Categories
เบเกอรี่

สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ใครที่ชอบทานเมนูสตาร์บัคแล้วละก็ต้องรู้จักขนมหวานทานเล่นคู่กับชา หรือกาแฟ ที่มีชื่อว่า สโคน หรือสคอน (SCONE ซึ่งก็คือเบเกอรี่ QUICK BREAD อังกฤษลักษณะเป็นขนมอบก้อนกลม ทำมาจากแป้งสาลี ไข่ น้ำตาล นมสด และเนย ในบางสูตรมีการใส่ผลไม้อบแห้ง หรือถั่วลงไปด้วย เนื้อสัมผัสกรอบนอก นุ่มใน รสชาติไม่หวานมาก จึงนิยมนำมาตัดแบ่งตรงกลางทาแยม และวิปปิ้งครีมเพื่อเพิ่มรสชาติ ทานคู่กับชา กาแฟแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี หรือใครจะทานเป็นอาหารเช้า หรือทานระหว่างวันก็อร่อยอิ่มท้องไม่แพ้อาหารหลักเลย

สโคน ประวัติความเป็นมา และเรื่องน่ารู้

ประวัติของสโคนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด หรือใครเป็นผู้คิดค้น แต่ก็มีหลักฐานที่กล่าวถึงเบเกอรี่ชิ้นนี้ว่าเกิดขึ้นที่ประเทศสก็อตแลนด์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยสูตรดั้งเดิมนั้นไม่ได้ใช้แป้งสาลีเป็นส่วนผสม แต่จะใช้ข้าวโอ๊ตในการทำ หน้าตาของขนมก็ไม่ได้เหมือนที่เราเห็นในปัจจุบัน คือ มีลักษณะเป็นก้อนกลมแบน และมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน จนเปรียบได้กับจานขนาดกลางเลย ในยุคนั้นจะอบในกระทะก้นแบนแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นสามเหลี่ยม ก่อนการเสิร์ฟให้ได้รับประทาน

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

จุดเริ่มต้นความนิยมของเมนูเบเกอรี่คู่น้ำชา

สิ่งที่ทำให้สโคนเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาวอังกฤษ เป็นตำนานที่เล่าต่อกันมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1840 ว่า เจ้าหญิงแอนดา มาเรีย (THE DUCHESS OF BEDFORD) ได้สั่งให้คนรับใช้จัดชุดชาพร้อมขนมปังให้ในตอนเย็น เพื่อบรรเทาอาการหิวระหว่างรออาหารเย็น ซึ่งหนึ่งในเมนูขนมปังนั้นก็มี SCONE อยู่ด้วย เมื่อได้ลองชิมเบเกอรี่ชิ้นนี้แล้วก็เกิดการติดใจ จนต้องจิบชาพร้อมขนมปัง และของว่างในทุก ๆ วัน และชวนเพื่อน ๆ มาด้วยเสมอ ต่อมามีผู้ทำตาม และกลายเป็นธรรมเนียมที่เกิด AFTERNOON TEA TIME ในช่วงเวลาประมาณ 4 โมง 

ขนมอบรสชาติดี มีหลายชื่อ

สโคนนั้นสามารถเรียกได้หลายชื่อในภาษาอังกฤษ บ้างก็เรียกว่า “STONE OF SCONE” หรือ “STONE OF DESTINY” ซึ่งเป็นขนมที่ใช้ในบรมราชาภิเษกสมรสของกษัตริย์ในประเทศสก็อตแลนด์ แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่ามาจากภาษาดัชต์ “SCHOONBROT” ที่แปลว่า BEAUTIFUL BREAD หรือขนมปังที่สวยงาม และก็มีการอ่านออกเสียงของชื่อขนมได้สองแบบ คือ สโคน , สคอน หรือสกอน ซึ่งสามารถเรียกได้ทุกแบบ เพราะในภาษาไทยเองก็ยังไม่สามารถแปลศัพท์ที่ถูกต้องได้อย่างเด็ดขาด 

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ประโยชน์ของการทานเบเกอรี่จากแป้งสาลี

วัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในการทำสโคนนั้นมีประโยชน์ จึงทำให้กลายเป็นขนมที่มีประโยชน์ สามารถรับประทานแทนมื้ออาหารหลักได้ ยกตัวอย่างเช่น แป้งสาลีที่ได้มาจากเมล็ดข้าวสาลีที่คุณค่าทางอาหาร คือ ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามินหลายชนิด ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชา และระบบประสาท บำรุงผิวหนัง และเส้นผม ป้องกันโรคปากนกกระจอก และโรคโลหิตจาง ฯลฯ 

วิธีการรับประทานสโคนให้อร่อย

หลายคนอาจเคยซื้อสโคน ขนมปังคลาสสิคที่มีรสชาติหวานน้อยมารับประทานแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกปาก หรือไม่อร่อยเหมือนเมนูเบเกอรี่ทั่วไปที่สามารถทานได้ทันที นั่นอาจเป็นเพราะการทานที่ผิดวิธี ซึ่งวิธีการทานที่ถูกต้องนั้นต้องเริ่มจากการนำมาอุ่นให้ร้อน ตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วทาคลอตครีม หรือวิปปิ้งครีม และแยมลงไป จากนั้นรับประทานทีละชิ้นช้า ๆ คู่กับน้ำชา หรือกาแฟ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทานได้อย่างอร่อย เข้าถึงรสชาติของขนมที่ดีที่สุด หรือใครจะนำมาจิ้มลงไปในครีม และแยม แล้วรับประทานเลยก็อร่อยเช่นกันค่ะ

สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำสโคน

หากจะหาซื้อ สโคน ในร้านเบเกอรี่ หรือคาเฟ่แล้วมักจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง บางร้านนั้นตั้งราคาไว้ที่ชิ้นละ 40 บาทเลยทีเดียว เราจึงได้นำสูตรการทำเบเกอรี่ SCONE มาแนะนำให้ได้ลองทำตาม ซึ่งเป็นสูตรเบเกอรี่ทำง่ายที่ทุกคนสามารถหาซื้อวัตถุดิบ และลงมือทำตามกันได้เองที่บ้าน โดยไม่ต้องไปหาซื้อในราคาที่สูง จะทำทานเอง หรือทำให้คนพิเศษได้รับประทานระหว่างการทานชา กาแฟก็ได้ค่ะ ดังนั้น เราไปเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม และลงมือทำขนมโฮมเมดกันเลย

วัตถุดิบ

  1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 250 กรัม
  2. ผงฟู 14 กรัม
  3. เกลือ 1/8 ช้อนชา
  4. เนยจืด 47 กรัม
  5. น้ำตาล 43 กรัม
  6. ไข่ (เบอร์2) 1 ฟอง
  7. บัตเตอร์มิลค์ 70 มิลลิลิตร
สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่บัตเตอร์มิลค์ และไข่ลงไปในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีผสมให้เข้ากัน และพักไว้
  2. เตรียมชามผสมอีกหนึ่งชาม ใส่แป้งสาลี น้ำตาล ผงฟู และเกลือใส่ลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันแล้วใส่เนยจืดแช่เย็นลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับส่วนผสมแบบแห้ง จนไม่เหลือก้อนเนย และใส่บัตเตอร์มิลค์ที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้พายคนส่วนผสมให้เข้ากันดี 
  3. นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 2 มาเทใส่แผ่นรองนวด กด และพับให้เป็นก้อนเดียวกันให้หนาประมาณ 1 นิ้ว พับไปมาจนแป้งเนียน และแน่น ไม่แตกออกจากกัน ต่อด้วยการห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหาร พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที
  4. เมื่อรอจนครบเวลาแล้วให้ใช้ไม้นวดแป้งนวดให้หนาประมาณ 2.5 เซนติเมตร และนำพิมพ์คุกกี้ชุบแป้งนวล มากดแป้งให้เป็นชิ้น ๆ และนำออกมาวางบนถาดรองอบ รองถาดด้วยกระดาษไข และนำไปพักในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที
  5. วอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 200 องศา และทาไข่ลงบนตัวขนม ก่อนจะนำเข้าไปอบในอุณหภูมิเท่าเดิมเป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วพักไว้ให้พออุ่นก่อนจัดเสิร์ฟ 
สโคน
สโคน (SCONE) ขนมหวานของผู้ดีอังกฤษ ทานคู่กับน้ำชา

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเบเกอรี่อังกฤษ ที่สามารถนำไปทานคู่กับชา กาแฟแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี ใครชอบแยมรสชาติไหนก็สามารถนำมาทานร่วมกันได้เลย และหลังจากจบบทความนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกับ สโคน กันมากขึ้น รู้จักประวัติความเป็นมา วิธีการรับประทานให้อร่อย และวิธีการทำเบเกอรี่โฮมเมดด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคในช่วงนี้ ที่การรับประทานเบเกอรี่นอกบ้านเป็นเรื่องที่เสี่ยง การทำเบเกอรี่ทานด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ที่สุดนะคะ

Categories
ขนมไทย

ชวนทำ ขนมทองเอก ขนมมงคลชาววัง รสชาติจัดจ้านสวยงามแปลกตา

ขนมทองเอก

ขนมทองเอก เป็นขนมไทย โบราณที่มีสีส้ม หรือสีเหลืองสวยงามแปลกตาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนขนมหวานชนิดอื่นทั่วไป เพราะการทำขนมต้องใช้ความพิถีพิถัน และมีความประณีตในทุกๆ ขั้นตอน จึงทำให้ขนมมีความสง่างามชวนทานมากขึ้น สำหรับขนมชนิดนี้ทำมาจากแป้งสาลี ไข่แดง กะทิ และน้ำตาล นำมาขั้นรูปด้วยพิมพ์ทองเอก และประดับยอดทองทองคำเปลวที่สามารถรับประทานได้ และแน่นอนว่าชนิดมีรสชาติที่หวานจัดจ้าน และหอมอร่อยตามแบบขนม หวาน ไทยๆ ที่ทานแล้วรู้สึกสดชื่น ชื่นใจสุดๆ 

ขั้นตอนการทำ ขนมทองเอก อย่างง่าย อร่อยตามสูตรชาววัง 

ขนมทองเอก

มาเข้าครัวไทยชาววังกันบ้าง สำหรับใครที่กำลังอยากทำขนมหวานที่มีชื่อเป็นมงคลไว้ทานกันในครอบครัว หรือจะทำฝากเพื่อนๆ รวมถึงญาติผู้ใหญ่ในวันพิเศษ ต้องไม่พลาด กับขนมหวานโบราณอย่างขนมทองเอก ขึ้นชื่อว่าเป็นขนม ไทย ทำ ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหาซื้อทาน หรือซื้อเป็นของฝากให้เสียเงินอีกด้วย สำหรับสูตรที่ชวนทำในวันนี้เป็นขนมทองเอก สูตรโบราณฉบับชาววังที่หาทานได้ยากมาก แต่ก่อนที่เราจะไปเข้าสู่ขั้นตอนการทำขนม อันดับแรกจะต้องมาเตรียมส่วนผสมให้พร้อมก่อน เพื่อจะได้เตรียมพร้อมในการทำขนมต่อไป

ขนมทองเอก
  1. แป้งสาลัอเนกประสงค์ 2 ถ้วยตวง
  2. กะทิ 2 ถ้วยตวง
  3. ไข่ไก่ 10 ฟอง
  4. แป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
  5. แผ่นทองคำเปลว 3 แผ่น
  6. น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

สำหรับวัถตถุดิบในการทำขนม ทองเอกสูตรทำเองที่บ้าน หากบ้านไหนไม่ชอบหวานมากเกินไปสามารถลดปริมาณน้ำตาลลงไปได้เลย อีกทั้งถ้าต้องการทำขนมในปริมาณนิดเดียวก็ลดอัตราส่วนได้ตามที่ต้องการได้ และในลำดับขั้นตอนต่อมาจะเป็นการทำวิธีทำขนม ไทย ง่ายๆ ดังนี้

ขนมทองเอก
  1. ขั้นตอนแรก ให้ใส่น้ำตาลทราย และกะทิลงไปในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งเตา เปิดไฟปานกลาง จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน และทำการเคี่ยวต่อไปจนกว่าน้ำตาลจะเข้มข้น ปิดไฟ และพักไว้ให้เย็น
  2. มาเตรียมไข่แดง โดยการนำไข่ไก่มาแยกไข่แดง และไข่ขาวออกจากกัน นำไข่แดงใส่ลงไปในกระทะน้ำตาลเคี่ยว เปิดไฟอ่อนๆ กวนจนร้อน จากนั้นค่อยๆ ใส่แป้งลงไปให้หมด คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี ปิดไฟ พร้อมยกออกจากเตา พักไว้ให้อุ่น แล้วให้ตักส่วนผสมใส่ลงไปในพิมพ์ทองเอกที่เตรียมไว้ให้แน่นแล้วเคาะออก ตกแต่งหน้าด้วยทองคำเปลว จัดเรียงใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
ขนมทองเอก

ขนมทองเอกคือ ขนมที่สามารถทำทานได้เอง แถมรูปร่างของขนมยังสวยงามเหมือนที่ขายในร้านขนมอีกด้วย ดังนั้นใครที่ว่าขนมทองเอกเป็นขนม โบราณทำยาก แต่แท้จริงแล้วขนมชนิดนี้เป็นสูตร ขนม ไทยทำง่ายนิดเดียว อีกทั้งรสชาติหวานจัดจ้าน หอมอร่อยทานแล้วฟินทุกคำ และถ้าอยากทานขนมให้อร่อยควรนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นจะทำให้ขนมเย็นสดชื่นมากยิ่งขึ้น

แชร์เคล็ด (ไม่) ลับ ทำขนมทองเอก ให้อร่อย เนื้อขนมนุ่มชุ่มฉ่ำ 

ขนมทองเอก

ขนม ทองเอก เป็นขนมไทยที่สามารถเก็บไว้ทานได้นานไม่เน่าเสียง่าย แถมรสชาติยังคงอร่อยเหมือนเดิมแต่สิ่งสำคัญของขนมไทย ทำเองนั้นจะต้องเลือกใช้กะทิคั้นสดจะช่วยให้รสชาติของขนมอร่อยมากยิ่งขึ้น และขั้นตอนการกวนขนมจะต้องใช้ไฟอ่อนๆ กวนเรื่อยๆ อย่าหยุดจะทำให้ได้ขนมที่เป็นเนื้อเนียนสีสวยงาม นอกจากนี้การเก็บรักษาขนมอย่าให้ขนมโดนลม เพราะหากขนมโดนลมจะทำให้ขนมแข็งกระด้าง ไม่น่ารับประทาน ดังนั้นควรเก็บขนมไว้ในกล่องจะช่วยให้สามารถเก็บความชื้นได้เป็นอย่างดี

อ่านบทความอื่นๆ: 

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

Categories
เบเกอรี่

มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

เชื่อว่าสูตรเบเกอรี่ของเราในวันนี้ คงเป็นหนึ่งในเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน ยิ่งสายช็อกโกแลตด้วยแล้วรับรองว่าต้องถูกใจอย่างแน่นอน เพราะวัตถุดิบหลักของในเมนูนี้คือช็อกโกแลตเข้มข้มแบบจุก ๆ ที่แม้ว่าจะใส่ลงไปในถ้วยเล็ก ๆ แต่ความอร่อยนั้นรับรองได้เลยว่าคับจนล้นถ้วย “มัฟฟินช็อกโกแลต” เบเกอรี่ชิ้นเล็กจิ๋วที่สามารถพกพาไปรับประทานได้ทุกที่ และในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับมัฟฟิน พร้อมสูตรวิธีการทำมัฟฟินแบบง่าย ๆ ทำทานเองได้ ทำขายเป็นรายได้เสริมก็เรียกเม็ดเงินได้มากมาย

มัฟฟินช็อกโกแลต ความอร่อยที่มีเรื่องราวน่าสนใจ

มัฟฟิน คือ เบเกอรี่ที่บรรจุลงไปในถ้วยขนาดเล็ก มีความคล้ายคลึงกันกับคัพเค้ก คำว่า MUFFIN มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า MOUFFLET หมายถึงขนมปังเนื้อนุ่ม ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าเป็นขนมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ละประเทศก็จะมีการรังสรรค์ปรับปรุงสูตรให้แตกต่างกันไป โดยมัฟฟินช็อกโกแลตก็เป็นหนึ่งในสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยความที่มีการใส่ช็อกโกแลตเข้มข้น เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเนื้อแป้งนุ่มฟู รสชาติหวานนำ ขมตาม ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เบเกอรี่ชิ้นนี้ให้น่ารับประทาน และอร่อยเป็นพิเศษ

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

ประวัติความเป็นมา 

หากจะให้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของ เบเกอรี่มัฟฟิน ต้องบอกเลยว่ามีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 และ 11 ที่แคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ แต่เดิมนั้นเคยเป็นอาหารของทาสในสังคมอังกฤษมาก่อน เกิดจากการนำเอาเศษขนมปัง แป้งบิสกิต และมันฝรั่งบด มาผสมผสานกันนวดจนกลายเป็นแป้งแล้วนำมาปรุงให้สุกในกระทะก้นแบน มัฟฟินช็อกโกแลตที่เราเห็นบ่อย ๆ จะมีลักษณะแบนเหมือนขนมปังก้อนกลมขนาดเล็กเหมือนต้นฉบับ หรือเป็นก้อนกลมไปเลยอย่างในปัจจุบันนั้นเอง

จุดเริ่มต้นความนิยมของมัฟฟินในประเทศอังกฤษ

มัฟฟินกลายเป็นเบเกอรี่ยอดนิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 เพราะเป็นขนมหวานที่คนอังกฤษรับประทานคู่กับชาในทุกบ่าย จากความนิยมนี้ทำให้มีมัฟฟินแมน (ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไอริช หรือผู้ลี้ภัยเข้าเมือง) พวกเขาเดินสั่นกระดิ่งขายตามถนนไปทั่ว สร้างความรำคาญก่อกวนราษฏรจนรัฐบาลต้องออกกฏเพื่อควบคุมเสียงเหล่านี้ ต่อมามัฟฟินแมนก็ได้ถูกนำไปกล่าวถึงในเพลงกล่อมเด็กยอดนิยมของผู้ดีอังกฤษ และได้รับความนิยมมากที่สุดในอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้มีการเพิ่มสูตรมากมาย เช่น มัฟฟินช็อกโกแลต

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

การเผยแพร่ความอร่อยของมัฟฟินไปยังประเทศต่าง ๆ 

นอกจากต้นกำเนิดของมัฟฟินอย่างประเทศอังกฤษแล้ว ประเทศแรกที่ถูกนำไปเผยแพร่ยังประเทศอเมริกา และได้รับการพัฒนาสูตรที่เรียกกันว่า “โดนัทรูปแบบที่แตกต่าง” หรือมัฟฟินอเมริกัน ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยมีการสอดไส้ต่าง ๆ เช่น มัฟฟินช็อกโกแลต แยม ผลไม้ ฯลฯ ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และได้แทนที่กระทะก้นแบนเป็นนอนสติกแพน มัฟฟินจึงมีลักษณะกลมแตกต่างจากต้นฉบับ และยังถูกยกให้เป็นขนมหวานประจำรัฐในอเมริกา ซึ่งใช้สูตรที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ

ความแตกต่างระหว่างมัฟฟิน กับคัพเค้ก

หลายคนเมื่อเห็นคัพเค้กกับมัฟฟินแล้วมักจะแยกไม่ออกว่าแตกต่างกันอย่างไร เราจึงได้นำข้อแตกต่างมาบอกต่อให้ได้สังเกตกัน คือ มัฟฟินช็อกโกแลต หรือรสอื่น ๆ จะมีการแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น , รสชาติของมัฟฟินจะมีความหวานคาวรับประทานเป็นอาหารว่าง ส่วนคัพเค้กจะเป็นขนมหวานที่มีความหวานน้อยไปถึงมาก , รูปทรงของมัฟฟินจะมีความโค้งเป็นโดม ส่วนคัพเค้กจะราบเรียบ , เนื้อสัมผัสของมัฟฟินจะมีความแน่น หยาบพรุน กรอบเล็ก ๆ ส่วนคัพเค้กจะมีเนื้อที่แน่นละเอียด และเบากว่า ฯลฯ 

มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำมัฟฟินช็อกโกแลต

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องราวของมัฟฟินที่เราได้บอกต่อกันมาแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงได้รู้จักกับเจ้าขนมหวานหน้าตาน่ารับประทานนี้มากยิ่งขึ้นกันแล้ว สำหรับใครที่อยากลองทำมัฟฟินช็อกโกแลตเป็นของว่างทานเล่น หรือจะทานให้อิ่มท้องในช่วงเร่งรีบ เราก็มีสูตรวิธีการทำมัฟฟินมาแบ่งปันให้ได้ลองทำตามกันง่าย ๆ ใช้อุปกรณ์ในการทำน้อย และใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถหาได้ทั่วไป เหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองทำเบเกอรี่รับประทานด้วยตัวเองมาก ๆ หากพร้อมแล้วเราไปดูวัตถุดิบและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบ

  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์1)
  2. น้ำตาลทราย 140 กรัม
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. น้ำเปล่า 95 กรัม
  5. แป้งเค้ก 170 กรัม
  6. ผงฟู 1 ช้อนชา
  7. ผงโกโก้ 20 กรัม
  8. น้ำมันรำข้าว 110 กรัม
  9. ช็อกโกแลตชิพ 150 กรัม
  10. กลิ่นวานิลลา
มัฟฟินช็อกโกแลต
มัฟฟินช็อกโกแลต ขนมหวานชิ้นเล็กรสชาติเข้มข้น

ขั้นตอนวิธีการทำช็อกโกแลตมัฟฟิน

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ และน้ำตาลลงไปในชามผสม และคนให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ ตามด้วยเกลือ และกลิ่นวานิลลา ตีส่วนผสมให้เข้ากันแล้วใส่น้ำเปล่าลงไปตีให้เข้ากันอีกครั้ง
  2. เตรียมชามผสมอีกหนึ่งชาม ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ และผงฟูลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ทำรูตรงกลางแล้วใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไปคนผสมอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ากันแล้วให้ใส่น้ำมันรำข้าวลงไปคนอีกครั้ง ตามด้วยช็อกโกแลตชิพแล้วคนอีกเล็กน้อยพอให้เข้ากัน
  3. เตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษไข และเตรียมพิมพ์ใส่ขนมมัฟฟินรองด้วยถ้วยรองอบ หรือถ้วยคัพเค้ก ก่อนจะตักเนื้อแป้งใส่ลงไปประมาณครึ่งถ้วย และโรยหน้าขนมด้วยช็อกโกแลตชิพ 
  4. นำมัฟฟินช็อกโกแลตใส่ลงไปในเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เปิดพัดลมเป็นเวลา 15 นาที เสร็จแล้วนำมาพักให้อุ่นแล้วนำออกจากถ้วยรองอบ เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลยค่ะ

บทสรุป

มัฟฟินช็อกโกแลต เมนูของว่างทานเล่นที่มีสตอรี่มากมายให้เราได้เรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นขนมหวาน หรือของว่างทานเล่นที่ง่ายมาก เพียงแค่ผสมส่วนผสมต่าง ๆ ให้เข้ากันก่อนจะนำไปอบให้สุก จึงใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน ใครที่กำลังว่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด19 แบบนี้ที่หลาย ๆ คนต้องเปลี่ยนจากการทำงานในบริษัท หรือออฟฟิศมาทำที่บ้านแทน อยากแนะนำให้นำสูตรขนมหวานนี้ไปลองทำทานกัน นอกจากความอร่อยแล้วยังได้ความสนุก อัปสกิลการทำขนมหวานให้มาก ๆ แล้วนำไปทำขายสร้างอาชีพเสริมได้เลย

Categories
ขนมไทย

ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู ขนมไทยสีหวานเนื้อนุ่มฟู

ขนมปุยฝ้าย
ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู ขนมไทยสีหวานเนื้อนุ่มฟู

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟูกันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นอีกหนึ่งขนมยอดนิยมของคนไทย และคนไทยเชื้อสายจีนด้วย นอกจากจะนิยมรับประทานแล้วยังเป็นหนึ่งในขนมไทยมงคลที่ถูกนำมาประกอบพิธีมงคลอีกด้วย ยิ่งในเทศกาลตรุษจีน หรือวันปีใหม่ของจีนด้วยแล้วจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากนำไปทำขายจะสามารถสร้างรายได้ได้มาก เราจึงได้หยิบยกเอาความรู้เกี่ยวกับขนมถ้วย รวมถึงขั้นตอนวิธีการทำ พร้อมเทคนิคในการทำให้หน้าขนมแตกสวยงาม ใครอยากรู้กันแล้วไปอ่านต่อกันได้เลย

ทำความรู้จักขนมปุยฝ้าย ขนมไทยยอดนิยม

ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู เป็นขนมที่อยู่คู่คนไทยมาเป็นเวลานาน นับว่าเป็นขนมไทยที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่แท้จริงแล้วต้นกำเนิดของขนมมีที่มาจากชาวจีนเป็นขนมไทยเชื้อสายจีน ที่ถูกประยุกต์มาจากขนมฮวดโก้ย ซึ่งมีลักษณะและหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน โดยในความหมายของจีนมีความหมายมงคล คำว่า “ฮวด” แปลว่า เจริญงอกงาม ส่วนคำว่า “โก้ย” แปลว่า ฟู ดังนั้น จึงมีความหมายที่ตรงกับภาษาไทยว่า ขนมแห่งความเจริญเฟื่องฟู จึงเป็นขนมที่ถูกนำมาประกอบในวันสำคัญต่าง ๆ 

ขนมปุยฝ้าย
ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู ขนมไทยสีหวานเนื้อนุ่มฟู

หน้าตา เนื้อสัมผัส และรสชาติของขนม

หากใครที่ยังไม่เคยเห็น หรือไม่เคยรับประทานขนมถ้วยฟูมาก่อนเลย เราก็ขอบอกถึงลักษณะของขนมหวานถ้วยฟูให้ได้รู้ เริ่มที่ลักษณะของขนมถ้วยฟูที่มีความนุ่มฟูเหมือนชื่อของขนม อีกทั้งยังมีสีสันที่สวยงาม สามารถรังสรรค์เพิ่มสีสันได้ตามชอบ รสชาติมีความหวานอร่อย เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น และยังมีกลิ่นที่หอมมาก แต่ข้อเสียคือเมื่อรับประทานไปแล้วจะรู้สึกฝืดคอ หรืออาจติดคอได้ จึงต้องรับประทานคู่กับน้ำ 

ประโยชน์ของขนม

สำหรับประโยชน์ของขนมไทยโบราณอย่าง ขนมปุยฝ้าย ก็คือประโยชน์จากวัตถุดิบที่ใช้ทำขนม เราจึงขอยกตัวอย่างประโยชน์จากแป้งข้าวเจ้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการทำขนมถ้วยฟู กล่าวคือ แป้งข้าวเจ้านั้นทำมาจากเมล็ดข้าวจ้าว ซึ่งมีผลดีต่อการทำงานของตับ มีเส้นใยอาหารในระดับสูงช่วยกำจัดสารอันตรายที่มีในร่างกาย นอกจากนั้นไฟเบอร์ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล มีประโยชน์ต่อระบบเผาผลาญในร่างกาย จึงเป็นแป้งที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก และนับว่าถ้วยฟูเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน

ขนมปุยฝ้าย
ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู ขนมไทยสีหวานเนื้อนุ่มฟู

ขนมปุยฝ้าย 1 ใน 9 ขนมมงคลของไทย

ขนมไทยมงคลในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ขนมที่มีชื่อมงคล และขนมที่มีลักษณะมงคล ซึ่งขนมถ้วยฟู หรือขนมปุยฝ้าย ถูกจัดอยู่ในขนมที่มีนามเป็นมงคล ตามความหมายที่เราได้บอกไปแล้วในข้างต้น ใช้เป็นขนมอวยพรให้เจริญรุ่งเรือง และเฟื่องฟู โดยจะทำขนมให้เป็นสีสันต่าง ๆ เช่น ในงานแต่งงานจะใช้ขนมสีแดง , งานไหว้เจ้าใช้สีชมพู , งานไม่มงคล หรืองานไหว้บรรพบุรุษจะใช้สีขาว เป็นต้น นับเป็นขนมที่ได้รับความนิยมทั้งชาวไทย และชาวไทยเชื้อสายจีน และขาดไม่ได้เลยเมื่อมีงานมงคล 

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำขนมถ้วยฟู

หลังจากได้รู้ประวัติความเป็นมาของขนมถ้วยฟู และเรื่องราวน่ารู้กันมาพอสมควรแล้ว ใครที่อยากเข้าครัวลงมือทำขนมง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อรับประทานเอง ทำขาย หรือแม้แต่ใช้ในพิธีมงคล เราก็ได้นำสูตรทำขนมถ้วยฟูมาฝากให้ได้ลองทำตามกันอย่างละเอียด รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถ มือใหม่ก็ทำได้ ยิ่งมือฉมังผ่านการทำขนมมามากมายแล้ว บอกเลยว่าชิล ๆ ยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากค่ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว ไปดูวัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำขนมกันเลยค่ะ 

วัตถุดิบ

  1. แป้งเค้ก 340 กรัม
  2. น้ำตาลทรายขาว 200 กรัม 
  3. ไข่ไก่ เบอร์ 1 2 ฟอง (ใช้ไข่ไก่ที่นำออกมาจากตู้เย็น)
  4. น้ำเย็น 300 มิลลิลิตร
  5. ผงฟู 2 ช้อนชา
  6. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  7. เอสพี 12 กรัม
  8. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  9. สีผสมอาหารตามชอบ
ขนมปุยฝ้าย
ขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู ขนมไทยสีหวานเนื้อนุ่มฟู

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่ไข่ไก่ น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าลงไปในชามผสม จากนั้นทำการร่อนแป้งเค้ก และผงฟูลงไปแล้วตีด้วยเครื่องผสมอาหารสปีดต่ำ หรือตะกร้อมือ โดยทาสารเอสพีลงไปที่หัวตะกร้อก่อนตีส่วนผสมให้เข้ากัน ระหว่างนี้ให้ใช้ไม้พายปาดข้างชามผสม ก้นชาม และหัวตะกร้อก่อนจะเปลี่ยนเป็นการตีด้วยสปีดสูงสุดเป็นเวลา 10 นาที หรือจนกว่าเนื้อแป้งจะข้นฟู ต่อด้วยการใส่น้ำมะนาว และกลิ่นวานิลลาลงไปตีต่อด้วยสปีดกลาง 3 นาที
  2. เมื่อเนื้อแป้งได้ที่แล้วให้แยกออกมาใส่ชามผสมตามจำนวนสีผสมอาหารที่เลือกใช้ และผสมสีผสมอาหารลงไปทีละนิดก่อนจะคนให้เข้ากัน เพื่อให้ได้สีพาสเทลสวยงาม
  3. คนส่วนผสมอีกครั้งก่อนจะตักเนื้อแป้งใส่พิมพ์ รองด้วยถ้วยรองอบ วางเรียงกันในซึ้งนึ่ง จากนั้นนำไม้จิ้มฟันมาจุ่มในน้ำมะนาว และวาดเป็นรูปทรงกากบาทเพื่อให้น่าขนมแตก
  4. ตั้งหม้อนึ่งให้เดือดแล้วนำขนมถ้วยฟูลงไปนึ่งด้วยไฟกลางค่อนแรง โดยใช้เวลาในการนึ่ง 15 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก เสร็จแล้วนำไปจัดเสิร์ฟรับประทานได้เลย

บอกต่อเคล็ดลับในการทำขนมถ้วยฟู

หลายคนอาจเคยลองทำขนมปุยฝ้ายกันมาแล้ว แต่กลับต้องประสบปัญหาในการทำขนม โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นปัญหาที่หน้าขนมถ้วยฟูไม่แตก ไม่ฟูตามชื่อ ทำให้ขนมนั้นไม่สวยงามอย่างที่หวัง เราจึงมีทริคในการทำขนมถ้วยฟูง่าย ๆ มาบอกต่อ คือ การนำไม้จิ้มฟันจุ่มน้ำมะนาวกรีดลงไปในหน้าขนมก่อนทำการนึ่ง เพื่อวาดรูปทรงก่อนการนึ่งขนม และที่สำคัญในตอนที่เปิดฝาหม้อนึ่ง แนะนำให้เปิดไปด้านข้างด้วยความรวดเร็ว เพราะการที่เรายกฝาขึ้นช้า ๆ นั้นจะทำให้น้ำในหม้อนึ่งหยดใส่ขนม จนทำให้มีความชื้นจนไม่น่ารับประทานค่ะ

บทสรุป

ขนมปุยฝ้าย เป็นขนมที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และเป็นขนมไทยมงคลที่ได้รับความนิยม ทานแล้วอร่อย ทานแล้วชีวิตเจริญรุ่งเรืองเหมือนชื่อขนม สุดท้ายแล้วเราหวังว่าทุกคนจะนำสูตรวิธีการทำขนมถ้วยฟูไปลองทำกันที่บ้านนะคะ เพราะเป็นสูตรที่ง่ายมาก และหน้าขนมสวยงามน่ารับประทานแน่นอน

Categories
เบเกอรี่

บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก และบอกต่อสูตรวิธีการทำเนื้อเค้กยอดนิยมในประเทศไทยอย่าง บัตเตอร์เค้ก (BUTTER CAKE) หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่าเค้กเนยสด เค้กที่มีวัตถุดิบหลักเป็นเนย แป้ง น้ำตาล และไข่ ถูกจัดเป็นเค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก ผสมผสานกันให้เนื้อเค้กมีความละเอียด แน่น กว่าเนื้อเค้กประเภทอื่น ๆ อีกทั้งยังมีความนุ่มฉ่ำละมุนลิ้น หอมกลิ่นเนย นิยมนำมาแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมที่มีรสชาติหวานเข้ากันดีกับเนื้อเค้ก

ทำความรู้จักบัตเตอร์เค้ก เนื้อเค้กยอดนิยมให้มากขึ้น

เบเกอรี่เค้ก ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในยุคอียิปต์โบราณ โดยใช้ยีสต์ให้ขึ้นฟูบนเตาหินร้อน ๆ เวลาต่อมาก็ได้มีการพัฒนาส่วนผสมขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีเบกกิ้งโซดา และผงฟูเกิดขึ้น จึงเลิกใช้ยีสต์แล้วหันมาใช้วัตถุดิบนี้แทน เพื่อให้เนื้อเค้กมีความเบาลง และต่อมาได้มีเตาไฟฟ้าเกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ทำให้เค้กสามารถทำได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย และเกิดบัตเตอร์เค้ก หรือขนมเค้กเนยสดขึ้นมาให้เราได้รับประทานกัน

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ประวัติความเป็นมาของเค้กเนยสด

เชื่อกันบัตเตอร์เค้กนั้นมีที่มาจาก POUND CAKE (เค้กที่มีต้นกำเนิดในแถบยุโรป ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17) ที่มีส่วนผสมคล้ายคลึงกัน แต่มีเนื้อแน่นกว่าเค้กเนยสดที่เรารับประทานกันในปัจจุบัน ส่วนต้นกำเนิดของเบกอรี่เค้กเนยสดนั้นเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จากการถูกคิดค้นผงฟูขึ้นมา และใช้เป็นส่วนผสมของเค้ก ทำให้เค้กเนื้อหนัก กลายเป็นเค้กเนื้อเบา นุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

ไขข้อสงสัย เค้กถูกนำเข้ามาในไทยเมื่อใด

ประวัติของขนมเค้กในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นจากคนไทยบางกลุ่มที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกเข้ามา เป็นผลจากการค้าขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2480 ทำให้เกิดร้านขายเบเกอรี่เค้กขึ้นมาในกรุงเทพมหานคร หรือเมืองหลวงของประเทศไทย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ และการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ทำให้เบเกอรี่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น เช่น ขนมเค้กอย่างบัตเตอร์เค้ก ขนมปัง เพสตรี้ เป็นต้น 

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ประโยชน์ของเค้กเนยสด

เค้ก สามารถเป็นได้ทั้งของหวานล้างปากหลังทานอาหาร หรือแม้แต่เป็นของว่างทานเล่นคลายหิว จึงได้รับความนิยมของคนทุกเพศทุกวัย แต่รู้หรือไม่ว่าบัตเตอร์เค้กนั้นไม่ได้ทำให้น้ำหนักขึ้นเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีประโยชน์จากวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสม เช่น แป้ง และน้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย , ไข่ และนม ให้โปรตีนสร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกาย , เนย และไขมัน ให้สารอาหารไขมันช่วยให้ผิวพรรณสดชื่นขึ้น

บัตเตอร์เค้กมีมากมายหลากหลายสูตร

เมื่อบัตเตอร์เค้กกลายเป็นเบเกอรี่ยอดนิยมที่นำมาใช้ทำเค้กได้มากมาย มีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วยังเป็นเนื้อเค้กที่สามารถทำได้ง่าย ในปัจจุบันจึงมีสูตรการทำบัตเตอร์เค้กเกิดขึ้นมามากมายหลากหลายสูตร เพื่อตอบสนองความต้องการของคนทำเค้ก และคนที่อยากรับประทานเค้กตามแบบความชอบของตน ปรับสูตรให้ถูกปากถูกใจคนในพื้นที่ รวมถึงการใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย เช่น เค้กกล้วยหอมเนยสด เค้กเนยสดโกโก้ เค้กเนยสดช็อกโกแลต เค้กมาร์เบิ้ลเนยสด เป็นต้น

บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ BUTTER CAKE

อย่างที่เราได้บอกไปแล้วข้างต้นว่า บัตเตอร์เค้กนั้นมีวัตถุดิบเพียงเล็กน้อย แต่สูตรนี้เป็นสูตรที่มีการปรับใช้วัตถุดิบเพื่อให้ถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น ทำให้หน้าเค้กมีความเนียน และหน้าไม่แตก วิธีทำเค้กก็แสนจะง่ายดาย แต่ต้องใช้ระยะเวลานานเล็กน้อย ดังนั้น เราไปดูวัตถุดิบ และวิธีการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบในการทำเบเกอรี่เค้กเนยสด

  1. แป้งเค้ก 200 กรัม
  2. นมผง 50 กรัม
  3. ผงฟู 1 ช้อนชา
  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  5. ไข่ไก่ 3 ฟอง (เบอร์1)
  6. นมสดรสจืด 150 กรัม
  7. เนยสดเค็ม 200 กรัม
  8. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  9. น้ำตาลไอซิ่ง 120 กรัม
  10. เอสพี 10 กรัม
บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

ขั้นตอนวิธีการทำ 

  1. ขั้นตอนแรกร่อนของแห้งอย่าง แป้งเค้ก นมผง ผงฟู และเกลือลงไปในชามผสม พักไว้
  2. ใส่นม และไข่ไก่อุณหภูมิห้องลงไปในชามผสม ตีด้วยตะกร้อมือหรือส้อมให้เข้ากัน 
  3. เตรียมเครื่องผสมอาหาร ใส่เนย และน้ำตาลทรายลงไปตีให้ละลายเข้ากัน ตามด้วยการร่อนน้ำตาลไอซิ่งลงไปตีต่อให้มีเนื้อฟูเนียน (ระหว่างนี้ให้กดหยุดเครื่องแล้วทำการใช้ไม้พายปาดส่วนผสมเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ติดอยู่ก้น และขอบชาม ทำให้ส่วนผสมไม่ละลาย) ปาดเอสพีใส่ตะกร้อแล้วตีต่อด้วยสปีดกลางเป็นเวลา 1 นาที
  4. เมื่อส่วนผสมในเครื่องผสมอาหารมีเนื้อพอดีแล้ว ให้ทยอยใส่ของเหลวที่ผสมไว้ในขั้นตอนที่ 2 ลงไปช้า ๆ ระหว่างเครื่องยังตีอยู่ เพื่อให้เนื้อเนียน ไม่แยกชั้น
  5. แบ่งแป้ง หรือของแห้งที่ร่อนไว้ในขั้นตอนที่ 1 ใส่ลงไปตีผสมกันกับส่วนผสมอื่น ๆ เป็นรอบ ๆ จำนวน 3 รอบ เมื่อจะใส่ส่วนผสมแต่ละรอบต้องใช้ไม้พายปาดทุกครั้ง ใส่ส่วนผสมของแห้งครบทั้งสามรอบแล้วให้ปาดเนื้อเค้กแล้วตีต่อด้วยสปีดกลาง 1 นาที และตีต่อด้วยสปีดต่ำไล่ฟองอากาศเป็นเวลาเท่ากัน
  6. เตรียมพิมพ์สำหรับอบขนม โดยทาเนยขาวให้ทั่ว รองด้วยกระดาษไข ก่อนจะใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ไม้ปลายแหลมเช่น ไม้ลูกชิ้น คนแป้งให้ทั่ว เพื่อไล่ฟองอากาศอีกครั้ง และเตรียมถาดรองอบรองด้วยกระดาษทิชชู่ทำครัวแบบหนา 10 แผ่น เทน้ำลงไปให้กระดาษซึมน้ำเข้าไป และเทน้ำส่วนเกินออกไปจากถาด จากนั้นวางเค้กเนยสดในพิมพ์ลงไป
  7. นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ไฟบนล่าง เปิดพัดลม เป็นเวลา 70 นาที เสร็จแล้วนำออกมาพักไว้ให้เย็น นำออกจากพิมพ์มาแช่เย็นแล้วตัดเป็นเล็ก ๆ ตามชอบ
บัตเตอร์เค้ก
บัตเตอร์เค้ก สูตรเนื้อนุ่มละลายในปาก

เคล็ดลับในการทำเค้กให้สวยงาม หน้าไม่แตก

แท้จริงแล้วขนมบัตเตอร์เค้กแบบต้นฉบับ ต้องหน้าแตก แต่ในประเทศไทยจะนิยมรับประทานเค้กเนื้อเนียนมากกว่า เคล็ดลับในการทำเค้กง่าย ๆ เลยก็คือ การใช้เนยคุณภาพดี ต้องมีความใจเย็นในการทำ โดยร่อนแป้งทุกครั้ง เพื่อให้เนื้อเค้กเนียน และต้องปาดส่วนผสมเรื่อย ๆ ระหว่างตี และที่สำคัญส่วนผสมทุกอย่างต้องมีอุณหภูมิเท่ากันคืออุณหภูมิห้อง เพียงเท่านี้เราก็จะได้เค้กเนื้อเนียนน่ารับประเทานแล้วค่ะ

บทสรุป 

หลังจากอ่านบทความนี้แล้วทุกคนคงได้รู้จักเบเกอรี่ขนมหวานที่มีชื่อว่า บัตเตอร์เค้ก กันมากขึ้นแล้ว และยังได้เรียนรู้สูตรวิธีการทำเบเกอรี่แบบง่าย ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำเค้กวันเกิด เค้กวันครบรอบ ของขวัญให้คนพิเศษ หรือแม้แต่เค้กของว่างทานคู่กับชา กาแฟ หรือนมก็อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว 

Categories
ขนมไทย

ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

ขนมไทยโบราณ คือ ขนมที่รับประทานกันในประเทศไทยในสมัยก่อน มีความเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ทั้งความประณีต พิถีพิถัน ส่งผลให้มีรูปร่าง และสีสันที่สวยงามน่ารับประทาน ความอร่อยหวานละมุน จึงถูกส่งต่อสืบทอดวิธีการทำกันมารุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ให้เราได้รู้จัก ลองรับประทาน หรือแม้แต่ทำทาน และทำขายสร้างอาชีพ ซึ่งแต่เดิมนั้นขนมส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวัตถุดิบหลักเพียง 3 อย่างเท่านั้น ได้แก่ น้ำตาล แป้ง กะทิ และน้ำตาล ล้วนเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายทั่วไป

ทำความรู้จักขนมไทยโบราณนาม ขนมชั้น 

ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นในยุคสมัยใด แต่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่มีประเทศไทยมีการติดต่อซื้อขายกับต่างประเทศ และได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกิน รวมถึงการนำขนมต่างชาติมาดัดแปลงให้กลายเป็นของหวานไทย เพื่อให้สามารถทำได้ง่าย และถูกปากคนไทยมากขึ้น ซึ่งขนมชนิดนี้ก็สามารถพบเห็นได้ในประเทศต่าง ๆ เช่น มาเลเซีย เรียกกันว่า KUEH LAPIS มีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกันกับขนมของไทย จึงถือเป็นขนมที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ

ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

หน้าตา เนื้อสัมผัส และรสชาติของขนม

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็น และเคยรับประทานขนมไทยโบราณอย่างขนมชั้นกันมาบ้างแล้ว เพราะขนมรูปร่างสี่เหลี่ยม สลับสับเปลี่ยนกันเป็นชั้น ๆ ตามชื่อ เนื้อสัมผัสมีความเนียน เหนียว นุ่ม เวลารับประทานสามารถทานได้เลยทั้งชิ้น หรือจะลอกออกมาเป็นแผ่นบาง ๆ รับประทานทีละชั้นก็ได้ความอร่อยที่แตกต่างกัน โดยขนมหวานชนิดนี้จะมีรสชาติที่หวาน แต่ไม่เลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เพราะในแต่ละชั้นนั้นจะแฝงไปด้วยรสชาติ และเนื้อสัมผัสของขนมที่แตกต่างกัน สามารถทานได้เพลิน ๆ ไม่มีเบื่อเลยสักนิด

ความเชื่อของคนไทยที่มีต่อขนมชั้น

ในอดีตนิยมทำขนมชั้นใช้ประกอบในพิธีสำคัญ ๆ เช่น งานฉลองยศ งานมงคลสมรส เนื่องจากเป็นขนมไทยมงคลที่ชื่อมีความหมายดี ซึ่งสื่อความหมายถึงระดับขั้นยศตำแหน่ง จึงนิยมทำชั้นขนมไทยโบราณชนิดนี้มากถึง 9 ชั้น เพราะเลข 9 หมายถึงความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ในพิธีมงคลก็ถูกจัดอยู่ในขนมที่ประกอบอยู่ในพิธีขันหมากอีกด้วย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว จากความเชื่อที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เป็นขนมที่ไม่เคยถูกลืมเลือน หรือจางหายไปตามกาลเวลา 

ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

ประโยชน์ของขนมชั้น 

การรับประทานขนมไทยนั้นมีประโยชน์ และดีต่อสุขภาพ ไม่แพ้อาหารเสริมมากมายที่เราหามารับประทานเลยทีเดียว โดยเฉพาะขนมชั้นที่ใช้วัตถุดิบในการทำ รวมถึงสีสันที่มาจากธรรมชาติล้วน ๆ เช่น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงจากอัญชัน ดังนั้น จึงมีสารอาหารมากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และวิตามินต่าง ๆ สามารถช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงมากขึ้นได้ อีกทั้งยังไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ นอกจากที่เราจะได้รับความอร่อยจากการรับประทานขนมไทยโบราณแล้ว ยังได้รับประโยชน์มากมายอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่างขนมชั้นในปัจจุบัน และในอดีต

หากจะให้บอกเล่าถึงความแตกต่างของขนมชั้นในอดีต และในปัจจุบัน จะขอเริ่มจากการรับประทาน แต่เดิมนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทานได้ในทุก ๆ วัน หรือในทุกเวลาที่อยากทาน เพราะจะมีการทำขนมไทยโบราณนี้แค่เพียงในงานมงคลต่าง ๆ เท่านั้น เนื่องจากขั้นตอนการทำนั้นค่อนข้างใช้เวลานาน แต่ในยุคปัจจุบันที่มีอุปกรณ์เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก และวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายทั่วไป จึงสามารถทำขนมโบราณได้ง่าย และรวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถนำพิมพ์ขนมมาใช้เพื่อทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำขนมชั้น

สำหรับวัตถุดิบในการทำขนมไทยโบราณ หรือขนมชั้น ส่วนใหญ่นั้นจะใช้กะทิ และแป้ง 3 – 4 ชนิด ตามแต่สูตรขนมที่ใช้ ซึ่งแป้งแต่ละชนิดนั้นจะทำให้ได้เนื้อสัมผัสของขนมที่แตกต่างกัน เช่น แป้งท้าวยายม่อม ทำให้เนื้อขนมเนียนนุ่ม มีความเหนียว หนืด ใส , แป้งมัน ทำให้เนื้อขนมเนียน เหนียว และแข็งเล็กน้อย , แป้งข้าวเจ้า ช่วยให้เนื้อขนมแข็ง และอยู่ตัว หากใครไม่สามารถหาแป้งท้าวยายม่อมวัตถุดิบสำคัญได้ก็สามารถใช้แป้งถั่วเขียวแทน เพราะจะเข้ามาช่วยให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวจนเกินไป 

วัตถุดิบในการทำขนมชั้น

  1. น้ำใบเตยคั้นสด 1 ถ้วยตวง
  2. หัวกะทิ 700 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  5. แป้งมัน 1 1/2 ถ้วยตวง.
  6. แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
  7. แป้งท้าวยายม่อม 1/3 ถ้วยตวง
ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

ขั้นตอนวิธีการทำขนมชั้น

  1. ขั้นตอนแรกใส่หัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงไปในหม้อ คนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้วเปิดไฟอ่อน ระหว่างนี้ให้ค่อย ๆ คนให้ส่วนผสมละลายจนเริ่มเดือด แล้วปิดไฟพักไว้
  2. ใส่แป้งมัน แป้งมัน แป้งท้าวยายม่อมลงไปในชามผสม คนให้เข้ากันแล้วทยอยเทน้ำกะทิที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไป คนต่อให้เข้ากันจนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรงใส่ชามผสมอีกใบ
  3. แบ่งส่วนผสมที่เตรียมไว้เป็นสองถ้วยเท่า ๆ กัน จากนั้นเติมน้ำใบเตยลงไปในถ้วยอีกใบแล้วคนผสมให้เข้ากัน
  4. เตรียมพิมพ์สี่เหลี่ยม ทาน้ำมันให้ทั่วเพื่อไม่ให้ขนมติดพิมพ์ และนำพิมพ์ไปนึ่งโดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วตักส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไปบาง ๆ เป็นชั้นใบเตยชั้นที่ 1 ปิดฝานึ่งต่อเป็นเวลา 5 นาที แล้วตักเนื้อแป้งสีขาวใส่ลงไปบาง ๆ อีกหนึ่งชั้น นึ่งต่อเป็นเวลา 6 นาที ตามด้วยชั้นที่สามสลับสีกันเป็นชั้น ๆ โดยเพิ่มระยะเวลาการนึ่งชั้นละ 1 นาที จนครบทุกชั้น
  5. เมื่อขนมชั้นสุกทั่วทุกชั้นแล้ว ให้นำมาพักไว้ให้เย็นก่อนนำออกจากพิมพ์ ตัดขนมไทยโบราณแบ่งออกเป็นชิ้น ๆ ขนาดตามชอบได้เลย
ขนมไทยโบราณ
ขนมชั้น ขนมไทยโบราณในงานมงคล

เคล็ดลับในการทำขนมชั้น

ขนมชั้นที่อร่อยนั้นต้องไม่เหนียวจนเป็นยางยืด เพราะการที่เหนียวจนเกินไปจะทำให้ขาดอรรถรสในการรับประทานขนมไทยโบราณเมนูนี้ เราจึงขอบอกต่อเคล็ดลับในการทำเพื่อให้ขนมหวานออกมาอร่อยมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญในการทำข้อแรกคือการคนส่วนผสมทุกครั้งก่อนจะตักใส่ลงไปในพิมพ์ เพราะแป้งจะนอนอยู่ก้นชามทำให้ขนมหวานของเราเหนียมนุ่ม ต่อมาคือการรอคอยให้แป้งในแต่ละชั้นสุกก่อนจะใส่ชั้นต่อไป หากขนมชั้นแรกไม่สุก จะทำให้ชั้นต่อไปพาลไปสุกตามกันไปด้วย โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปริมาณของแป้งที่ใส่ลงไปในแต่ละชั้น วิธีสังเกตง่าย ๆ คือ เมื่อสุกแล้วเนื้อขนมจะมีความใสเงาน่ารับประทาน

บทสรุป

หลังจากได้เรียนรู้วัตถุดิบและวิธีการทำขนมไทยโบราณที่มีชื่อว่า ขนมชั้น กันไปแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงสามารถนำสูตรนี้ไปทำทานเองที่บ้านได้โดยง่าย หรือจะนำไปต่อยอดทำขนมขายสร้างอาชีพได้ เพราะเป็นขนมไทยที่สามารถหาวัตถุดิบได้ทั่วไป แถมยังมีรสชาติอร่อยถูกปาก สามารถนำไปทำเป็นของว่างทานเล่น ขนมเบรก ของกินเล่นเพลิน ๆ เรียกว่าทำทานง่าย แถมทำขายคล่องเลยทีเดียวค่ะ 

Categories
เบเกอรี่

พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าขนมที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั้น เป็นขนมที่สามารถรับประทานได้ง่ายและหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พายสับปะรดเป็นขนมปังที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีผู้คนซื้อมารับประทานในช่วงกลางวันหรือช่วงที่มีอาการหิว เป็นขนมที่ทานแล้วอิ่มท้อง เก็บไว้ทานได้อีกหากรับประทานไม่หมด เพราะมีแพ็คเกจที่เก็บง่าย ประหยัดพื้นที่ และไม่เปื้อนมืออีกด้วย

โดยในปัจจุบันจากการสำรวจนั้นสินค้าที่ขายดีมากที่สุดในร้านค้าคงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก พายสับปะรด ขนมยอดนิยมสำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะเป็นเมนูที่รับประทานง่ายและมีความอร่อยค่อนข้างสูง ผู้คนจึงนิยมซื้อมารับประทานกันในช่วงเวลาที่เร่งรีบ เหมาะสมหรับผู้ที่มีภารกิจในช่วงเช้า ไม่มีเวลารับประทานอาหารในมื้อเช้าต้องอาศัยขนมปังหรือเบเกอรี่ เพื่อทำให้ลดอาการหิวระหว่างวันและเป็นการรับประทานขนมรองท้องที่จะช่วยทำให้มีพลังงานในการทำงานในแต่ละวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากทุกท่านสามารถทำเมนูขนมดังกล่าวได้ด้วยตนเอง จะช่วยลด การใช้จ่ายในแต่ละวันหรือค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดงบประมาณและเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ในวันนี้เรามีขั้นตอนและวิธีการเกี่ยวกับการทำพายสับปะรด มาแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบกัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลัก ส่วนผสมที่สำคัญในการทำพาย วิธีการทำแป้งพายที่สมบูรณ์แบบ และการนำส่วนผสมทุกอย่างมารวมกัน จะช่วยทำให้ภายในนั้นมีความอร่อยกรอบนอกนุ่มในมากยิ่งขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีวัตถุดิบหลักที่สำคัญรวมถึงขั้นตอนในการปฏิบัติได้อย่างไร

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

ส่วนผสมหลักที่สำคัญในการทำขนมปังไส้สับปะรด

ส่วนผสมหลักที่สำคัญที่จะช่วยทำให้ทุกท่านนั้นสามารถทำพายสับปะรดได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น มีส่วนผสมที่สำคัญอยู่ไม่กี่อย่างแต่จะต้องใช้การจดจำที่แม่นยำ รวมถึงต้องใช้สติและสมาธิในการลงมือทำอาหารเสมอ ไปดูกันเลยว่ามีวัตถุดิบหลัก และส่วนผสมที่สำคัญในการทำเมนูดังกล่าวนี้อย่างไรบ้าง

– เนื้อสับปะรด ปริมาณ 500 กรัม (เป็นเนื้อที่บดละเอียดเรียบร้อยแล้ว)

– น้ำตาลทรายขาว ปริมาณ 90 กรัม

– เกลือป่น ปริมาณ 1/4 ช้อนชา

– เนยสด ปริมาณ1/2 ช้อนโต๊ะ หรือหากท่านใดไม่มีก็สามารถยกเว้นในการใส่ส่วนผสมดังกล่าวนี้ก็ได้เช่นเดียวกัน

– แป้งสาลีอเนกประสงค์ ปริมาณ 120 กรัม

– ผงฟู ปริมาณ 1/8 ช้อนชา

– นมผง ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

– ไข่แดงสำหรับทาหน้าพาย

– ไข่ไก่ จำนวน 1 ฟอง

– กลิ่นวนิลา จำนวน 1 ช้อนชา

– น้ำตาลไอซิ่ง ปริมาณ 25 กรัม

ทั้งหมดข้างต้นเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำพายสับปะรด เบเกอรี่ ที่ทุกท่านสามารถทำเองที่บ้านได้อย่างแน่นอน 

พายสับปะรด
พายสับปะรด กรอบนอกนุ่มใน ขนมรับประทานระหว่างวัน

ขั้นตอนและวิธีการทำพาย เมนูยอดนิยมในปัจจุบัน

สำหรับขั้นตอนและวิธีการทำพายสับปะรดเมนูขนมเบเกอรี่ทำได้อย่างง่ายดายโดยจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ขั้นตอนแรกจะเป็นการทำไส้สับปะรดโดยให้ทุกท่านนั้นนำหม้อมาตั้งในไฟปานกลาง เติมน้ำตาลทรายขาวและเกลือป่นลงไปผสมผสานให้เข้ากันอย่างดี หลังจากนั้นนำสับปะรดมากวนให้เกิดความเหนียวในหม้อ ปิดไฟและใส่เนยลงไปกวนส่วนผสมทุกอย่างให้คลุกเคล้าเข้ากันเป็นอย่างดี
  2. ขั้นตอนการทำแป้งพาย โดยให้ทุกท่านนั้นนำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงไปในเครื่องปั่นอาหารปั่นจนละเอียด และนำออกมาห่อด้วยพลาสติกที่ช่วยในการถนอมอาหาร เมื่อทำเสร็จสิ้นเรียบร้อยนำเข้าตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที นำออกมารีดเป็นแผ่นบาง ๆ ความหนาประมาณ 1 ส่วน 4 นิ้ว
  3. ทำแป้งพายให้เป็นรูปกังหันและวางไส้สับปะรดลงไปกึ่งกลาง จากนั้นยกมุมของแป้งขึ้นเพื่อปิดให้ไส้สับปะรดไม่ไหลออกมา ทาไข่แดงบนหน้าพาย
  4. นำแป้งเข้าเตาอบในอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาประมาณ 15 นาที เป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อยสำหรับการทำพายที่ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ก็มีขนมเบเกอรี่ไว้รับประทานระหว่างวันเป็นที่เรียบร้อย
Categories
ขนมไทย

ขนมข้าวเหนียวแก้ว เปลี่ยนข้าวเหนียวธรรมดาเป็นขนมไทยมงคล

ขนมข้าวเหนียวแก้ว
ขนมข้าวเหนียวแก้ว เปลี่ยนข้าวเหนียวธรรมดาเป็นขนมไทยมงคล

เมนูขนมไทยที่เราได้หยิบยกมานำเสนอให้ทุกคนได้ลองทำตามกันในวันนี้ คือขนมไทยที่ทำจากข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบหลักมารังสรรค์จนกลายเป็นขนมไทยที่มีรสชาติหวาน มัน เค็มนิด ๆ กลมกล่อมแบบสุด ๆ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของกะทิ งาขาวคั่ว และใบเตยในขณะที่รับประทาน ขนมชนิดนี้คือ ขนมข้าวเหนียวแก้ว ในอดีตนั้นนิยมทำรับประทานกันในช่วงเทศกาลงานบุญต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน ประเพณีปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊ (ประเพณีของชาวไทใหญ่ ที่ทำการเกษตร จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงบุญคุณของข้าว จึงมักจะนำขนมชนิดนี้มาทำเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี แต่ส่วนใหญ่จะทำขนมข้าวเหนียวแดง

ขนมข้าวเหนียวแก้ว
ขนมข้าวเหนียวแก้ว เปลี่ยนข้าวเหนียวธรรมดาเป็นขนมไทยมงคล

วัตถุดิบในการทำข้าวเหนียวแก้วมีเพียงไม่กี่ชนิด

ขนมข้าวเหนียวแก้วเป็นขนมไทยที่ทำจากวัตถุดิบหาง่าย เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น จึงเป็นขนมไทยที่เราสามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน สำหรับข้าวเหนียวที่นำมาใช้นั้นจะเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงูกลางปี หรือข้าวเหนียวเก่า เพราะจะทำให้เม็ดข้าวนั้นออกมาสวย ไม่แตกหักง่าย แต่ก็ต้องอาศัยการล้างหลายครั้ง และหากใครชื่นชอบสีอื่น ๆ นอกจากสีเขียวของใบเตยก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นสีอื่น ๆ ได้ตามชอบเลยค่ะ 

  1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเก่า 1 กก.
  2. กะทิ 1000 มิลลิลิตร
  3. น้ำตาลทรายขาว 700 กรัม
  4. น้ำใบเตย 150 มิลลิลิตร
  5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  6. งาขาวคั่วตามชอบ
ขนมข้าวเหนียวแก้ว
ขนมข้าวเหนียวแก้ว เปลี่ยนข้าวเหนียวธรรมดาเป็นขนมไทยมงคล

ขั้นตอนวิธีการทำขนมไทยสีสันสวยงาม

สำหรับขั้นตอนวิธีการทำขนมไทยสีสันสวยงาม รังสรรค์ได้ตามชอบอย่าง ขนมข้าวเหนียวแก้วนี้ ต้องขอบอกเลยว่าสามารถทำได้ง่ายมาก แต่ก็ต้องใช้เวลาในการทำที่นานเสียหน่อย จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างจริง ๆ หรือหากใครจะแช่ข้าวเหนียวเขี้ยวงูทิ้งไว้ก่อนทำก็ได้นะคะ เพื่อลดเวลาในการทำลงไป หากใครอยากลองทำขนมไทยชนิดนี้กันแล้ว มาดูวิธีการทำแบบง่าย ๆ ที่เรานำมาฝากกันเลยค่ะ

  1. เริ่มต้นจากการนำข้าวเหนียวเขี้ยวงูไปล้างด้วยน้ำสะอาดประมาณ 3 – 4 รอบ หรือจนกว่าน้ำที่ใช้ล้างจะใส เสร็จแล้วแช่น้ำทิ้งไว้เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  2. เมื่อแช่ข้าวเหนียวเขี้ยวงูในน้ำไว้จนครบเวลาแล้ว ให้เตรียมหม้อนึ่งให้ร้อน และห่อข้าวเหนียวเขี้ยวงูด้วยผ้าขาวบางก่อนนำไปนึ่งเป็นเวลา 40 นาที
  3. ใส่กะทิ เกลือป่น และน้ำตาลทรายขาวลงไปในชามผสมแล้วคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี (ในขั้นตอนนี้ให้ลองชิมน้ำกะทิดูนะคะ หากต้องการเพิ่มรสชาติก็สามารถเติมได้เลย)
  4. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่นึ่งสุกแล้วใส่ลงไปในชามผสม ใช้ทัพพีเกลี่ยเล็กน้อยให้เนื้อข้าวเหนียวเขี้ยวงูไม่จับตัวกันจนเกินไป จากนั้นใส่น้ำกะทิลงไปคนให้เข้ากันได้เลย เสร็จแล้วปิดฝาชามผสมพักไว้ประมาณ 30 นาที
  5. ใช้ทัพพีคนให้ข้าวเหนียวเข้ากันแล้วใส่น้ำใบเตยลงไปเพิ่มสีสัน และคนให้เข้ากันอีกครั้ง 
  6. ใส่ส่วนผสมของขนมข้าวเหนียวแก้วที่เตรียมไว้ลงไปในหม้อ จากนั้นเปิดเตาด้วยไฟอ่อน ใช้ทัพพีกวนตลอดเวลาจนกว่าเนื้อขนมจะแห้ง เพื่อป้องกันเนื้อขนมไหม้ติดก้นหม้อค่ะ เมื่อเนื้อขนมแห้งได้ที่แล้วให้ปิดเตา ตักออกมาพักไว้ให้เย็น จากนั้นจึงนำไปตักใส่ภาชนะตามชอบ โรยด้วยงาขาวคั่ว เป็นอันเสร็จสิ้น
Categories
เบเกอรี่

บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

ในปัจจุบันนี้ขนมหวานถือได้ว่าเป็นเมนูยอดฮิตที่ผู้คนให้ความสนใจกันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวานที่ช่วยเพิ่มพลังงานและให้น้ำตาลในแต่ละวันแก่ผู้ที่บริโภค บางท่านจะต้องรับประทานขนมหวานเป็นประจำทุกวันเพื่อที่จะทำให้ร่างกายสดชื่น พร้อมที่จะทำงานตลอดทั้งวัน และยังเป็นขนมหวานที่ให้ทุกท่านรับประทานหลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น

เพราะเป็นขนมหวานที่ช่วยทำให้เกิดความสดชื่น และนุ่มลิ้นละมุนปากอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวานที่เราจะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันในวันนี้ เป็นเมนูยอดฮิตที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจและมีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป พร้อมทั้งมีกระแสนิยมในโลกโซเชียลและสื่อออนไลน์ คงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก บราวนี่โกโก้ เมนูของหวานที่กำลังโด่งดังและฮิตในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้คนให้ความสนใจและหาซื้อมารับประทานกันเป็นจำนวนมาก โดยเป็นเมนูขนมหวานที่บอกได้เลยว่าเมื่อทุกท่านรับประทานแล้วจะติดใจอย่างแน่นอน 

มีรสชาติที่กลมกล่อม และมีความเข้มข้นของโกโก้ที่บอกได้เลยว่าเมื่อตัดเข้าไปคำแรกทุกท่านจะต้องติดใจ และยังมีส่วนผสมหลัก ที่ใส่เนยแท้มีความหอมละมุน จึงเป็นเมนูขึ้นชื่อในปัจจุบัน และวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทราบถึงรายละเอียด ส่วนผสม วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ ว่ามีสูตรเทคนิคเคล็ดลับอะไรบ้าง ที่จะช่วยทำให้เมนูดังกล่าวนี้ อร่อยครบสูตร ไปดูกันได้เลย

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

วัตถุดิบในการทำบราวนี่โกโก้ ขนมหวานเมนูยอดนิยม

บราวนี่โกโก้ เมนูที่กำลังโด่งดังและผู้คนให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเมนูที่มีความอร่อยและสามารถเก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ซึ่งเราจะมาอธิบายเกี่ยวกับส่วนผสมและขั้นตอนในการทำ โดยส่วนผสมหลัก ได้แก่

  1. ไข่ไก่ จำนวน 2 ฟอง หรืออยู่ในปริมาณ 70 กรัมต่อ 1 ฟอง
  2. แป้งสาลีอเนกประสงค์ปริมาณ 75 กรัม
  3. เนยจืดในปริมาณ 135 กรัม
  4. น้ำตาลทรายปริมาณ 180 กรัม
  5. ผงโกโก้ปริมาณ 20 กรัม
  6. เกลือป่น 
  7. ช็อคโกแลต ประมาณ 165 กรัม หรือตามความชื่นชอบของทุกท่าน

จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นวัตถุดิบและส่วนผสมหลักที่ใช้ในการทำเมนูบราวนี่ พร้อมกับการผสมผสานระหว่างโกโก้และช็อกโกแลต ยิ่งจะช่วยทำให้บราวนี่มีความหอมและความหนึบ เป็นขนมเบเกอรี่ที่ขึ้นชื่อในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ทุกท่านสามารถหาวัตถุดิบและส่วนผสมได้ตามร้านค้าทั่วไป และห้างสรรพสินค้าทั่วไป พร้อมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนสูตรการทำและปริมาณส่วนผสมได้ตามความชื่นชอบของตนเองได้เลย 

บราวนี่โกโก้
บราวนี่โกโก้ เบเกอรี่เนื้อหนึบ รสชาติเข้มข้น

ขั้นตอนการทำบราวนี่ยอดนิยม รสชาติอร่อยที่สุด

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว ขนมที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นก็คือ บราวนี่โกโก้ ขนมยอดฮิตและมีกระแสนิยมในโลกออนไลน์และสื่อโซเชียล เป็นขนมเบเกอรี่ที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นเมนูที่กำลังโด่งดัง มีขั้นตอนและวิธีการทำดังต่อไปนี้

  1. เปิดเตาอบเพื่อจัดเตรียม บราวนี่เข้าไปอบโดยการเตรียมเตาอบในอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส พร้อมทั้งรองกระดาษไข ในเตาอบให้เรียบร้อย
  2. นำส่วนผสมหลักสำคัญเนยและช็อกโกแลต ผสมลงในอ่างเพื่อนำไปวางบนหม้อน้ำร้อน รอเวลาให้เนยและช็อกโกแลตละลาย พักทิ้งไว้
  3. น้ำน้ำตาลและไข่ไก่ที่ได้เตรียมไว้นั้นผสมเข้าในอ่างที่ละลายเนยและช็อกโกแลตไว้ตีให้เข้ากัน
  4. นำแป้งอเนกประสงค์และผงโกโก้มาร่อนพร้อมกับผสมเกลือ และนำไปผสมกับส่วนวัตถุดิบที่ได้ทำการตีส่วนผสมไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นเทใส่พิมพ์และนำเข้าเตาอบเป็นระยะเวลา 20 ถึง 25 นาที
  5. เมื่ออบจนสุกแล้วให้นำออกมาจากเตาอบพร้อมทั้งเข้าช่องแช่แข็งประมาณ 50 – 60 นาที หลังจากนั้นสามารถรับประทานได้ทันที

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นขั้นตอนและวิธีการทำที่เราได้สรุปมาแนะนำไว้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน หวังว่าจะสามารถปรับใช้กับขั้นตอนวิธีการทำของทุกท่านได้เป็นอย่างดี

Categories
ขนมไทย

ขนมไข่นกกระทา ขนมไทยหลากชื่อ

ขนมไทย
ขนมไข่นกกระทา ขนมไทยหลากชื่อ

ขนมไข่เต่า ขนมไข่หงส์ ขนมไข่นกกระทา ล้วนเป็น ขนมไทย อย่างเดียวกัน แต่จะเรียกแตกต่างกันไปแต่ละพื้นที่ เรียกตามลักษณะของขนมที่เป็นก้อนกลม แต่ชื่อแรกเลยก็คือ ขนมไข่เต่า แต่เนื่องจากเป็นสัตว์สงวน จึงเปลี่ยนมาเรียกเป็นชื่ออื่นแทน เป็นขนมกรอบนอกนุ่มใน หวานมันลงตัว อร่อยติดปากสุด ๆ ทั้งยังมีราคาที่ถูก สามารถทำได้ง่าย เป็นสาเหตุให้ขนมไทยชนิดนี้ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน โดยในอดีตนั้นจะทำขนมชนิดนี้กันในงานเลี้ยง เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น และถูกปรับปรุงเพิ่มรสชาติต่าง ๆ เข้ามามากมาย เช่น รสมันม่วง รสชีส รสช็อคโกแลต หรือแม้แต่รสสตอรว์เบอร์รี่

ขนมไทย
ขนมไข่นกกระทา ขนมไทยหลากชื่อ

วัตถุดิบในการทำขนมไข่นกกระทา ขนมโบราณหาทานง่าย

ขนมไทย นั้นเป็นขนมที่แสดงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยออกมาได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะใช้แป้ง ไข่ และกะทิเป็นส่วนประกอบ ซึ่งหาได้ง่ายมากในปัจจุบัน ขนมไข่นกกระทาที่เรานำมาให้ทุกคนได้ลองทำตามกันในวันนี้ เป็นขนมไทยโบราณที่หารับประทานได้ง่ายในปัจจุบัน แต่หากใครอยากลองทำทานเองก็มีวัตถุดิบดังนี้

  1. มันเทศนึ่งสุกหั่นชิ้น 2 หัวใหญ่ 
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  4. แป้งมัน 2 ถ้วยตวง
  5. แป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง
  6. ไข่แดง 1 ฟอง
  7. กะทิ 100 มิลลิลิตร
  8. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  9. น้ำมันพืชสำหรับทอด
  10. ขนมไทย
    ขนมไข่นกกระทา ขนมไทยหลากชื่อ

    ขั้นตอนการทำขนมไทยให้ไม่หายกรอบ

    ปัญหาที่พบเจอบ่อยเมื่อเราไปซื้อ ขนมไทย ไข่นกกระทามารับประทาน คือ แม้ว่าจะมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก แต่สักพักก็จะเหี่ยวลง และไม่กรอบนอกนุ่มในเหมือนเอกลักษณ์ของขนมไทยชนิดนี้ สูตรที่เรานำมาฝากในวันนี้จึงเป็นสูตรที่ตอบโจทย์ เพราะแม้ว่าจะทิ้งไว้สักพักก็ไม่เหี่ยว หรือหายกรอบแน่นอน ดังนั้น เรามาดูขั้นตอนวิธีการทำกันเลย

    1.  ขั้นตอนแรกใส่แป้งมัน แป้งสาลี เกลือป่น ผงฟู และน้ำตาลทรายลงไปในชามผสม ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน แล้วนำมันเทศมานวดให้เข้ากันกับส่วนผสมแห้งที่ใส่ลงไป (ขั้นตอนนี้แนะนำให้ล้างมือให้สะอาด หรือใส่ถุงมือก่อนนะคะ) จากนั้นทยอยใส่กะทิลงไปในระหว่างนวดจนส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน และใส่ไข่แดงลงไปนวดต่อเพิ่มสีสันให้สวยงามมากยิ่งขึ้น

    2.  เมื่อนวดแป้งจนจับตัวเป็นก้อนแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอดีคำ นำไปวางไว้ในถาดที่โรยแป้งมันเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวขนมติดกัน 

    3.  ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนแล้วทยอยใส่ก้อนขนมของเราลงไป ระหว่างทอดให้ใช้ตะหลิวแซะก้นกระทะ เพื่อไม่ให้ขนมไหม้ติดก้นกระทะนะคะ เมื่อขนมเริ่มจะลอยตัวขึ้นมาแล้วให้ใช้กระชอนคลึงกดตัวขนมให้เนื้อในของขนมเป็นโครง เมื่อสุกเหลืองน่ารับประทานแล้วให้ตักขึ้นมาพักไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน จัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