MADELEINE มาเดอลีน ขนมก้นหอย หรือเค้กไข่ฝรั่งเศสชิ้นเล็ก เนื้อนุ่มละมุนลิ้น

MADELEINE

เมื่อกล่าวถึงประเทศที่มีเบเกอรี่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด หลายคนคงต้องนึกถึง เบเกอรี่ฝรั่งเศส เพราะเป็นประเทศที่รังสรรค์ เบเกอรี่ยอดนิยม ส่งต่อสูตรจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลากหลายเมนู และยังมีเมนูที่คล้ายคลึงกับเบเกอรี่ที่มีขายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย คือ MADELEINE หรือที่เรียกกันว่า มาเดอลีน , มาเดอแลน , มาเดอเลน (ชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามการออกเสียง) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขนมไข่ที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำ แต่จะเหมือนหรือมีความแตกต่างกันอย่างไรนั้น เราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบกันในบทความนี้

MADELEINE ขนมฝรั่งเศสที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน

MADELEINE

สำหรับ ประวัติมาเดอลีน หรือ ขนมไข่ฝรั่งเศส นั้นนับว่าถือกำเนิดมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 ปี ค.ศ.1755 โดยมีเรื่องเล่ากันว่าMADELEINEเกิดขึ้นที่ปราสาท COMMERCY ในแคว้น LORRAINE ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยหญิงสาวคนหนึ่งมีชื่อว่า “MADELEINE PAULMIER” เธอได้ทำขนมถวายแก่กษัตริย์ของโปรแลนด์ ซึ่งเป็นดยุคของแคว้นในสมัยนั้น และเมื่อเมนูนี้ถูกเสิร์ฟออกไปในงานเลี้ยง แขกทุกคนต่างชื่นชอบเค้กชิ้นเล็กแสนเรียบง่าย และรสชาติที่อร่อยถูกปาก หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศในช่วงยุคสมัยนั้น 

ลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาติของ ขนมมาเดอลีน รูปทรงเปลือกหอยนี้มีที่มา

MADELEINE

MADELEINEเป็นเบเกอรี่ที่ใช้เนื้อเค้กสปันจ์ มาเดอลีน รสชาติ หวานนุ่มชุ่มฉ่ำเนย กลิ่นหอมของผิวเลมอน และเนยผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขนม แช่ไว้ในตู้เย็น 2–3 วัน เนื้อขนมจะอร่อยฉ่ำมากยิ่งขึ้น อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ เมนูเบเกอรี่ เมนูนี้เลยก็คือรูปร่างเปลือกหอยสีเหลืองทองที่ถูกรังสรรค์มาอย่างสวยงาม โดยที่มาของรูปร่างเปลือกหอยก็มาจากการที่หญิงสาวผู้คิดค้นสูตรขนม เธอได้ใช้เปลือกหอยที่หาได้ง่ายในครัวมาใช้แทนพิมพ์ในการอบนั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างขนมไข่ และมาเดอลีน

MADELEINE

แม้ว่าขนมMADELEINEและ ขนมไข่ ของไทยจะมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน และใช้วัตถุดิบที่คล้ายกันอย่าง แป้ง น้ำตาล ผงฟู และไข่ไก่ และนิยมนำมารับประทานคู่กับชากาแฟในยามบ่าย แต่ความแตกต่างของ เบเกอรี่ขนมหวาน ทั้งสองชนิดนั้นคือ ขนมไข่จะเน้นวัตถุดิบหลักเป็นไข่สดๆในปริมาณมาก ส่วน มาเดอแลน จะเน้นการใส่ส่วนผสมหลักเป็นเนย จนนุ่มชุ่มฉ่ำ และมีการใส่ผิวเลมอนเข้าไปเพิ่มกลิ่นด้วย 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีทำ มาเดอลีน สูตรคลาสสิก

