วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

ขนมไทยมีมากมายหลายชนิด บ้างเป็นขนมไทยที่ประยุกต์มาจากขนมต่างชาติ บ้างเป็นขนมไทยแท้แต่โบราณ บ้างเป็นขนมยอดนิยมในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีขนมไทยที่คนรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้จัก ในบทความนี้เราจะกล่าวถึง “ขนมดาราทอง” ขนมไทยโบราณที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับมงกุฎ เป็นหนึ่งใน 9 ขนมไทยมงคล ที่นำไปประกอบในพิธีต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันนั้นหาทานได้ยากแล้ว เราจึงขอแชร์ข้อมูลของขนมไทยนี้ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น พร้อมสูตรวิธีการทำให้ได้ลองทำตาม เพื่ออนุรักษ์ขนมไทยเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก

ทำความรู้จักขนมดาราทอง ขนมโบราณหาทานได้ยาก

ขนมดาราทอง เป็นขนมไทยโบราณที่ตัวขนมทำมาจากแป้งสาลี ไข่แดง กะทิ และน้ำตาล ฐานขนมเป็นเมล็ดแตงโมวางเรียงราย ประดับยอดด้วยทองคำเปลวที่สามารถรับประทานได้ ด้วยความที่ใช้หลายส่วนมาประกอบกันเป็นขนมหนึ่งชิ้น ทำให้เป็นขนมที่ต้องอาศัยความประณีต ขั้นตอนในการทำเยอะ และใช้เวลานาน จึงหาทานได้ยากมากในปัจจุบัน รสชาตินั้นเหมือนขนมทองเอกเลย (เพราะตัวขนมทำจากขนมทองเอก) แต่จะได้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากฐานกรุบกรอบ และมีความมันเพิ่มเข้ามา ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ขนมทองเอกกระจัง 

ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

ประวัติความเป็นมาของขนมทองเอกกระจัง

ประวัติความเป็นมาของขนมดาราทองเริ่มต้นขึ้นโดย นารถ สิงหเสนี เป็นคนริเริ่มทำขึ้นมาเป็นคนแรก ต่อมาในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงที่มีการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่ได้มีงานจัดประกวดอาหารคาวหวาน และคุณหญิงนครราชเสนี หรือเจือ สิงหเสนี (หลานของผู้ริเริ่ม) ได้นำขนมนี้ขึ้นประกวด ด้วยความที่มีรูปทรงที่ประณีตสวยงามเป็นเอกลักษณ์ จึงได้รับรางวัลชนะเลิศ จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของขนมไทยทองเอกกระจัง หรือดาราทอง เล่าสืบกันมาให้เรารู้จักในปัจจุบัน

ที่มาของชื่อขนม

ชื่อของขนมดาราทองมีที่มาที่น่าสนใจ และเชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยรู้ คือ แต่เดิมนั้นใช้ชื่อว่า “ทองเอกกระจัง” เพราะใช้ขนมทองเอกเป็นต้นแบบ ฐานของขนมคล้ายกับลายกระจัง ในตอนที่ประกวดนั้นคุณหญิงเจือ สิงหเสนี ได้นำมาดัดแปลงรูปลักษณ์ให้สวยงามมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “ดาราทอง” เนื่องจากหน้าตาของขนมมีความคล้ายคลึงกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์รูปดาว หรือมงกุฎของฝรั่ง และนิยมเรียกด้วยชื่อนี้มากกว่าชื่อที่เป็นต้นกำเนิด

ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

ทองเอกกระจัง 1 ใน 9 ขนมไทยมงคล

เนื่องจากชื่อขนมเป็นมงคล และรูปร่างคล้ายมงกุฎมีความหมายที่ดี สื่อถึงลาภยศ ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือในเรื่องอื่น ๆ ที่ปรารถนา ขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง จึงถูกจัดเป็น 1 ใน 9 ขนมไทยมงคลที่ได้รับความนิยมมอบให้คนสำคัญ หรือผู้ใหญ่ในวันที่ได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งที่ดีขึ้น เพื่ออวยพรให้กับผู้รับ หรือแสดงความยินดี

ขนมดาราทอง ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นจ่ามงกุฎ

เรื่องราวของความแตกต่างระหว่างดาราทองกับจ่ามงกุฎ เป็นที่โต้เถียงกันในวงกว้างในโลกโซเชียล เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าขนมที่มีรูปทรงเหมือนมงกุฎนี้คือ ขนมจ่ามงกุฎ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้มีรูปทรงเป็นมงกุฎเหมือนอย่างชื่อ เพราะทำมาจากแป้ง กะทิ และน้ำตาลทรายกวนรวมกัน รูปลักษณ์เป็นสีเขียวคล้ายกาละแม โรยด้วยเมล็ดแตงโม หรือฟักทอง ห่อหุ้มด้วยใบตอง เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ก่อนขนมดาราทอง แต่ในปัจจุบันนิยมเรียกขนมทองเอกกระจัง หรือดาราทอง ว่าจ่ามงกุฎมากกว่าจะเรียกด้วยชื่อที่ถูกต้อง

ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำขนมดาราทอง

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วในข้างต้นว่า ขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เป็นขนมโบราณที่มีหลายขั้นตอน ต้องอาศัยความประณีตในการทำ และใช้เวลานาน ทำให้ไม่ค่อยพบเจอในร้านขายขนมไทย หรือร้านทั่ว ๆ ไปเหมือนขนมไทยชนิดอื่น ๆ แม้ว่าจะพบเจอก็มักจะมีราคาสูงมาก จึงนิยมใช้ในพิธีสำคัญเท่านั้น แต่หากใครอยากลองทำขนมไทยทานด้วยตนเอง เราก็มีสูตรทำทองเอกกระจังมาฝากให้ได้ลองทำตามกัน โดยขอแบ่งวัตถุดิบส่วนผสมออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้

วัตถุดิบทำตัวขนมทองเอกกระจัง

  1. แป้งข้าวจ้าว 40 กรัม
  2. แป้งมัน 10 กรัม
  3. แป้งท้าวยายม่อม 10 กรัม
  4. เกลือ ½ ช้อนชา
  5. น้ำตาลทรายขาว ¼ ถ้วยตวง
  6. กะทิ 200 มิลลิลิตร
  7. ทองคำเปลวบริสุทธิ์ 2 แผ่น
  8. สีผสมอาหารสีเหลือง

วัตถุดิบทำฐานรองขนม 

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม 
  2. ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง
  3. น้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวง

วัตถุดิบทำเมล็ดแตงโม 

  1. เมล็ดแตงโม 1 ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
  3. น้ำเปล่า ½ ถ้วยตวง
ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

ขั้นตอนวิธีการทำเมล็ดแตงโม

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าลงไปในหม้อเปิดเตาด้วยไฟอ่อนค่อนกลาง เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน จากนั้นปิดเตาพักให้เย็น
  2. เลือกเมล็ดแตงโมที่มีปลายแหลมไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน ใช้มือจุ่มลงในน้ำเชื่อมที่ทำไว้กวาดให้ทั่วเมล็ดแตงโมเรื่อย ๆ จนจับตัวเป็นก้อนเดียวกันกับเมล็ดแตงโมอย่างสวยงามเป็นมงกุฎเพชร หากกระทะที่มีรอยน้ำตาลไหม้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดกระทะ เพื่อให้เมล็ดแตงโมไม่ติดสีคล้ำ เสร็จแล้วนำไปพักไว้ให้เย็นสนิท

ขั้นตอนวิธีการทำฐานแป้ง

  1. นำแป้งสาลี และไข่แดงของไข่ไก่ใส่ลงไปในชามผสม ทยอยใส่น้ำเปล่าลงไปผสมระหว่างนวดให้โรยผงแป้งลงไปเพื่อช่วยให้นวดง่ายขึ้น นวดคลึงจนแป้งเนื้อเนียนเข้ากันดี และจับตัวเป็นก้อน จากนั้นใช้ไม้นวดแป้งคลึงให้เป็นแผ่นบาง 
  2. ใช้ฝาขวดน้ำกดลงบนแผ่นแป้งให้เป็นรูปวงกลม แล้วนำไปวางใส่ในพิมพ์ขนาดเล็ก เพื่อให้เป็นรูปทรงฐานขนม ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มให้ทั่วกลางขนม เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมพองระหว่างอบ
  3. นำพิมพ์ขนมที่เตรียมไว้อบด้วยอุณหภูมิ 150 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 15 – 20 นาที เสร็จแล้วนำออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนวิธีการทำตัวขนมดาราทอง

  1. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งท้าวยายม่อม เกลือ และน้ำตาลทรายลงไปในชามผสม คนส่วนผสมให้เข้ากัน ระหว่างนี้ให้ทยอยเติมกะทิลงไปในขณะคน เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันดีแล้วให้นำไปกรองใส่กระทะ และกวนตลอดเวลาต่อด้วยไฟอ่อนจนส่วนผสมสุกเข้ากันดี และเริ่มจับตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วปิดเตานำเนื้อแป้งออกมาผสมสีเหลืองให้เข้ากันกับเนื้อแป้ง
  2. ใส่น้ำมันลงไปในมือให้ทั่วก่อนจะปั้นแป้งเป็นสองส่วน ส่วนของรูปวงกลมเท่าเม็ดมะยมเพื่อให้เป็นตัวขนม และวงกลมขนาดเล็กเพื่อให้เป็นยอดมงกุฎ
  3. นำส่วนประกอบของขนมดาราทองที่เตรียมไว้มาประกอบกัน โดยเริ่มจากการนำฐานมาติดเมล็ดแตงโมให้เรียงกันสวยงามด้วยน้ำเชื่อม จากนั้นนำตัวขนมมาติดไว้บนฐาน ใช้ไม้จิ้มฟันกดให้เป็นเส้นเหมือนร่องมะยมในส่วนของตัวขนม และติดส่วนยอดมงกุฎลงไปด้านบน และปิดยอดด้วยทองคำเปลว เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ
ขนมดาราทอง
วิธีทำขนมดาราทอง หรือทองเอกกระจัง เปิดประวัติขนมไทยคล้ายมงกุฎ

บทสรุป

หลังจากจบบทความนี้ หวังว่าทุกคนคงรู้จักกับขนมดาราทอง หรือขนมทองเอกกระจังกันมากขึ้น และคลายความสงสัยเรื่องดาราทองกับจ่ามงกุฎ จนสามารถแยกแยะความแตกต่างของขนมไทยโบราณทั้งสองชนิด อีกทั้งในปัจจุบันเป็นขนมไทยหาทานยาก หากนำไปทำขายแล้วมีราคาสูงถึงชิ้นละ 100 บาทเลยเดียว จึงควรค่าแก่การทำขายสร้างรายได้ และอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก