค้กจะเป็นขนมหวานที่มีความหวานน้อยไปถึงมาก , รูปทรงของมัฟฟินจะมีความโค้งเป็นโดม ส่วนคัพเค้กจะราบเรียบ , เนื้อสัมผัสของมัฟฟินจะมีความแน่น หยาบพรุน กรอบเล็ก ๆ ส่วนคัพเค้กจะมีเนื้อที่แน่นละเอียด และเบากว่า ฯลฯ 

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำมัฟฟินช็อกโกแลต

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องราวของมัฟฟินที่เราได้บอกต่อกันมาแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงได้รู้จักกับเจ้าขนมหวานหน้าตาน่ารับประทานนี้มากยิ่งขึ้นกันแล้ว สำหรับใครที่อยากลองทำมัฟฟินช็อกโกแลตเป็นของว่างทานเล่น หรือจะทานให้อิ่มท้องในช่วงเร่งรีบ เราก็มีสูตรวิธีการทำมัฟฟินมาแบ่งปันให้ได้ลองทำตามกันง่าย ๆ ใช้อุปกรณ์ในการทำน้อย และใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถหาได้ทั่วไป เหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองทำเบเกอรี่รับประทานด้วยตัวเองมาก ๆ หากพร้อมแล้วเราไปดูวัตถุดิบและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบ

  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์1)
  2. น้ำตาลทราย 140 กรัม
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 95 กรัม
  5. แป้งเค้ก 170 กรัม
  6. ผงฟู 1 ช้อนชา
  7. ผงโกโก้ 20 กรัม
  8. น้ำมันรำข้าว 110 กรัม
  9. ช็อกโกแลตชิพ 150 กรัม
  10. กลิ่นวานิลลา
มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

ขั้นตอนวิธีการทำช็อกโกแลตมัฟฟิน

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ และน้ำตาลลงไปในชามผสม และคนให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ ตามด้วยเกลือ และกลิ่นวานิลลา ตีส่วนผสมให้เข้ากันแล้วใส่น้ำเปล่าลงไปตีให้เข้ากันอีกครั้ง
  2. เตรียมชามผสมอีกหนึ่งชาม ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ และผงฟูลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ทำรูตรงกลางแล้วใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปคนผสมอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ากันแล้วให้ใส่น้ำมันรำข้าวลงไปคนอีกครั้ง ตามด้วยช็อกโกแลตชิพแล้วคนอีกเล็กน้อยพอให้เข้ากัน
  3. เตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษไข และเตรียมพิมพ์ใส่ขนมมัฟฟินรองด้วยถ้วยรองอบ หรือถ้วยคัพเค้ก ก่อนจะตักเนื้อแป้งใส่ลงไปประมาณครึ่งถ้วย และโรยหน้าขนมด้วยช็อกโกแลตชิพ 
  4. นำมัฟฟินช็อกโกแลตใส่ลงไปในเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลมเป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วนำมาพักให้อุ่นแล้วนำออกจากถ้วยรองอบ เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ

บทสรุป

มัฟฟินช็อกโกแลต เมนูของว่างทานเล่นที่มีสตอรี่มากมายให้เราได้เรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นขนมหวาน หรือของว่างทานเล่นที่ง่ายมาก เพียงแค่ผสมส่วนผสมต่าง ๆ ให้เข้ากันก่อนจะนำไปอบให้สุก จึงใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน ใครที่กำลังว่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด19 แบบนี้ที่หลาย ๆ คนต้องเปลี่ยนจากการทำงานในบริษัท หรือออฟฟิศมาทำที่บ้านแทน อยากแนะนำให้นำสูตรขนมหวานนี้ไปลองทำทานกัน นอกจากความอร่อยแล้วยังได้ความสนุก อัปสกิลการทำขนมหวานให้มาก ๆ แล้วนำไปทำขายสร้างอาชีพเสริมได้เลย

Categories
เบเกอรี่

บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก และบอกต่อสูตรวิธีการทำเนื้อเค้กยอดนิยมในประเทศไทยอย่าง บัตเตอร์เค้ก (BUTTER CAKE) หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่าเค้กเนยสด เค้กที่มีวัตถุดิบหลักเป็นเนย แป้ง น้ำตาล และไข่ ถูกจัดเป็นเค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก ผสมผสานกันให้เนื้อเค้กมีความละเอียด แน่น กว่าเนื้อเค้กประเภทอื่น ๆ อีกทั้งยังมีความนุ่มฉ่ำละมุนลิ้น หอมกลิ่นเนย นิยมนำมาแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมที่มีรสชาติหวานเข้ากันดีกับเนื้อเค้ก

ทำความรู้จักบัตเตอร์เค้ก เนื้อเค้กยอดนิยมให้มากขึ้น

เบเกอรี่เค้ก ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในยุคอียิปต์โบราณ โดยใช้ยีสต์ให้ขึ้นฟูบนเตาหินร้อน ๆ เวลาต่อมาก็ได้มีการพัฒนาส่วนผสมขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีเบกกิ้งโซดา และผงฟูเกิดขึ้น จึงเลิกใช้ยีสต์แล้วหันมาใช้วัตถุดิบนี้แทน เพื่อให้เนื้อเค้กมีความเบาลง และต่อมาได้มีเตาไฟฟ้าเกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ทำให้เค้กสามารถทำได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย และเกิดบัตเตอร์เค้ก หรือขนมเค้กเนยสดขึ้นมาให้เราได้รับประทานกัน

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ประวัติความเป็นมาของเค้กเนยสด

เชื่อกันบัตเตอร์เค้กนั้นมีที่มาจาก POUND CAKE (เค้กที่มีต้นกำเนิดในแถบยุโรป ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17) ที่มีส่วนผสมคล้ายคลึงกัน แต่มีเนื้อแน่นกว่าเค้กเนยสดที่เรารับประทานกันในปัจจุบัน ส่วนต้นกำเนิดของเบกอรี่เค้กเนยสดนั้นเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จากการถูกคิดค้นผงฟูขึ้นมา และใช้เป็นส่วนผสมของเค้ก ทำให้เค้กเนื้อหนัก กลายเป็นเค้กเนื้อเบา นุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

ไขข้อสงสัย เค้กถูกนำเข้ามาในไทยเมื่อใด

ประวัติของขนมเค้กในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นจากคนไทยบางกลุ่มที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกเข้ามา เป็นผลจากการค้าขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2480 ทำให้เกิดร้านขายเบเกอรี่เค้กขึ้นมาในกรุงเทพมหานคร หรือเมืองหลวงของประเทศไทย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ และการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ทำให้เบเกอรี่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น เช่น ขนมเค้กอย่างบัตเตอร์เค้ก ขนมปัง เพสตรี้ เป็นต้น 

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ประโยชน์ของเค้กเนยสด

เค้ก สามารถเป็นได้ทั้งของหวานล้างปากหลังทานอาหาร หรือแม้แต่เป็นของว่างทานเล่นคลายหิว จึงได้รับความนิยมของคนทุกเพศทุกวัย แต่รู้หรือไม่ว่าบัตเตอร์เค้กนั้นไม่ได้ทำให้น้ำหนักขึ้นเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีประโยชน์จากวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสม เช่น แป้ง และน้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย , ไข่ และนม ให้โปรตีนสร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกาย , เนย และไขมัน ให้สารอาหารไขมันช่วยให้ผิวพรรณสดชื่นขึ้น

บัตเตอร์เค้กมีมากมายหลากหลายสูตร

เมื่อบัตเตอร์เค้กกลายเป็นเบเกอรี่ยอดนิยมที่นำมาใช้ทำเค้กได้มากมาย มีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วยังเป็นเนื้อเค้กที่สามารถทำได้ง่าย ในปัจจุบันจึงมีสูตรการทำบัตเตอร์เค้กเกิดขึ้นมามากมายหลากหลายสูตร เพื่อตอบสนองความต้องการของคนทำเค้ก และคนที่อยากรับประทานเค้กตามแบบความชอบของตน ปรับสูตรให้ถูกปากถูกใจคนในพื้นที่ รวมถึงการใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย เช่น เค้กกล้วยหอมเนยสด เค้กเนยสดโกโก้ เค้กเนยสดช็อกโกแลต เค้กมาร์เบิ้ลเนยสด เป็นต้น

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ BUTTER CAKE

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วข้างต้นว่า บัตเตอร์เค้กนั้นมีวัตถุดิบเพียงเล็กน้อย แต่สูตรนี้เป็นสูตรที่มีการปรับใช้วัตถุดิบเพื่อให้ถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น ทำให้หน้าเค้กมีความเนียน และหน้าไม่แตก วิธีทำเค้กก็แสนจะง่ายดาย แต่ต้องใช้ระยะเวลานานเล็กน้อย ดังนั้น เราไปดูวัตถุดิบ และวิธีการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบในการทำเบเกอรี่เค้กเนยสด