MADELEINEเป็น ขนมทำง่าย แต่ต้องใช้เวลาในการทำเล็กน้อยเพื่อให้แป้งของขนมเชตตัว โดยพักไว้ให้แป้งดูดซึมส่วนผสมอื่นๆให้ได้มากที่สุด ส่งผลให้เนื้อขนมอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ ในปัจจุบัน มาเดอลีน สูตร มีความหลากหลายมากจากความนิยมที่ได้รับในหลายๆประเทศ ในบางสูตรมีการเพิ่มอัลมอนด์ และลูกเกดเข้าไปเป็นส่วนผสม เพิ่มเติมกลิ่น และรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น เช่น รสส้ม , ช็อคโกแลต , คาราเมล และอื่นๆ สำหรับสูตรทำขนมของเราในบทความนี้เป็นสูตรคลาสสิก ทุกคนสามารถรังสรรค์ปรับเปลี่ยนสูตร โดยเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆใส่ได้ตามชอบ

MADELEINE

วัตถุดิบ ทำ ขนมเมดเดอเรน

  1. ไข่ไก่เบอร์1 2 ฟอง 
  2. น้ำตาลทราย 90 กรัม
  3. แป้งเค้ก 115 กรัม
  4. ผงฟู 11/2 ช้อนชา
  5. เนยรสเค็มละลาย 95 กรัม
  6. ผิวเลมอนขูด 1 ผล

ขั้นตอนวิธีการทำ 

MADELEINE
  1. ขั้นตอนแรกในการทำMADELEINE เริ่มจากการใส่ไข่ และน้ำตาลลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต่อด้วยการร่อนของแห้งทั้งหมดใส่ลงไป คือ แป้งเค้ก และผงฟู จากนั้นคนให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อครีม ใส่เนยสดรสเค็มละลายพออุ่นลงไปตีต่อให้เข้ากัน สุดท้ายใส่ผิวเลมอนขูดลงไปตีให้เข้ากัน พักแป้งไว้ในภาชนะมีฝาปิดไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง
  2. เมื่อพักแป้งไว้จนครบเวลาแล้วให้นำออกมาคนให้คลายความเย็นลง นำใส่ถุงบีบ จากนั้นเตรียมพิมพ์รูปก้นหอย โดยใช้เนยนิ่มทาพิมพ์บางๆให้ทั่ว ร่อนผงแป้งลงไปให้ทั่วพิมพ์ และเคาะแป้งส่วนเกินออก เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติดพิมพ์ รองพิมพ์ด้วยถาดรองอบแล้วบีบครีมที่เตรียมไว้ลงไปไม่ต้องเต็ม เพราะระหว่างอบตัวขนมจะฟูขึ้นมา
  3. วอร์มเตาอบด้วยอุณหภูมิ 190 องศาไฟบนล่างเปิดพัดลม เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนจะนำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิเท่าเดิม เป็นเวลา 12 – 15 นาที หรือจนกว่าตัวขนมจะสุกฟูได้ที่ เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์มาพักไว้ในตะแกรงให้คลายความร้อน เสร็จแล้วนำไปชุบช็อกโกแลต หรือนำไปทานกับชากาแฟได้เลยค่ะ
MADELEINE

บทสรุป

ก่อนจะจากกันไปในบทความนี้ เราขอบอกวิธีการทานMADELEINEให้อร่อยมากยิ่งขึ้น คือการนำ ขนมจุ่มนม ช็อกโกแลตร้อนๆ ชา หรือกาแฟ จะทำให้ ขนมมาเดอแลน ดูดซึมน้ำเหล่านี้เข้าไป เนื้อของขนมจะนุ่มชุ่มฉ่ำทานเพลินมากยิ่งขึ้น และสำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า มาเดอลีน เก็บได้กี่วัน ? คำตอบคือสามารถบรรจุเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นาน 5 วัน และในตู้เย็นได้นานถึง 14 วันเลยทีเดียว

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://midwestrailplan.org/ เว็บไซต์การพนันออนไลน์