ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก

ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก
ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก

ขนมจีบนกนั้นในอดีตเรียกกันว่าขนมไส้หมูเป็นขนมชาววัง หรือจะเรียกอีกชื่อว่าขนมจีบไทยก็ไม่ผิด โดยมีกรมหลวงนรินทรเทวีเป็นผู้ริเริ่ม เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อีกทั้งยังเป็นของทรงโปรดให้ทำไปถวายบ่อยครั้ง นิยมรับประทานกันเป็นอาหารว่างพร้อมกับผักชี ผักกาดหอม กะเทียมเจียว ตะลิงปริง และพริกขี้หนู มีรูปร่างสวยงามเป็นรูปตัวนก ภายในมีไส้หมูสับห่อหุ้มด้วยแป้งนุ่มจับจีบอย่างสวยงามด้วยความประณีต ในปัจจุบันนั้นเป็นขนมไทยที่หาทานได้ยากมาก ๆ หรือจะเรียกว่าไม่มีขายให้รับประทานเลยก็ไม่ผิด ทำให้หลายคนไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินชื่อของขนมไทยชนิดนี้ 

ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก
ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก

วัตถุดิบในการทำขนมจีบไทย

ขนมจีบหมูด้านนอกนั้นมีวัตถุดิบที่มากมายหลากหลายชนิด เนื่องจากเป็นขนมที่มีแป้งด้านนอก และไส้ด้านใน จึงขอแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสองส่วน ดังนี้

ส่วนผสมไส้

  1. หมูสับ 350 กรัม หรือใครชอบรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็สามารถใช้แทนกันได้ในปริมาณเท่ากัน
  2. ไชโป๊วสับ 200 กรัม
  3. ถั่วลิสงคั่วบด 200 กรัม
  4. สามเกลอโขลกละเอียด ประกอบด้วย กระเทียม 5 กลีบ พริกไทย 1/2 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 3 ราก
  5. น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม 
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  8. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
  9. หอมแดงสับ 100 กรัม

ส่วนผสมแป้ง

  1. แป้งข้าวจ้าว 200 กรัม
  2. แป้งมันหรือแป้งท้าวยายม่อม 4 ช้อนโต๊ะ 
  3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  5. กะทิสำเร็จรูป 100 ml
  6. น้ำเปล่า 250 ml
  7. ของตกแต่ง งาดำ แครอท 
  8. น้ำมันกระเทียมเจียว
ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก
ขนมจีบนก ขนมจีบไทยโบราณ หน้าตาน่ารัก

วิธีการทำขนมจีบนก ขนมจีบของไทย

ขนมจีบนกนั้นหน้าตาและวิธีการทำคล้ายขนมช่อม่วงที่ทั้งประณีตและหลายขั้นตอน หากใครเคยทำขนมช่อม่วงจะทำได้อย่างง่ายดาย ในอดีตใช้มือในการจับจีบทำให้ใช้เวลาในการทำนาน แต่ในปัจจุบันนั้นมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการจับจีบอย่างแหนบจีบขนม ช่วยลดระยะเวลาในการทำและช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้น หากใครอยากลองชิมดูสักครั้ง แนะนำให้ลองทำเองตามสูตรที่เราได้นำมาฝากกันนะคะ

  1. ขั้นตอนแรกตั้งเตาด้วยไฟอ่อนใส่น้ำมันพืชลงไปในกระทะรอจนร้อนแล้วใส่สามเกลอลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม ตามด้วยหอมแดงสับผัดต่อให้สุกจนมีสีใส ใส่หมูสับลงไปผัดต่อให้เข้ากันจนหมูสับเริ่มสุกให้ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และเกลือป่นผัดให้เข้ากัน พอหมูสับสุกให้ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปผัดต่อจนน้ำตาลละลาย ใส่ไชโป๊วสับลงไปผัดให้สุก ตามด้วยถั่วลิสงคั่ว ผัดต่อให้แห้งและเหนียว เสร็จแล้วพักให้เย็น 
  2. นำไส้ขนมทั้งหมดมาปั้นเป็นก้อนกลมตามขนาดที่ต้องการ เพื่อเตรียมทำไส้ขนม
  3. ผสม แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย เกลือป่น กะทิ และน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน นวดต่อให้ละลายเข้ากันดี นำมากรองผ่านกระชอนหรือผ้าขาวบางเพื่อแยกส่วนที่ยังไม่ละลายออก
  4. ตั้งกระทะเปิดเตาไฟอ่อนแล้วใส่แป้งที่ผ่านการกรองเสร็จแล้วลงไป ใช้ไม้พายกวนตลอดเวลาจนกว่าแป้งจะสุกจนจับตัวกันเป็นก้อน ปิดเตา ใส่ชามพักให้เย็น ขณะพักแป้งให้คลุมด้วยผ้าขาวบางเพื่อไม่ให้แป้งแห้งจนเกินไป
  5. นวดต่อให้แป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน (หากแป้งแฉะเกินไปให้โรยแป้งข้าวเจ้าใส่เล็กน้อย) 
  6. เมื่อแป้งเนียนแล้วให้นำแป้งไปปั้นขึ้นรูปคล้ายรูปชมพู่ และแผ่ตรงผลออกเพื่อใส่ไส้ลงไปแล้วห่อกลับไปให้เป็นรูปผลชมพู่อีกครั้ง ใช้แหนบสำหรับหนีบขนม หนีบรอบข้างให้เป็นปีกนก ทำซ้ำจนกว่าแป้งและไส้จะหมด
  7. แต่งหน้าขนมของเราด้วยงาดำติดเป็นตานก แครอทหั่นแหลมเป็นปากนกติดลงไป เพื่อให้มีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายนกมากขึ้น
  8. นำใบตองมารองก้นหม้อเพื่อป้องกันไม่ให้ขนมติด และยังทำให้ขนมของเรานั้นติดกลิ่นหอมจากใบตอง ต่อด้วยการวางขนมลงไปบนใบตอง 
  9. เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่หม้อนึ่งที่ใส่ขนมแล้วลงไปนึ่ง พรมน้ำให้ทั่วเพื่อไม่ให้แป้งแห้ง ปิดฝานึ่งด้วยไฟแรงเป็นเวลา 5 นาที หรือจนกว่าแป้งจะสุกตามความหนาของแป้งที่เราปั้น ทาด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว เสร็จแล้วนำมาจัดใส่จานตกแต่งเพิ่มเติมด้วยผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้า หรือผักอื่น ๆ ตามความชอบ เพียงเท่านี้เราก็จะได้รับประทานขนมจีบนก ขนมไทยที่หาทานยากกันแล้วค่ะ

ทางเข้า gclub