  1. แป้งเค้ก 200 กรัม
  2. นมผง 50 กรัม
  3. ผงฟู 1 ช้อนชา
  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  5. ไข่ไก่ 3 ฟอง (เบอร์1)
  6. นมสดรสจืด 150 กรัม
  7. เนยสดเค็ม 200 กรัม
  8. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  9. น้ำตาลไอซิ่ง 120 กรัม
  10. เอสพี 10 กรัม
บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกร่อนของแห้งอย่าง แป้งเค้ก นมผง ผงฟู และเกลือลงไปในชามผสม พักไว้
  2. ใส่นม และไข่ไก่อุณหภูมิห้องลงไปในชามผสม ตีด้วยตะกร้อมือหรือส้อมให้เข้ากัน 
  3. เตรียมเครื่องผสมอาหาร ใส่เนย และน้ำตาลทรายลงไปตีให้ละลายเข้ากัน ตามด้วยการร่อนน้ำตาลไอซิ่งลงไปตีต่อให้มีเนื้อฟูเนียน (ระหว่างนี้ให้กดหยุดเครื่องแล้วทำการใช้ไม้พายปาดส่วนผสมเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ติดอยู่ก้น และขอบชาม ทำให้ส่วนผสมไม่ละลาย) ปาดเอสพีใส่ตะกร้อแล้วตีต่อด้วยสปีดกลางเป็นเวลา 1 นาที
  4. เมื่อส่วนผสมในเครื่องผสมอาหารมีเนื้อพอดีแล้ว ให้ทยอยใส่ของเหลวที่ผสมไว้ในขั้นตอนที่ 2 ลงไปช้า ๆ ระหว่างเครื่องยังตีอยู่ เพื่อให้เนื้อเนียน ไม่แยกชั้น
  5. แบ่งแป้ง หรือของแห้งที่ร่อนไว้ในขั้นตอนที่ 1 ใส่ลงไปตีผสมกันกับส่วนผสมอื่น ๆ เป็นรอบ ๆ จำนวน 3 รอบ เมื่อจะใส่ส่วนผสมแต่ละรอบต้องใช้ไม้พายปาดทุกครั้ง ใส่ส่วนผสมของแห้งครบทั้งสามรอบแล้วให้ปาดเนื้อเค้กแล้วตีต่อด้วยสปีดกลาง 1 นาที และตีต่อด้วยสปีดต่ำไล่ฟองอากาศเป็นเวลาเท่ากัน
  6. เตรียมพิมพ์สำหรับอบขนม โดยทาเนยขาวให้ทั่ว รองด้วยกระดาษไข ก่อนจะใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้ปลายแหลมเช่น ไม้ลูกชิ้น คนแป้งให้ทั่ว เพื่อไล่ฟองอากาศอีกครั้ง และเตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษทิชชู่ทำครัวแบบหนา 10 แผ่น เทน้ำลงไปให้กระดาษซึมน้ำเข้าไป และเทน้ำส่วนเกินออกไปจากถาด จากนั้นวางเค้กเนยสดในพิมพ์ลงไป
  7. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 70 นาที เสร็จแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น นำออกจากพิมพ์มาแช่เย็นแล้วตัดเป็นเล็ก ๆ ตามชอบ
บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

เคล็ดลับในการทำเค้กให้สวยงาม หน้าไม่แตก

แท้จริงแล้วขนมบัตเตอร์เค้กแบบต้นฉบับ ต้องหน้าแตก แต่ในประเทศไทยจะนิยมรับประทานเค้กเนื้อเนียนมากกว่า เคล็ดลับในการทำเค้กง่าย ๆ เลยก็คือ การใช้เนยคุณภาพดี ต้องมีความใจเย็นในการทำ โดยร่อนแป้งทุกครั้ง เพื่อให้เนื้อเค้กเนียน และต้องปาดส่วนผสมเรื่อย ๆ ระหว่างตี และที่สำคัญส่วนผสมทุกอย่างต้องมีอุณหภูมิเท่ากันคืออุณหภูมิห้อง เพียงเท่านี้เราก็จะได้เค้กเนื้อเนียนน่ารับประเทานแล้วค่ะ

บทสรุป 

หลังจากอ่านบทความนี้แล้วทุกคนคงได้รู้จักเบเกอรี่ขนมหวานที่มีชื่อว่า บัตเตอร์เค้ก กันมากขึ้นแล้ว และยังได้เรียนรู้สูตรวิธีการทำเบเกอรี่แบบง่าย ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำเค้กวันเกิด เค้กวันครบรอบ ของขวัญให้คนพิเศษ หรือแม้แต่เค้กของว่างทานคู่กับชา กาแฟ หรือนมก็อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว 

Categories
เบเกอรี่

พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าขนมที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั้น เป็นขนมที่สามารถรับประทานได้ง่ายและหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พายสับปะรดเป็นขนมปังที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีผู้คนซื้อมารับประทานในช่วงกลางวันหรือช่วงที่มีอาการหิว เป็นขนมที่ทานแล้วอิ่มท้อง เก็บไว้ทานได้อีกหากรับประทานไม่หมด เพราะมีแพ็คเกจที่เก็บง่าย ประหยัดพื้นที่ และไม่เปื้อนมืออีกด้วย

โดยในปัจจุบันจากการสำรวจนั้นสินค้าที่ขายดีมากที่สุดในร้านค้าคงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก พายสับปะรด ขนมยอดนิยมสำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะเป็นเมนูที่รับประทานง่ายและมีความอร่อยค่อนข้างสูง ผู้คนจึงนิยมซื้อมารับประทานกันในช่วงเวลาที่เร่งรีบ เหมาะสมหรับผู้ที่มีภารกิจในช่วงเช้า ไม่มีเวลารับประทานอาหารในมื้อเช้าต้องอาศัยขนมปังหรือเบเกอรี่ เพื่อทำให้ลดอาการหิวระหว่างวันและเป็นการรับประทานขนมรองท้องที่จะช่วยทำให้มีพลังงานในการทำงานในแต่ละวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากทุกท่านสามารถทำเมนูขนมดังกล่าวได้ด้วยตนเอง จะช่วยลด การใช้จ่ายในแต่ละวันหรือค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดงบประมาณและเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ในวันนี้เรามีขั้นตอนและวิธีการเกี่ยวกับการทำพายสับปะรด มาแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบกัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลัก ส่วนผสมที่สำคัญในการทำพาย วิธีการทำแป้งพายที่สมบูรณ์แบบ และการนำส่วนผสมทุกอย่างมารวมกัน จะช่วยทำให้ภายในนั้นมีความอร่อยกรอบนอกนุ่มในมากยิ่งขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีวัตถุดิบหลักที่สำคัญรวมถึงขั้นตอนในการปฏิบัติได้อย่างไร

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

ส่วนผสมหลักที่สำคัญในการทำขนมปังไส้สับปะรด

ส่วนผสมหลักที่สำคัญที่จะช่วยทำให้ทุกท่านนั้นสามารถทำพายสับปะรดได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น มีส่วนผสมที่สำคัญอยู่ไม่กี่อย่างแต่จะต้องใช้การจดจำที่แม่นยำ รวมถึงต้องใช้สติและสมาธิในการลงมือทำอาหารเสมอ ไปดูกันเลยว่ามีวัตถุดิบหลัก และส่วนผสมที่สำคัญในการทำเมนูดังกล่าวนี้อย่างไรบ้าง

– เนื้อสับปะรด ปริมาณ 500 กรัม (เป็นเนื้อที่บดละเอียดเรียบร้อยแล้ว)

– น้ำตาลทรายขาว ปริมาณ 90 กรัม

– เกลือป่น ปริมาณ 1/4 ช้อนชา

– เนยสด ปริมาณ1/2 ช้อนโต๊ะ หรือหากท่านใดไม่มีก็สามารถยกเว้นในการใส่ส่วนผสมดังกล่าวนี้ก็ได้เช่นเดียวกัน

– แป้งสาลีอเนกประสงค์ ปริมาณ 120 กรัม

– ผงฟู ปริมาณ 1/8 ช้อนชา

– นมผง ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

– ไข่แดงสำหรับทาหน้าพาย

– ไข่ไก่ จำนวน 1 ฟอง

– กลิ่นวนิลา จำนวน 1 ช้อนชา

– น้ำตาลไอซิ่ง ปริมาณ 25 กรัม

ทั้งหมดข้างต้นเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำพายสับปะรด เบเกอรี่ ที่ทุกท่านสามารถทำเองที่บ้านได้อย่างแน่นอน 

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

ขั้นตอนและวิธีการทำพาย เมนูยอดนิยมในปัจจุบัน

สำหรับขั้นตอนและวิธีการทำพายสับปะรดเมนูขนมเบเกอรี่ทำได้อย่างง่ายดายโดยจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ขั้นตอนแรกจะเป็นการทำไส้สับปะรดโดยให้ทุกท่านนั้นนำหม้อมาตั้งในไฟปานกลาง เติมน้ำตาลทรายขาวและเกลือป่นลงไปผสมผสานให้เข้ากันอย่างดี หลังจากนั้นนำสับปะรดมากวนให้เกิดความเหนียวในหม้อ ปิดไฟและใส่เนยลงไปกวนส่วนผสมทุกอย่างให้คลุกเคล้าเข้ากันเป็นอย่างดี
  2. ขั้นตอนการทำแป้งพาย โดยให้ทุกท่านนั้นนำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงไปในเครื่องปั่นอาหารปั่นจนละเอียด และนำออกมาห่อด้วยพลาสติกที่ช่วยในการถนอมอาหาร เมื่อทำเสร็จสิ้นเรียบร้อยนำเข้าตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที นำออกมารีดเป็นแผ่นบาง ๆ ความหนาประมาณ 1 ส่วน 4 นิ้ว
  3. ทำแป้งพายให้เป็นรูปกังหันและวางไส้สับปะรดลงไปกึ่งกลาง จากนั้นยกมุมของแป้งขึ้นเพื่อปิดให้ไส้สับปะรดไม่ไหลออกมา ทาไข่แดงบนหน้าพาย
  4. นำแป้งเข้าเตาอบในอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาประมาณ 15 นาที เป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อยสำหรับการทำพายที่ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ก็มีขนมเบเกอรี่ไว้รับประทานระหว่างวันเป็นที่เรียบร้อย
Categories
เบเกอรี่

บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

ในปัจจุบันนี้ขนมหวานถือได้ว่าเป็นเมนูยอดฮิตที่ผู้คนให้ความสนใจกันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวานที่ช่วยเพิ่มพลังงานและให้น้ำตาลในแต่ละวันแก่ผู้ที่บริโภค บางท่านจะต้องรับประทานขนมหวานเป็นประจำทุกวันเพื่อที่จะทำให้ร่างกายสดชื่น พร้อมที่จะทำงานตลอดทั้งวัน และยังเป็นขนมหวานที่ให้ทุกท่านรับประทานหลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น

เพราะเป็นขนมหวานที่ช่วยทำให้เกิดความสดชื่น และนุ่มลิ้นละมุนปากอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวานที่เราจะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันในวันนี้ เป็นเมนูยอดฮิตที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจและมีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป พร้อมทั้งมีกระแสนิยมในโลกโซเชียลและสื่อออนไลน์ คงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก บราวนี่โกโก้ เมนูของหวานที่กำลังโด่งดังและฮิตในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้คนให้ความสนใจและหาซื้อมารับประทานกันเป็นจำนวนมาก โดยเป็นเมนูขนมหวานที่บอกได้เลยว่าเมื่อทุกท่านรับประทานแล้วจะติดใจอย่างแน่นอน 

มีรสชาติที่กลมกล่อม และมีความเข้มข้นของโกโก้ที่บอกได้เลยว่าเมื่อตัดเข้าไปคำแรกทุกท่านจะต้องติดใจ และยังมีส่วนผสมหลัก ที่ใส่เนยแท้มีความหอมละมุน จึงเป็นเมนูขึ้นชื่อในปัจจุบัน และวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทราบถึงรายละเอียด ส่วนผสม วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ ว่ามีสูตรเทคนิคเคล็ดลับอะไรบ้าง ที่จะช่วยทำให้เมนูดังกล่าวนี้ อร่อยครบสูตร ไปดูกันได้เลย

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

วัตถุดิบในการทำบราวนี่โกโก้ ขนมหวานเมนูยอดนิยม

บราวนี่โกโก้ เมนูที่กำลังโด่งดังและผู้คนให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเมนูที่มีความอร่อยและสามารถเก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ซึ่งเราจะมาอธิบายเกี่ยวกับส่วนผสมและขั้นตอนในการทำ โดยส่วนผสมหลัก ได้แก่

  1. ไข่ไก่ จำนวน 2 ฟอง หรืออยู่ในปริมาณ 70 กรัมต่อ 1 ฟอง
  2. แป้งสาลีอเนกประสงค์ปริมาณ 75 กรัม
  3. เนยจืดในปริมาณ 135 กรัม
  4. น้ำตาลทรายปริมาณ 180 กรัม
  5. ผงโกโก้ปริมาณ 20 กรัม
  6. เกลือป่น 
  7. ช็อคโกแลต ประมาณ 165 กรัม หรือตามความชื่นชอบของทุกท่าน

จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นวัตถุดิบและส่วนผสมหลักที่ใช้ในการทำเมนูบราวนี่ พร้อมกับการผสมผสานระหว่างโกโก้และช็อกโกแลต ยิ่งจะช่วยทำให้บราวนี่มีความหอมและความหนึบ เป็นขนมเบเกอรี่ที่ขึ้นชื่อในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ทุกท่านสามารถหาวัตถุดิบและส่วนผสมได้ตามร้านค้าทั่วไป และห้างสรรพสินค้าทั่วไป พร้อมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนสูตรการทำและปริมาณส่วนผสมได้ตามความชื่นชอบของตนเองได้เลย 

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

ขั้นตอนการทำบราวนี่ยอดนิยม รสชาติอร่อยที่สุด

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว ขนมที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นก็คือ บราวนี่โกโก้ ขนมยอดฮิตและมีกระแสนิยมในโลกออนไลน์และสื่อโซเชียล เป็นขนมเบเกอรี่ที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นเมนูที่กำลังโด่งดัง มีขั้นตอนและวิธีการทำดังต่อไปนี้

  1. เปิดเตาอบเพื่อจัดเตรียม บราวนี่เข้าไปอบโดยการเตรียมเตาอบในอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส พร้อมทั้งรองกระดาษไข ในเตาอบให้เรียบร้อย
  2. นำส่วนผสมหลักสำคัญเนยและช็อกโกแลต ผสมลงในอ่างเพื่อนำไปวางบนหม้อน้ำร้อน รอเวลาให้เนยและช็อกโกแลตละลาย พักทิ้งไว้
  3. น้ำน้ำตาลและไข่ไก่ที่ได้เตรียมไว้นั้นผสมเข้าในอ่างที่ละลายเนยและช็อกโกแลตไว้ตีให้เข้ากัน
  4. นำแป้งอเนกประสงค์และผงโกโก้มาร่อนพร้อมกับผสมเกลือ และนำไปผสมกับส่วนวัตถุดิบที่ได้ทำการตีส่วนผสมไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นเทใส่พิมพ์และนำเข้าเตาอบเป็นระยะเวลา 20 ถึง 25 นาที
  5. เมื่ออบจนสุกแล้วให้นำออกมาจากเตาอบพร้อมทั้งเข้าช่องแช่แข็งประมาณ 50 – 60 นาที หลังจากนั้นสามารถรับประทานได้ทันที

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นขั้นตอนและวิธีการทำที่เราได้สรุปมาแนะนำไว้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน หวังว่าจะสามารถปรับใช้กับขั้นตอนวิธีการทำของทุกท่านได้เป็นอย่างดี

Categories
เบเกอรี่

พายมะพร้าวอ่อน เมนูพายหวานมันละมุน

พายมะพร้าวอ่อน
พายมะพร้าวอ่อน เมนูพายหวานมันละมุน

ในสังคมปัจจุบันนั้นขนมทั่วไป ถือได้ว่าเป็นเบเกอรี่ที่กำลังได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก เพราะรับประทานง่าย สามารถทานได้ตลอดระยะเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังร้านอาหาร หรือเดินทางไปรับประทานที่ศูนย์อาหารทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า เนื่องจากขนมนั้นสามารถนำใส่กระเป๋าติดตัวมาทำงานได้ง่าย มีขนาดกระทัดรัดผู้คนจึงนิยมนำมารับประทานในช่วงที่เร่งรีบ คงจะเป็นขนมอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก พายมะพร้าวอ่อน

ทุกท่านนำมารับประทานเบเกอรี่แทนการรับประทานอาหารมื้อเช้า เพราะเป็นเมนูที่สามารถหารับประทานได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป เป็นเมนูยอดฮิตที่มีความอร่อยหอม ละมุน ของเนื้อมะพร้าวอ่อนไส้ข้างในของพาย เมื่อท่านเร่งรีบสามารถซื้อมากักตุนไว้ และรับประทานในช่วงเช้าได้ทันที แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากขนมดังกล่าวนี้ ท่านสามารถทำได้เอง ด้วยสูตรขั้นตอนและวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณในแต่ละวันที่ท่านจะต้องซื้อมาไว้รับประทานอีกด้วย เราจึงมีขั้นตอนและวิธีการทำรวมถึงส่วนผสมที่ใช้ในการทำเมนูดังกล่าว มาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกัน 

พายมะพร้าวอ่อน
พายมะพร้าวอ่อน เมนูพายหวานมันละมุน

ส่วนผสมที่สำคัญของการทำพายมะพร้าวอ่อน

สำหรับส่วนผสมที่สำคัญของการทำ พายมะพร้าวอ่อน มีส่วนผสมหลักในการทำแป้ง ได้แก่

– แป้งสาลีอเนกประสงค์ ปริมาณ 400 กรัม

– น้ำตาลไอซิ่ง ปริมาณ 20 กรัม

– เกลือป่น ปริมาณ 1 ช้อนชา

– เนยสดจืด ปริมาณ 60 กรัม

– เนยขาว ปริมาณ 70 กรัม

– ไข่แดง จำนวน 2 ฟอง

– น้ำเย็นจัดปริมาณ 1/4 ถ้วย

– น้ำส้มสายชูปริมาณ 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสมในการทำไส้มะพร้าวอ่อน

– มะพร้าวอ่อน ปริมาณ 1/2 ถ้วย

– น้ำมะพร้าว ปริมาณ 1/2 ถ้วย

– แป้งข้าวโพด ปริมาณ 1/4 ถ้วย

– เนื้อมะพร้าวอ่อน ปริมาณ 400 กรัม- นมข้นจืดหรือนมสดปริมาณ 1/4 ถ้วย

– น้ำตาลทราย ปริมาณ 1/4 ถ้วย

– นมข้นหวาน ปริมาณ 1/3 ถ้วย

– เกลือ ปริมาณ 1 ช้อนชา เป็นส่วนผสมหลักในการทำพายเบเกอรี่

พายมะพร้าวอ่อน
พายมะพร้าวอ่อน เมนูพายหวานมันละมุน

ขั้นตอนและวิธีการทำพาย ไส้มะพร้าวอ่อนยอดนิยม

สำหรับขั้นตอนและวิธีการทำ พายมะพร้าวอ่อน ยอดฮิตที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจในปัจจุบันนั้นมีขั้นตอนและวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก ซึ่งเป็นขนมเบเกอรี่ที่บอกได้เลยว่าทำง่ายไม่ซับซ้อนเหมือนเมนูอื่น ๆ อย่างแน่นอน มีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

  1. ขั้นตอนแรกร่อนแป้งอเนกประสงค์รวมกับน้ำตาลไอซิ่งและใส่เกลือลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นใส่เนยสดกับเนยขาวผสมลงไปในแป้งคลุกเคล้าจนมีลักษณะเป็นเม็ดทรายเล็ก ๆ 
  2. นำไข่แดงกับน้ำส้มสายชูและน้ำเย็นจัดผสมผสานคลุกเคล้าให้เข้ากัน และค่อย ๆ ทยอยเทลงไปในส่วนผสมของแป้งที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 เมื่อแป้งจับเป็นก้อนแล้วให้กดลงเบา ๆ แต่ไม่ต้องนวดเพราะถ้าหากนวดจะทำให้แป้งเหนียวจนเกินไป
  3. หลังจากนั้นนำพลาสติกหรือที่ถนอมอาหารมาปิดก้อนแป้งไว้พักในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง
  4. ทำไส้พายโดยนำน้ำมะพร้าวผสมกับแป้งข้าวโพดและพักทิ้งไว้ หลังจากนั้นใช้หม้อตั้งไฟระดับปานกลางและเทน้ำมะพร้าวลงไป
  5. เมื่อน้ำมะพร้าวเดือดให้ทุกท่านใส่เนื้อมะพร้าวลงไป และเติมนมข้นจืดทันที ตามด้วยนมข้นหวานและน้ำตาลทรายกับเกลือ กวนจนให้ส่วนผสมทุกส่วนเข้าด้วยกัน และให้ท่านชิมรสชาติ ขั้นตอนนี้สามารถปรับเปลี่ยนส่วนผสมได้ตามที่ชื่นชอบได้เลย เมื่อได้รสชาติที่ต้องการแล้วให้ผสมน้ำมะพร้าวกับแป้งข้าวโพดในขั้นตอนก่อนหน้านี้เทลงไปและกวนจนเข้ากัน
  6. นำแป้งพายออกมาจากตู้เย็นหลังจากนั้นนวดประมาณ 1-2 นาที แบ่งแป้งพายออกเป็น 2 ส่วน ในปริมาณก้อนใหญ่ให้ทำฐานและแป้งก้อนเล็กให้ใช้คลุมแผ่นพาย
  7. คลี่แผ่นพายออกเป็นแผ่นบาง ๆ และใส่ส่วนผสมของไส้เข้าไปทันทีหลังจากนั้นให้ทุกท่าน นำแป้งอีกส่วนมาเป็นส่วนคลุมด้านบนของพาย กดขอบแป้งให้ติดกันนำไปทาด้วยไข่แดงจะช่วยทำให้มีสีสันสดใสมากยิ่งขึ้น
  8. เข้าตู้อบในอุณหภูมิ 225 องศาเซลเซียสประมาณ 30 นาทีแล้วลดอุณหภูมิลงเหลือ 180 องศาเซลเซียสอบต่อในปริมาณ 30 นาที หลังจากนั้นเป็นที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยสามารถนำมารับประทานได้เลย
Categories
เบเกอรี่

เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม

เค้กกล้วยหอม
เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม

ในสังคมปัจจุบันนั้นการทานขนมหวานถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่าง เพราะผู้คนนิยมทานขนมหวานเนื่องจากมีรสชาติที่กลมกล่อมและเป็นอาหารที่ช่วยตัดความคาวของเมนูมื้ออาหารก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนูขนมหวานที่ครองใจใครหลาย ๆ คนนั่นก็คือ เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม ซึ่งเป็นขนมที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

เนื่องจากมีประโยชน์และมีกระบวนการขั้นตอนวิธีในการทำที่ค่อนข้างง่ายดาย สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องมีเตาอบด้วย ซึ่งเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และปรับเปลี่ยนสูตรตามความชื่นชอบหรือสูตรของแต่ละบุคคล วันนี้เราจึงเลือกที่จะมาอธิบายรายละเอียดให้ทราบกันเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำรวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการทำแต่ละขั้นตอน 

ถือได้ว่าเป็นขนมที่กำลังมาแรงและมีต้นทุนราคาในการผลิตที่ค่อนข้างประหยัดงบประมาณ สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานขนมและยังสามารถใช้ในการเชิงพาณิชย์ นั่นก็คือ ค้าขายหรือเปิดหน้าร้านเพื่อจำหน่ายได้เลย โดยมีสูตรและส่วนผสมที่ถูกคัดกรองมาอย่างยอดเยี่ยม รวมถึงเป็นสูตรที่ถูกปรับตามความชื่นชอบของผู้ที่นำสูตรไปปรับใช้ไปดูกันเลยว่าเขามีส่วนผสมและวัตถุดิบหลักอย่างไรบ้าง

เค้กกล้วยหอม
เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม

เค้กขนมไทยขึ้นชื่อในปัจจุบัน

ถ้าหากจะพูดถึงเค้กซึ่งเป็นขนมไทยที่ขึ้นชื่อในปัจจุบันนั้นคงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยมเป็นเมนูที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีขั้นตอนและวิธีการทำที่ไม่ยากโดยส่วนผสมสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป เป็นเค้กเบเกอรี่ที่ทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติและเป็นผลไม้ที่จะช่วยทำให้ทุกท่านนั้นเอร็ดอร่อย และได้ความหอมของเนื้อผลไม้ที่ผสมผสานเข้ากับแป้งเค้ก 

กระบวนการและวิธีการผลิตที่ทำให้หอมประมูลเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกนุ่มลิ้นและมุมปากเป็นอย่างมากเหมาะสำหรับทุกท่านที่ชื่นชอบรับประทานขนมหวานและเป็นส่วนผสมของขนมไทย เขามีส่วนผสมหลักที่สำคัญนั่นก็คือ 

  • กล้วยหอมที่นำมาบดจนสุก ½ ถ้วย
  • นมสด 4 ช้อนโต๊ะ
  • กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา 
  • แป้งที่ใช้ในการทำเค้กแป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เนยเค็ม 250 กรัม 
  • น้ำตาลทราย ½ ถ้วย 
  • ไข่ไก่ 4 ฟอง
  • เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา 

ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนผสมหลักที่สำคัญในการทำเค้กกล้วยหอม ซึ่งขั้นตอนและวิธีการทำนั้นก็ไม่ยาก ดังนี้ 

  1. เปิดเตาอบหรือใช้หม้อนึ่งในอุณหภูมิประมาณ 175 องศาเพื่อเตรียมที่จะนำส่วนผสมของ ขนมนั้นเข้าไปอบจนสุก
  2. จากนั้นให้ทุกท่านนำกล้วยหอมที่ได้บทและกลิ่นวนิลาผสมประสานคลุกเคล้าให้เข้ากันตามด้วยแป้งสาลีอเนกประสงค์ และผงฟู เบกกิ้งโซดา ผสมคลุกเคล้าด้วยกันตีเนยเค็ม
  3. นำตะกร้อมือนั้นมาตีให้ฟูจนกลายเป็นสีนวลขาว ทยอยใส่ส่วนผสมอย่างอื่นลงไปคลุกเขาทั้งสองอย่างให้เข้ากัน 
  4. หลังจากนั้นทิ้งไว้และเอาเข้าเตาอบประมาณ 15 ถึง 20 นาที เป็นที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยให้นำมาพักไว้และแกะออกจากพิมพ์อบหรือหม้อนึ่งได้ทันที
เค้กกล้วยหอม
เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม

เมนูเค้กจากผลไม้ตามฤดูกาล

สำหรับใครที่กำลังมองหาเมนูขนมหวานที่ใช้สำหรับรับประทานในมื้อว่างและสามารถรับประทานแทนข้าวได้นั้น เราอยากจะแนะนำทุกท่านให้รู้จักกับเมนูเค้กจากผลไม้ตามฤดูกาล ก็คือ เค้กกล้วยหอมขนมหวานยอดนิยม ที่กำลังโด่งดังและเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีขั้นตอนและวิธีการทำที่ไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีวัตถุดิบหลักและส่วนผสมในการทำที่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป ผลไม้ที่ใช้กันเป็นจำนวนมากนั้นก็คือกล้วยหอม ที่เป็นผลไม้ตามฤดูกาลและมีให้ทุกท่านได้ทำตลอดเวลา 

เหมาะสำหรับที่จะนำมาแปรรูปเพื่อทำ เบเกอรี่ จึงได้มีการ ดัดแปลงสูตรจนกลายมาเป็นขนมเค้กอย่างที่ทุกท่านได้ทราบการข้างต้นแล้ว เป็นเมนูที่บอกได้เลยว่าน่ารับประทานอย่างมากเพราะมีส่วนผสมของกล้วยหอมที่ทำให้รู้สึกละมุนลิ้นและอิ่มท้องสามารถรับประทานเป็นอาหารว่างในช่วงระหว่างมื้อกลางวันได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบทานขนม